ธุรกิจเสื้อผ้ากีฬากำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากกระแสการออกกำลังกายที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงการเติบโตของสปอร์ตแฟชั่นที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ฟิตเนส หรือแม้แต่การแต่งตัวไปทำงาน ทำให้ตลาดเสื้อผ้ากีฬามีมูลค่าสูงและดึงดูดผู้เล่นทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์ต่างประเทศเข้ามาแข่งขันกันอย่างคึกคัก

ในตลาดที่เต็มไปด้วยทางเลือก กลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้แบรนด์อยู่รอดและเติบโตได้ไม่ใช่แค่การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ แต่ยังต้องผสมผสานดีไซน์ที่สะท้อนตัวตนของผู้สวมใส่ ตอบโจทย์ทั้งด้านฟังก์ชันและแฟชั่น 

ท่ามกลางสมรภูมิธุรกิจที่ดุเดือด องค์ประกอบเล็กๆ อย่าง ‘ถุงเท้า’ อาจไม่ใช่สิ่งที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ หากเทียบกับเสื้อ กางเกง หรือรองเท้า แต่สำหรับ อ๋อง-กษิดิศ ดวงวราภรณ์ และ เฟียต-ธนพงศ์ พานิชชอบ ผู้ร่วมก่อตั้ง Brooo (โบร) พวกเขาเชื่อว่า ถุงเท้าคือไอเทมที่บ่งบอกสไตล์ แอบสร้างความสนุก และเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างแบรนด์ชุดกีฬาที่ผสมผสานความเท่และความแตกต่าง จนกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่มองหาแบรนด์กีฬาที่ไม่จำเจ

วิ่งแก้บน

เฟียต: จุดเริ่มต้นจริงๆ มาจากช่วงโควิด-19 ตอนนั้นผมเครียดมาก ไม่มีอะไรทำ เลยคุยกับอ๋อง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย อ๋องก็ชวนไปวิ่ง จากตอนแรกแค่วิ่งแก้เครียด แต่จริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นการวิ่งของพวกเรามันมาจากการแก้บนด้วย

ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมบนไว้ว่าถ้าสอบติดจะวิ่งรอบสนามหลวง 10 รอบ ส่วนอ๋องบนไว้ 80 รอบ ผมวิ่งครบแล้วก็หยุด แต่เขาวิ่งต่อเนื่องไม่เคยหยุด และกลายเป็นนักกีฬาจริงจังจนถึงปัจจุบัน ช่วงโควิด-19 พอผมไม่มีอะไรทำ อ๋องก็ชวนกลับมาวิ่งอีกครั้ง จากตรงนั้นเราก็เริ่มคิดว่า ถ้าวิ่งกันทุกวันแล้วอยากต่อยอด มันอาจกลายเป็นธุรกิจได้

อีกอย่างคือเราชอบถุงเท้ามาตั้งแต่เด็ก เลยคิดว่าทำไมในตลาดถึงไม่มีถุงเท้าวิ่งลายแฟนซีที่สนุกๆ แบบที่เราอยากใส่ อ๋องซึ่งจริงจังเรื่องการวิ่ง มีถุงเท้าโปรของยี่ห้อดังเต็มบ้าน แต่ส่วนใหญ่ก็มีแค่สีขาว เทา ดำ เลยคิดว่าทำไมเราไม่ทำให้มันสนุกขึ้น 

 

แล้วอ๋อง มองการสร้างแบรนด์นี้ยังไง

อ๋อง: สำหรับผมมันชัดมาก พอคิดได้ก็รีบลงมือเลย วันรุ่งขึ้นโทร.หาโรงงาน นัดคุย แล้วบอกเฟียตให้รีบคิดชื่อ ตั้งอีเมล ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีโอกาสเปลี่ยนชื่อไปแล้วด้วยซ้ำ

เราให้คำนิยามชื่อ Brooo ว่าสื่อถึงความเป็น ‘เพื่อน’ ความเป็น Buddy หรือมิตรภาพระหว่างพี่น้อง ที่สำคัญคือมันสะท้อนวิธีคิดของเรา ที่อยากสร้างแบรนด์จากสิ่งเล็กๆ อย่างถุงเท้า แต่เต็มไปด้วยความจริงใจและความสนุก

 

พื้นฐานอาชีพของทั้งคู่ดูไม่เกี่ยวกับแฟชั่น อะไรทำให้มั่นใจว่าจะทำได้

เฟียต: ตอนแรกอาจจะดูไม่เกี่ยวเลย ผมทำงานเป็น Experience Designer ด้านการออกแบบประสบการณ์กับเทคโนโลยี ส่วนอ๋องก็เป็นสถาปนิก สาขา Landscape Architect แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ เราอยู่ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และเป็นนักออกแบบทั้งคู่ เลยมีทักษะในการคิด การเข้าใจผู้คน และการเล่าเรื่อง

อ๋อง: ถึงจะเรียนมาคนละสาย แต่ผมอยู่ในวงการวิ่งตั้งแต่มหาวิทยาลัย เคยเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย แล้วก็อยู่กับทุกเวฟของ Run Club ตั้งแต่สมัยเป็นชมรมเล็กๆ จนถึงปัจจุบัน เลยเข้าใจทั้งฝั่งผู้ใช้จริงและการผลิต 

เฟียต: ผมเป็นพวกเนิร์ดด้วยครับ ชอบดูว่าของที่ใช้มันผลิตยังไง มาจากไหน โรงงานไหน พอถึงเวลาลงสนามจริง ก็เลยมั่นใจที่จะไปคุยกับโรงงานตรงๆ และหาคำตอบที่เหมาะสมกับสิ่งที่เราจะทำ

ออกตัวด้วยถุงเท้ารุ่นแรก: Take Off

ทำไมสินค้าแรกต้องเป็นถุงเท้า

เฟียต: เราอยากให้คนมองถุงเท้าเป็นมากกว่าแค่ของใช้ แต่มันคือสิ่งเล็กๆ ที่บ่งบอกสไตล์ เติมสีสัน และทำให้การออกกำลังกายสนุกขึ้น ที่สำคัญคือมันคือสัญลักษณ์ของมิตรภาพ ความเป็นเพื่อน และความจริงใจที่เรา 2 คนอยากส่งต่อ

อ๋อง: ถุงเท้าอาจดูเป็นของเล็กน้อย แต่เราคิดว่ามันคือจุดเริ่มต้นของการสร้างความต่าง และสร้างชุมชนเล็กๆ ที่แชร์ความคิดแบบเดียวกัน นั่นแหละคือสิ่งที่ Brooo อยากเป็น

เฟียต: ถุงเท้ารุ่นแรกของเราใช้ชื่อว่า ‘Take Off’ เป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกที่เราอยากให้มันสะท้อน DNA ของแบรนด์ ในขณะที่ผู้เล่นหลักในตลาดทั้ง Big Brand และ SME ส่วนใหญ่ยังคงทำถุงเท้าสีขาว เทา ดำ เรากลับมองเห็นช่องว่างในการเป็น Alternative Sportswear Brand ที่นำเสนอความแฟนซีและความต่างในดีไซน์

ดีไซน์ของ Take Off เราใช้หลักการออกแบบง่ายๆ เช่น Gradation, ความถี่, ความห่างของเส้นมาเล่น โดยไม่ทำให้มันแฟนซีจนเกินไป แต่เติมลายลูกศรลงไป ซึ่งกลายเป็นเหมือนซิกเนเจอร์ของแบรนด์ที่สื่อถึงการ ‘มุ่งตรงไปข้างหน้า’ นอกจากลวดลาย เรายังคิดถึงฟังก์ชัน การสวมใส่ และรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ ใช้เวลาผลิตประมาณ 2 เดือนกว่าจะได้ออกมาเป็นรุ่นแรก

 

แล้วความยากในตอนเริ่มต้นคืออะไร

เฟียต: ความยากคือ ความไม่รู้ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขั้นตอนไหนมันควรยากหรือง่าย ทุกอย่างใหม่หมด ตั้งแต่การผลิต การถ่ายแบบแฟชั่น ไปจนถึงการจัดการกองถ่าย แต่เพราะเราไม่เคยนิยามว่ามันยาก เลยทำให้ผ่านไปได้เรื่อยๆ แบบไม่ได้กลัวจนหยุด

 

ย้อนไปในช่วงแรกของการทำ Brooo มองตลาดสปอร์ตแวร์ในไทยยังไงบ้าง

อ๋อง: ตอนเริ่มแรกจริงๆ เราไม่ได้วิเคราะห์เชิงลึก เพราะมันเป็นช่วงที่เรายังใหม่ 2 ปีแรกเราโฟกัสกับการลงมือทำมากกว่า แต่สิ่งที่เรามั่นใจคือ เทรนด์การออกกำลังกาย มันจะโตขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว

พอมองภาพกว้าง ช่วงหลังโควิด-19 คนหันมาออกกำลังกายเยอะขึ้นมาก ไลฟ์สไตล์สุขภาพกลายเป็นเรื่องสำคัญของทุกคน มันทำให้ตลาดสปอร์ตแวร์โตไปด้วย ขณะเดียวกันฝั่งแบรนด์ใหญ่ก็เร่งทำสินค้าให้ตอบโจทย์เทรนด์นี้เหมือนกัน

ถ้ามอง Global Trend จะเห็นเลยว่า คนทั่วโลกใส่ใจสุขภาพมากขึ้น สปอร์ตแฟชั่นเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ซึ่งมันสะท้อนกลับมาที่ไทยด้วย ทำให้เรายิ่งมั่นใจว่า Brooo มาถูกทางแล้ว

Brooo ออกเสียงว่า โบร

เฟียต: ชื่อ Brooo มาจากที่ผมชอบเรียกอ๋องว่า Brooo อยู่แล้ว ตอนตั้งอีเมล ชื่อที่มี O ตัวเดียวหรือ 2 ตัวมันใช้ไม่ได้ เลยกลายเป็น O 3 ตัว และกลายมาเป็นชื่อแบรนด์ในที่สุด ซึ่งผมว่ามันมีเสน่ห์นะ ถึงคนจะอ่านไม่ถูก แต่กลับกลายเป็น Conversation Starter ให้เราได้เล่าเรื่องแบรนด์ไปด้วย

โลโก้ของเรามันเปลี่ยนไปตามพัฒนาการของแบรนด์ครับ ตอนแรกเป็น brooo ตัวเล็กทั้งหมดเลยคือ b, r และ o 3 ตัวเต็มๆ ให้เห็นชัด แต่พอทำไปสักพักเราพบว่ามันยังอ่านยาก คนยังไม่ค่อยแน่ใจว่าอ่านว่า โบร หรือเปล่า เลยปรับใหม่ให้ตัวแรกเป็น B ตัวใหญ่ เพื่อเน้นย้ำให้ชัดขึ้น ส่วน r และ o ที่ตามมาก็ยังเป็นตัวเล็กอยู่ แต่ลดจำนวน o ด้านหลังให้สั้นลง เพื่อให้มองง่ายขึ้นและอ่านว่า ‘โบร’ ได้ตรงกว่าเดิม

ส่วนเรื่อง ซับมาร์ก หรือ Logo Mark ผมได้แรงบันดาลใจมาจาก ‘หิ่งห้อย’ เพราะหนึ่งในซิกเนเจอร์ของ Brooo คือเรื่อง Reflective การสะท้อนแสง เราเล่นกับแสงอยู่แล้ว ซึ่งมันเชื่อมโยงกับงานที่ผมทำในฐานะ Experience Designer ที่ชอบเรื่องแสงด้วย

เวลาที่เราเห็นหิ่งห้อย เราจะรู้สึกถึง Flicker การกระพริบที่ทำให้บรรยากาศมันดูพิเศษ ดูอุดมสมบูรณ์ และที่สำคัญมันให้ความรู้สึกของความหวัง และแรงบันดาลใจ สำหรับผมหิ่งห้อยมันไม่ใช่แค่แมลง แต่มันเป็นสัญลักษณ์ของการส่องประกายเล็กๆ ที่สร้างความรู้สึกมหัศจรรย์ได้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผมอยากให้ Brooo สื่อสารออกไปผ่านซับมาร์ก

 

การแบ่งบทบาทหน้าที่ในการทำงาน

อ๋อง: ตอนนี้ผมเป็น CEO ดูแลภาพรวมทั้งหมด ทั้งเรื่อง Strategy, Vision, Finance, Operation และ Sales ส่วนเฟียตเป็น CMO ดูเรื่อง Marketing เป็นหลัก ซึ่งพาร์ตนี้สำคัญมากสำหรับแบรนด์

 

หลายคนมักบอกว่า ‘อย่าทำงานกับเพื่อน’ เพราะจะมีปัญหา เคยเจอบ้างไหม

เฟียต: โอ้โห เอาวันแรกก่อนเลย เรามองหน้ากันแล้วว่า ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีปัญหา จึงรู้ว่าต้องตั้งขอบเขตให้ชัดเจน เช่น เรื่องตัวเลข เรื่องเงิน ผมไม่ยุ่งเลย อ๋องก็จะรับผิดชอบตรงนี้ ส่วนในพาร์ตของการสื่อสารหรือมาร์เกตติงก็เป็นหน้าที่ผม เราประกาศชัดเจนตั้งแต่แรก

พอทำงานไปก็แน่นอนว่ามีวิวัฒนาการของปัญหา ตั้งแต่เกือบทะเลาะไปจนถึงทะเลาะ แต่เราก็เคลียร์กันได้ เพราะรู้จักกันมา 20 ปี เข้าใจบทบาทและหน้าที่กันดี ตอนเด็ก ม.6 เราไม่เข้าใจหรอก แต่ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่ เรารู้ว่า ‘ซีนนี้เป็นงาน’ ‘ซีนนี้เป็นเพื่อน’ ความเป็นห่วงในฐานะเพื่อนกับความเป็นห่วงในธุรกิจ ถ้าปนกันมากเกินไปมันจะเกิดปัญหาได้

 

ปัญหาเกิดขึ้นแล้วเคลียร์กันยังไงให้จบ

อ๋อง: เราแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวชัดเจน และไม่เอามาปนกันหรือปนน้อยที่สุด เพราะจะให้แยกหมดเลยมันก็ไม่ใช่มนุษย์ แต่เรารู้กัน 2 คน และไม่โกรธกันเวลาเคลียร์ เราคุยกันตรงๆ

เฟียต: ผมกับอ๋องโชคดีตรงที่ได้กลิ่นปัญหาตั้งแต่ยังไม่มองตา (หัวเราะ) ว่า ช่วงนี้น่าจะมีปัญหา และด้วยนิสัยผมก็จะปล่อยให้มันเกิดก่อน เพื่อจะได้รู้ขอบเขตของปัญหา แล้วจะไม่ทำอีก

เรามีกำหนดการนั่งคุยกัน มานั่งสะท้อนกันว่า ช่วงที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง 1 2 3 4 ผมจะเขียนมา อ๋องก็จะเขียนมา เพื่อคัดกรองความรู้สึกก่อน แต่เรารู้ว่าบางเรื่องเขียนไม่ดีเท่าพูด บางเรื่องพูดไม่ดีเท่าเจอหน้ากัน ปัญหาของหลายคนคือแชทคุยกันจนไม่รู้ความรู้สึก แต่การเป็น Brooo หรือพาร์ตเนอร์ มันเหมือนแต่งงานกัน ต้องวางปัญหาตรงกลางบนโต๊ะแล้วนั่งพูด ส่งพลัง ส่งตา ส่งความรู้สึกกันจริงๆ

The Balance Formula Between Style and Function

เวลาออกแบบหรือพัฒนาสินค้าใหม่ คุณมีมุมมองเส้นแบ่งระหว่างฟังก์ชันกับแฟชั่นอย่างไร

เฟียต: ผมชอบใช้คำว่า The Balance Formula Between Style and Function ที่เป็นเหมือนแท็กไลน์แรกของ Brooo จนวันนี้มันกลายเป็นมิสชันของเราไปแล้ว เราพยายาม Blur the line ระหว่างฟังก์ชันกับแฟชั่น และอยากสร้างความเชื่อมั่นในฟังก์ชันก่อน เพราะ Activewear หรือ Running Apparel แก่นของมันคือ Performance คือต้องมีวัสดุ เทคโนโลยี และการตัดเย็บที่ช่วยให้คนวิ่งได้ดีขึ้นจริงๆ

เราออกแบบให้เข้ากับ Tropical Conditions คือภูมิอากาศของบ้านเรา แล้วก็ใช้วัสดุที่ดี การผลิตที่ดี ตีไปมาตลอดระหว่าง สิ่งที่ตลาดต้องการ กับสิ่งที่เราอยากทดลอง

อย่างที่หลายคนถามว่า ทำไม Brooo ทำลายแบบนี้ ทำไมไม่เรียบๆ ไปเลย คำตอบคือเราอยากให้ตลาดที่คุ้นกับอะไรแบบเดิมๆ เปิดใจลองอะไรใหม่ๆ ด้วย เราเรียกมันว่า Experimental Playground ครับ เช่นตอนเราใส่กระเป๋าไว้ข้างเสื้อ หลายคนถามว่า ‘ใส่ทำไม’ ตอนแรกเราก็ถามตัวเองเหมือนกัน แต่จุดเริ่มต้นมันง่ายมาก จากปัญหาของอ๋องเลยว่า เวลาวิ่งจะเอากุญแจรถไปไว้ไหน จะเอาบัตรหรือเงินสดไปยังไง เพราะกางเกงวิ่งสมัยก่อนสั้นๆ ไม่มีกระเป๋า และถ้าใส่ก็จะตุงๆ ไม่สบาย เราเลยลองใส่กระเป๋าในตำแหน่งใหม่ แล้วมันเวิร์ก คนก็เริ่มยอมรับว่ามันตอบโจทย์จริง

ผมเชื่อว่า คนไม่ได้ซื้อ Brooo เพราะแค่สวยหรือเท่ แต่เขาซื้อเพราะ คุณภาพและความมั่นใจ สินค้าของเราช่วยให้เขามี Performance ที่ดีขึ้น พาตัวเองไปถึงจุดที่ดีที่สุดได้ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาเชื่อมั่นในแบรนด์

 

คุณคิดว่าเสื้อผ้ากีฬาที่ดีควรมีองค์ประกอบอะไรบ้าง

อ๋อง: สำหรับผม คำตอบมันตรงไปตรงมามากเลยคือ ความมั่นใจ ไม่ว่าจะมาจากเทคโนโลยี ดีไซน์หรืออะไรก็ตาม ถ้าลูกค้ามั่นใจในสินค้านั้น และพอเขาได้ใส่จริงแล้วใช้งานซ้ำๆ จนเสื้อผ้ามันพังไปเอง ผมว่ามันคือของที่ดีแล้ว เพราะมัน Inspire ให้เขาอยากออกกำลังกายต่อไป ไม่เลิกกลางทาง

แต่ละแบรนด์มีทิศทางไม่เหมือนกัน บางแบรนด์เทคโนโลยีจัดเต็มเลย ลูกค้าซื้อเพราะเชื่อในเทคโนโลยี บางแบรนด์แฟชั่นจัดเต็ม ลูกค้าซื้อเพราะใส่แล้วเท่ มั่นใจที่จะออกไปวิ่ง ผมมองว่านั่นแหละคือแก่นของเสื้อผ้ากีฬา

 

แล้ว Brooo ตอบโจทย์นิยามนี้ของ ‘เสื้อผ้ากีฬาที่ดี’ ไหม

อ๋อง: ผมตอบเลยว่า ใช่ เพราะ Brooo ถูกคิดมาเพื่อตอบโจทย์นี้โดยตรง เรามองว่ามันเป็นคีย์ที่ทุกคนเข้าถึงได้จริงๆ ผมอธิบายด้วยสิ่งที่เรียกว่า Inside Out เพราะผมเองมี 3 บทบาทในเวลาเดียวกัน นักกีฬา นักออกแบบ และเจ้าของแบรนด์

ในฐานะนักกีฬา เราออกแบบที่ช่วยเสริม Posture ใช้วัสดุและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ Performance จริงๆ ในฐานะนักออกแบบ เราอยากได้งานที่สวยงามและใส่แล้วมั่นใจ ไม่ใช่งานที่ใส่แล้วเขิน และในฐานะเจ้าของแบรนด์ เราต้องใส่ใจทุกรายละเอียด ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์จนถึงการสื่อสาร เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่นเหมือนที่เราเชื่อ

ผมว่าพอรวมกัน 3 หลักนี้ มันคือสิ่งที่ทำให้เราผลิตเสื้อผ้ากีฬาที่ดีที่สุด เท่าที่เราทำได้

 

สินค้าตัวไหนเป็นสินค้าที่สามารถ Present แบรนด์เราได้ออกมาได้ดีที่สุด

อ๋อง: ถ้าสำหรับผมก็คือ ทุกตัว อาจจะฟังดูเหมือนตอบเลี่ยง แต่จริงๆ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ อย่างที่เฟียตพูดเมื่อกี้ เราใส่ใจกับทุกมิติของทุกผลิตภัณฑ์มากๆ กว่าที่จะออกของใหม่มาแต่ละชิ้น เราจะผ่านกระบวนการคิดและทดลองเยอะมาก ทั้งในเรื่องคุณภาพ ความเหมาะสม และการดูตลาด หรือ Product-market Fit เราศึกษาความต้องการของคนที่เข้ามาในตลาด แล้วพยายามออกสินค้าให้ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด

เฟียต: พวกเราเข้มข้นกับขั้นตอนมากๆ เพราะการทำเสื้อผ้าแต่ละตัวมีองค์ประกอบเยอะ เราจะเริ่มจากการวางคอนเซปต์ก่อนเสมอ เช่น ปีนี้ธีมคืออะไร จะสื่อสารยังไง แล้วโยงกับทิศทางของเทรนด์การตลาด บวกกับความเสี้ยน หรือความอยากทำและความชอบส่วนตัวของพวกเรา จากนั้นก็ค่อยเอามาผสมผสานกัน ทำให้ทุกผลิตภัณฑ์ที่ออกมามันมีที่มาที่ไป มีความหมาย และเป็นตัวแทนของ Brooo ได้จริงๆ

เพราะฉะนั้น วันนี้ผมคิดว่าทุกโปรดักต์คือ หน้าตาของ Brooo ทั้งหมด มันมีจุดแข็งของมันเองในแต่ละตัว และรวมกันแล้วก็คือแบรนด์เรา

ปัจจุบัน Brooo มีสินค้าหลากหลายประเภทและ SKU (Stock Keeping Unit) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมแล้วเกือบ 300 SKU โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักที่เข้าใจง่ายคือ เสื้อ กางเกง และถุงเท้า ซึ่งทุกหมวดหมู่ต่างก็สะท้อนตัวตนและแนวคิดของแบรนด์ในมุมที่แตกต่างกันออกไป

ขยายฐานลูกค้าด้วยคอลเลกชัน ‘Out of Office’

ก่อนหน้านี้สินค้า Brooo แบ่งกลุ่มอย่างชัดเจน เช่น Road (วิ่งถนน) และ Trail (วิ่งเทรล) ซึ่งทำให้การเข้าถึงยังจำกัดอยู่ในกลุ่มนักวิ่งจริงจังเท่านั้น แต่ในช่วงหลัง แบรนด์ได้ปรับทิศทางการตลาดใหม่ โดยเพิ่มคอลเลกชันที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะคอลเลกชัน ‘Out of Office’

ทั้งสองอธิบายว่า คอลเลกชันนี้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่ใส่ง่าย สบาย และเข้าถึงได้ง่ายเหมาะสำหรับกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มต้นวิ่ง หรือเริ่มเข้าสู่โลกของการออกกำลังกาย โดยวางตัวให้อยู่ใน Grey Area ระหว่าง Sportswear และ Lifestyle Wear ไม่ได้เฉพาะเจาะจงด้านใดด้านหนึ่งเกินไป

อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวคอลเลกชันนี้ยังสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายเดิมและกลุ่มเป้าหมายใหม่ของ Brooo

เฟียต: กลุ่มลูกค้าของ Brooo แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ Out of Officer กลุ่มคนเมือง วัย Gen Y ขึ้นไป ที่มีกำลังซื้อและมองหาแบรนด์สปอร์ตคุณภาพสูง พวกเขามีไลฟ์สไตล์แบบทำงานในเมืองแต่เผลอเมื่อไรก็พร้อมออกไปใช้ชีวิต เช่น หลังเลิกงานรีบไปวิ่งที่สวน หรือวันหยุดขับรถไปออกกำลังกายต่างจังหวัด

และ The Youthfuler กลุ่มที่อาจมีอายุมากขึ้น แต่ยังเลือกใช้ Brooo เพราะเชื่อว่าการใส่แบรนด์นี้ทำให้รู้สึก Live Young ดูหนุ่มสาวขึ้น ไม่เพียงเพราะคุณภาพสินค้า แต่ยังสะท้อนผ่านภาพลักษณ์แบรนด์ที่สื่อสารแตกต่าง ไม่เป็นทางการเกินไป

การเปิดตัว Out of Office จึงเป็นการต่อยอดจากฐานลูกค้าเดิมของ Brooo และขยายไปยังกลุ่มใหม่ ที่อยากได้เสื้อผ้ากีฬาซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่บนลู่วิ่งหรือสนามแข่งเท่านั้น

นักกีฬาของ Brooo

เฟียต: ผมมองว่าปัจจัยแรกคือเรื่อง Good Product เราต้องเริ่มจากการทำสินค้าที่ดีจริงๆ ก่อน มันเป็นกุญแจสำคัญที่สะท้อนถึงความใส่ใจและความจริงใจที่เรามีต่อลูกค้า รวมถึงต่อตัวเราเอง เพราะเราไม่ได้แค่ขาย แต่เราต้องใช้มันจริงๆ ด้วย

อย่างอ๋องก็เพิ่งกลับมาจากไปแข่งวิ่งเทรลที่เกาหลี ระยะ 50 กิโลเมตร และติดอันดับต้นๆ ของผู้เข้าร่วมกว่าหลายพันคน ตรงนี้มันสะท้อนความเป็นเลิศ ส่วนผมก็นำเสนอในอีกมิติหนึ่งด้วยการทำคอนเทนต์ที่สนุก บางครั้งก็มีความรั่วๆ เพื่อให้เข้าถึงง่าย แต่ก็ยังเชื่อมกับแบรนด์เสมอ เราเลยเชื่อมคนกีฬา 2 ฟากเข้าหากันได้ ทั้งในแง่ผลงาน คอนเทนต์ และสินค้าที่ดี

ในด้านปัจจัยภายนอก เราก็ให้ความสำคัญเช่นกัน เราสื่อสารถึงความแข็งแกร่งของ Partner ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การจัดจำหน่าย หรือการทำงานกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ ตัวอย่างเช่น การเป็นพาร์ตเนอร์กับร้าน REV Runnr ที่ช่วยให้สินค้าของเรามีช่องทางจำหน่ายกว่า 40 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งถือว่าไม่น้อยสำหรับแบรนด์ SME แบบเรา สิ่งนี้เป็นการยืนยันกับตลาดว่าของเรามีคุณภาพ ผลิตได้ในจำนวนที่เพียงพอ และลูกค้าสามารถเชื่อใจและซื้อซ้ำได้

ขยายความถึง ‘นักกีฬา’ ของ Brooo ว่าเราซัพพอร์ตอย่างไร

อ๋อง: นิยามของนักกีฬาที่ Brooo เลือกคือ ‘Ordinary person who presents art out of ordinary life’ เราเฟ้นหาคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตไม่ธรรมดา และเล่าเรื่องราวของเขาผ่านมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ ปีนี้เรามีทั้งหมด 9+1 คน โดยส่วนใหญ่เป็นสาย Running หนึ่งในนั้นก็คือผมเองที่ทำหน้าที่เป็นกัปตันทีม

เฟียต: สิ่งที่นักกีฬาเหล่านี้ทำ ไม่ใช่แค่วิ่งเพื่อรางวัล แต่พวกเขามีส่วนร่วมในการร่วมพัฒนาโปรดักต์กับเรา เดิมทีผมกับอ๋องออกแบบเองทั้งหมด แต่ตอนนี้เราได้ Feedback จากนักกีฬาจริงๆ กว่า 10 คน ทำให้การพัฒนาชัดเจนและตรงจุดมากขึ้น อีกด้านหนึ่งคือการนำเสนอแนวคิด ‘Out of Ordinary’ ที่แต่ละคนสะท้อนผ่านชีวิตตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคนเมืองหรือเกษตรกรต่างจังหวัด แต่ต่างก็เล่าเรื่องราวอย่างสร้างสรรค์และเชื่อมโยงกลับมาที่แบรนด์ได้

.

เป้าหมายสู่ Global Brand

อะไรคือกลยุทธ์ที่ทำให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้นแล้วก็เกิดการซื้อซ้ำบ่อยๆ 

อ๋อง: งานใหญ่สุดที่เราไปคือ UTMB World Series Finals ที่ชามอนี ฝรั่งเศส ซึ่งเปรียบเหมือนโอลิมปิกของวงการวิ่งเทรล เราออกบูทในงาน Expo ที่รวมแบรนด์กีฬาชั้นนำจากทั่วโลก ความท้าทายคือมันเหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่ เพราะไม่มีใครรู้จักเราเลย เราต้องทำให้คนจำเราให้ได้ตั้งแต่วินาทีแรก เราเลือกใช้คอนเซปต์ Crafted in Thailand เพื่อสื่อสารจุดแข็ง เพราะจริงๆ แล้ว Sports Apparel ระดับโลกผลิตในไทยมานานแล้ว เราตกแต่งบูทให้มีความเป็นไทย เช่น ใช้ผ้าและของตกแต่งจากไทย ลูกค้าที่เดินเข้ามาจะถามทันทีว่า Made in Thailand หรือ และพวกเขารู้สึกประทับใจกับทั้งดีไซน์และคุณภาพ สิ่งนี้ทำให้เรามั่นใจว่า Brooo สามารถสู้กับแบรนด์ใหญ่ระดับโลกได้

แล้วเป้าหมายต่อไปของคุณคืออะไร

อ๋อง: เป้าหมายหลักคือการเป็น Global Brand เรามีโรดแมปชัดเจน โดยเฉพาะปี 2028 ที่จะมีโอลิมปิก เราอยากมีส่วนร่วมให้ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ปีนี้จะโฟกัสตลาดในประเทศให้แข็งแรงก่อน ปีหน้าเริ่มขยายไปประเทศใกล้ๆ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และค่อยๆ สเกลขึ้นตามแผน

 

ถ้าเทียบกับ Roadmap ปี 2028 ตอนนี้เราสำเร็จไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว

เฟียต: ถ้าตามโรดแมปจริงๆ เรายังห่างไกลอยู่ แต่เรามี Milestone ชัดเจน เหลือเพียงทำตามเช็กลิสต์ปีต่อปี ถือว่ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง

 

ให้แนะนำ 1 ชิ้น สำหรับคนที่ยังไม่เคยลอง Brooo ควรเริ่มจากอะไร

ทั้งคู่แนะนำไลน์ Out of Office ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กางเกง หรือถุงเท้า เพราะออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนทำงาน เพราะใส่ไปทำงานได้ตอนเช้า ตอนเย็นก็ไปวิ่งต่อได้ทันที วัสดุและฟังก์ชันคือ Running Gear เต็มรูปแบบ แต่ดีไซน์ยังดู Casual ใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย

Tags: , , , , ,