ในวันที่หลายคนบอกว่าคนอ่านหนังสือลดลง สำนักพิมพ์เล็กๆ แห่งหนึ่งกลับถือกำเนิดจากความเชื่อของคนที่ยังศรัทธาในพลังของเรื่องเล่า ABÚBOGO คือสำนักพิมพ์ที่ ฟาโรส-ณัฏฐ์ กลิ่นมาลี หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ ‘คุณแดง’ จากรายการไกลบ้าน, ช่างเชื่อม และ People You May Know ก่อตั้งขึ้นด้วยความตั้งใจอยากทำหนังสือให้คนได้อ่านจริงๆ

หนังสือเล่มแรกของสำนักพิมพ์คือ Far from Home คอมิกที่ถ่ายทอดเรื่องราวของแก๊งเพื่อน ผ่านงานวาดเส้นและการลงสี เมื่อเหล่าตัวละครขวัญใจชาวช่อง ได้โลดแล่นมีชีวิตอยู่ในโลกอีกใบ นี่คือหนังสือที่เปิดประตูให้เราไปพบกับเรื่องราว ความรู้สึก และคำถามที่ซ่อนอยู่ระหว่างทาง เบื้องหลังการเริ่มต้นครั้งนี้เต็มไปด้วยความฝัน ความกล้า และความท้าทายของการทำงานสร้างสรรค์ ในยุคที่ไม่ง่ายสำหรับคนที่คิดอยากทำหนังสือสักเล่ม

เราชวนฟาโรสมาพูดคุยถึงที่มาของ ABÚBOGO การออกเสียงชื่อที่คนอาจยังเรียกไม่เหมือนกัน รวมถึงการร่วมงานกับนักวาดและนักเขียน ไปจนถึงเป้าหมายของการสร้างสำนักพิมพ์

  1. จุดเริ่มต้นของความกล้าที่จะทำสำนักพิมพ์ในยุคที่คนอ่านน้อยลง 

อะไรทำให้คุณตัดสินใจทำสำนักพิมพ์ 

จริงๆ แล้วสำนักพิมพ์เกิดขึ้นทีหลัง เพราะตอนแรกสิ่งที่อยากทำคือหนังสือการ์ตูน Far from Home เป็นคอมิกที่อยากให้เล่าเรื่องไกลบ้านในแบบที่เราอยากเห็น อยากให้มันเป็นเล่มที่จับต้องได้จริง แต่พอเริ่มทำจริงๆ มันใช้เวลามากกว่าที่คิด ทั้งการวางโครงเรื่อง หานักวาด รวมทีมทำงานใหม่ พูดตรงๆ มันก็เรื่องเงินด้วยแหละ (หัวเราะ) เพราะใช้ทั้งเวลาและงบประมาณไปเยอะกว่าที่วางไว้

พอทำเล่มเสร็จ เราก็เริ่มคุยกันว่า แล้วเราจะขายยังไงดี ถ้าไปฝากขายกับสำนักพิมพ์อื่น เราจะได้ส่วนแบ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ลงทุนลงแรงไป แล้วเราก็คิดต่อว่า ในเมื่อเรามีเพื่อนในทีมที่เป็นนักเขียน เป็นอาจารย์ เป็นคนที่ชอบเล่าเรื่องอยู่แล้ว มันน่าจะไม่ได้มีแค่เล่มเดียวแน่ๆ

เรามองว่าทางออกที่ดีที่สุดคือ การตั้งสำนักพิมพ์ของตัวเอง จะได้ดูแลทุกอย่างได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งงานสร้างสรรค์และการจัดจำหน่าย มันอาจไม่ได้ง่าย แต่เราจะได้เป็นเจ้าของเรื่องเล่าของตัวเองจริงๆ

เราไม่ได้ตั้งใจจะเป็นสำนักพิมพ์ใหญ่หรือทำหนังสือออกมาเยอะๆ แต่อยากมีพื้นที่เล็กๆ สำหรับทำหนังสือที่เราเชื่อว่า ยังมีคนอยากอ่านอยู่จริงๆ

ใครๆ ก็บอกว่า ยุคนี้คนไม่อ่านหนังสือแล้ว ทำไมถึงเลือกทำหนังสือ

ช่วงกลางปีที่ผ่านมา เราจัดนิทรรศการครั้งแรก เนื้อหาเยอะมากแต่ก็ไม่มีเวลาได้ตัดออก ปรากฏว่ามีคนอ่านจนจบ อินกับมันจริงๆ ทำให้เห็นว่าคนยังอยากอ่านอยู่

อีกอย่างเราสังเกตตัวเองว่า เสพคอนเทนต์ในมือถือเยอะมาก แต่กลับไม่รู้สึกว่าได้อะไรที่มีความหมาย มันแค่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป แต่พออ่านหนังสือจริงๆ สมองได้คิดและใช้สมาธิ เหมือนทำสปาให้สมอง

พอรวมกับประสบการณ์จากนิทรรศการ เราเลยมั่นใจว่าหนังสือยังตอบโจทย์คนที่อยากเสพอะไรช้าลง ลึกขึ้น และอยู่กับมันจริงๆ สำหรับเรา หนังสือจึงไม่ใช่แค่โปรเจกต์ธุรกิจ แต่มันคือของขวัญเล็กๆ ให้คอมมูนิตี้ของเรา

  1. จากรายการไกลบ้าน สู่หนังสือคอมิก Far from Home

โปรเจกต์หนังสือเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร

ถ้านับจริงๆ ก็น่าจะประมาณ 2 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2023 ตอนนั้นทำรายการไกลบ้านมาถึงจุดหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าเราได้ลองทำหลายอย่างมาก ทั้งรายการหลัก พอดแคสต์ นิทรรศการ ทอล์กอีเวนต์ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากจากคนดู

พอทำไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นว่า มีคนอินกับสิ่งที่เราทำจริงๆ เหมือนเขาไม่ได้ดูแค่เพราะเป็นรายการท่องเที่ยว แต่เพราะเขารู้สึกเชื่อมโยงกับรายการไกลบ้าน เราเลยเริ่มตั้งคำถามว่า ไกลบ้านจะขยับขยายไปในที่ทางอื่นได้อีกไหม จะยังเล่าเรื่องแบบเดิม แต่ในรูปแบบที่ต่างออกไปได้หรือเปล่า

เลยคิดถึงการทำหนังสือขึ้นมา ตอนแรกก็คิดว่าอาจเป็นหนังสือเล่าเรื่องธรรมดา แต่พอคิดไปคิดมา เรารู้สึกว่ามันเดาได้เกินไป อยากทำอะไรที่ท้าทายตัวเองมากกว่านั้น ช่วงนั้นบังเอิญได้จัดของ ย้ายห้อง แล้วไปเจอกล่องหนังสือการ์ตูนที่เคยอ่านตอนเด็กๆ ก็เลยเกิดคำถามว่า “แล้วการ์ตูนไทยตอนนี้เป็นยังไงนะ”

พอไปศึกษาก็พบว่า มีศิลปินเก่งๆ อยู่เยอะเลย แต่ในตลาดไทยเองยังไม่ค่อยเฟื่องฟูเท่าไร เราเลยคิดว่าถ้ามีคนมีฝีมือขนาดนี้ ทำไมไม่ลองทำอะไรบางอย่างร่วมกันดูบ้าง เลยเริ่มปรึกษาเพื่อนๆ ในแวดวงศิลปกรรม มีทั้งเพื่อนที่เป็นอาจารย์ในคณะศิลปกรรม เขาก็ช่วยแนะนำว่า การทำคอมิกสักเล่มต้องเตรียมอะไรบ้าง ต้องทำอย่างไร

สุดท้ายก็เลยลงเอยที่ว่า หนังสือเล่มแรกของเราควรจะเป็นคอมิกนี่แหละ เพราะมันทั้งเล่าเรื่องและเปิดพื้นที่ให้ศิลปินไทยได้โชว์ฝีมือไปพร้อมกัน

  1. เบื้องหลังการสร้างคอมมิกเล่มแรกที่ไม่ง่ายแต่เต็มไปด้วยหัวใจ 

การทำหนังสือเล่มแรกอย่าง Far from Home เป็นงานที่ยากไหม

ยาก แต่เป็นความยากที่สนุกนะ (หัวเราะ)

ถ้าพูดถึงการทำงานกับทีมวาด ต้องบอกว่าโชคดีมาก เพราะทีมนี้เป็นกลุ่มศิลปินที่คุยกันตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อม พูดแบบไหนก็หมายความแบบนั้นเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสื่อสาร ถ้าพูดแล้วอีกฝ่ายเข้าใจไม่ตรงกัน มันจะเหนื่อยมาก

ในโปรเจกต์นี้สิ่งที่ยากจริงๆ คือขั้นตอนของการทำหนังสือ เพราะมันมีรายละเอียดเยอะมาก ตั้งแต่การวางเรื่อง การออกแบบตัวละคร การจัดหน้า ไปจนถึงงานพิมพ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน มันเลยรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในพื้นที่ใหม่ ต้องเรียนรู้ทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีคือ ทีม ทุกคนคุยกันรู้เรื่อง เข้าใจกันง่าย และพร้อมช่วยกันคิดตลอดเวลา พอทีมสื่อสารกันดี ความยากมันก็เบาลงเยอะเลย

ได้ทำงานกับนักเขียนและนักวาดเป็นยังไงบ้าง

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เกิดจากฝีมือของคนคนเดียว แต่เป็นเหมือนสตูดิโอเล็กๆ ที่แต่ละคนรับผิดชอบคนละส่วน เราอยากลองทำระบบทีมให้เหมือนสตูดิโอคอมิกในต่างประเทศ คือมีคนเขียนบท คนทำสตอรีบอร์ด คนออกแบบคาแรกเตอร์ และคนวาดฉาก ซึ่งทั้งหมดต้องสื่อสารและเข้าใจกันให้ตรง เพราะงานแบบนี้ ถ้าความเข้าใจคลาดกันแม้แต่นิดเดียว งานจะไปคนละทางทันที

คนแรกคือ สะอาด (ธนิสร์ วีระศักดิ์วงศ์) เป็นนักวาดการ์ตูนชื่อดังที่เราชอบผลงานของเขาอยู่แล้ว ชอบวิธีเล่าเรื่องในแต่ละช่อง ชอบมุมกล้องและมุกตลกเล็กๆ ที่เขาใส่ไว้ในงาน ก็เลยชวนมาช่วยทำสตอรีบอร์ดให้ เพราะรู้ว่าเขาจะช่วยวางภาพรวมของเรื่องให้แข็งแรงขึ้น ที่สำคัญคือสะอาดเป็นคนคุยง่าย ไม่มีอีโก้ และยืดหยุ่นมาก ถ้าเขาเป็นคนเรื่องเยอะ งานนี้คงไม่สำเร็จแน่ เพราะระหว่างทางต้องแก้ไข ปรับจูนกันหลายรอบจริงๆ

คนที่ 2 ทำคาแรกเตอร์ดีไซน์คือ เฟรนด์ เพื่อนเราตั้งแต่ ม.1 ปกติเขาทำอาร์ตทอย เป็นศิลปินที่ถนัดงาน 3 มิติ ไม่เคยออกแบบตัวละครในการ์ตูนมาก่อน แต่เราชอบลายเส้นเขาเลยชวนมาลองดู ปรากฏว่าพอทำออกมา มันใช่มาก เส้นของเขามีเอกลักษณ์และปรับตามโจทย์ได้ดี เขาเป็นคนใจเย็นมาก ซึ่งสำคัญมากกับงานแบบนี้ เพราะต้องค่อยๆ สเกตช์ ปรับ ฟังฟีดแบ็ก แล้วออกแบบให้ลงตัวระหว่างแรงบันดาลใจจากตัวละครจริงกับคาแรกเตอร์ที่ต้องมีชีวิตอยู่ในโลกของคอมิก

อย่างตัวละคร ‘จิโต้’ ที่ต้นแบบจริงตัวสูง แต่พออยู่ในคอมิก เฟรนด์เสนอให้ลดไซซ์ลงให้ดูน่ารักขึ้น หรือ ‘แชมมี่’ ที่ต้นแบบเป็นสาวประเภทสองจากปารีส เขาก็ใส่ความเฟมินินเข้าไปนิดหน่อย เพื่อให้ภาพรวมของทีมตัวละครดูแตกต่างและกลมกลืนกันบนหน้ากระดาษ

คนสุดท้ายในโปรเจกต์ที่มาทำฉากคือ Louis Sketcher (ศุภชัย วงศ์นพดลเดชา) เขาเป็นศิลปินที่ชอบวาดภาพสถานที่อยู่แล้ว ปกติทำหนังสืออย่าง Moments in Chiang Mai หรือ Moments in Bangkok เราก็เลยทาบทามให้มาวาดฉากในเรื่องนี้ ซึ่งโลเคชันหลักคือ ปารีส เพราะในเรื่องมันมีบรรยากาศของการไปบ้านและความทรงจำที่เชื่อมกับสถานที่ หลุยส์ช่วยเติมชีวิตให้ฉากเหล่านั้นมาก แต่เพราะเขาไม่เคยทำมาก่อน ก็ปรับกันเยอะเหมือนกัน เช่น เส้นของฉากกับเส้นของคาแรกเตอร์บางทีก็ไม่เข้ากัน ต้องแก้หลายรอบกว่าจะลงตัว

ดูเป็นงานที่ใช้ทีมใหญ่พอสมควร

ใช่ หลังจากที่ 3 คนหลัก สะอาด เฟรนด์ และหลุยส์ วางโครงงานไว้แล้ว ก็จะมีทีมที่ชื่อว่า Croissant Studio มาช่วยต่อในขั้นตอนลงสี ตัดเส้น และใส่เงาให้ตัวละคร เพราะรายละเอียดมันเยอะมาก ต้องมีคนกำหนดเงา เส้น และน้ำหนักของสีให้ไม่แบน เพื่อให้ภาพดูมีมิติและชีวิตชีวา เรียกได้ว่าทุกขั้นตอนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนจริงๆ

เห็นเบื้องหลังพาทีมไปปารีสด้วย 

หลายคนก็แซวกันใหญ่เลย เพราะทีมที่ไปด้วยมีทั้งนักเขียน นักวาด และทีมเบื้องหลังครบชุด อย่างภูมิยังพูดขำๆ ว่า “ผมทำหนังสือมาก็หลายเล่ม ยังไม่เคยเห็น บก.ที่ไหนพาทีมไปแบบนี้เลย” ตอนนั้นทุกคนก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า เราจะได้อะไรกลับมาบ้าง บอกตรงๆ ว่าเราไม่รู้หรอกว่าจะได้ผลลัพธ์แบบ 1 2 3 4 5 ออกมาไหม แต่มีเซนส์ว่า ถ้าอยากให้งานมันใช่จริงๆ ต้องพาเขาไปเห็นด้วยตา

เพราะถ้าต้องดูภาพจาก Google อย่างเดียว การเล่าเรื่องมันจะถูกจำกัดอยู่ในกรอบเดิมๆ สมมติเราจะวาดนอเทรอดาม พอเปิด Google ก็จะเห็นแต่มุมคลาสสิกมุมเดิม แต่พอได้ไปเห็นสถานที่จริง มันกลับเต็มไปด้วยมุมมองแปลกใหม่ที่ไม่มีในภาพถ่าย เช่น มองจากหลังการ์กอยล์ลงมา หรือจากตรอกเล็กๆ ที่คนไม่ค่อยเห็น ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้งานมีชีวิตขึ้นมา

เราอยากให้ทุกคนได้ซึมซับไม่ใช่แค่ดูรูปอ้างอิง แต่รู้สึกถึงบรรยากาศและจังหวะของเมืองจริงๆ เพื่อกลับมาถ่ายทอดออกมาอย่างมั่นใจ และไม่เขินเวลาให้ใครอ่านหรือดูผลงาน เพราะเราภูมิใจจริงๆ ว่านี่คือของที่เราเห็นมากับตา

ผลที่ตามมาก็เกินคาด อย่างเฟรม คนออกแบบคาแรกเตอร์ เขาเล่าว่าไม่เคยไปฝรั่งเศสมาก่อน และตอนแรกในหัวคิดว่า ตัวละครประกอบในฉากคนเดินผ่าน ตำรวจ คนก่อสร้าง คงเป็นฝรั่งผมทองตาฟ้าเหมือนในการ์ตูนทั่วไป แต่พอได้ไปเห็นจริงถึงเข้าใจว่า ปารีสเป็นเมืองที่หลากหลายมาก มีคนทุกเชื้อชาติ ทุกสีผิว ทุกบุคลิก เขาเลยกลับมาวาดตัวประกอบได้มีชีวิตขึ้น ทั้งเสื้อผ้า สีหน้า หรือท่าทางเดินล้วนเกิดจากสิ่งที่ได้เห็นจริง

ฝั่งทีมฉากก็เหมือนกัน การได้ไปดูสถานที่จริงทำให้เห็นรายละเอียดที่ Google Street View ให้ไม่ได้ เช่น ความโค้งของถนน การเรียงของตึก หรือแสงตอนบ่ายที่ตกกระทบอาคาร ซึ่งทั้งหมดกลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญในภาพ

สุดท้ายการพาไปปารีสครั้งนั้นเลยกลายเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เพราะทุกคนกลับมาพร้อมแรงบันดาลใจและมุมมองใหม่ๆ ที่ต่อให้หาข้อมูลออนไลน์เท่าไรก็ไม่มีทางได้แบบนั้นเลย

  1. ที่มาของชื่อ ABÚBOGO และวิธีอ่านที่ไม่มีผิดถูก

ชื่อสำนักพิมพ์ ABÚBOGO หลายคนสงสัยว่า ตกลงแล้วมันออกเสียงยังไงแน่ 

จริงๆ แล้วไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้น เพราะตั้งใจให้มันเป็นกิมมิกเล็กๆ มากกว่า

ถ้าออกเสียงแบบไทยๆ มันก็จะกลายเป็น ‘อากูโบโก้’ อยู่แล้ว เพราะธรรมชาติของภาษาไทยเวลาเรายืมคำต่างประเทศมา เรามักจะใส่วรรณยุกต์สูงที่ท้ายคำ เช่น พารากอน เราก็พูดกันว่าพาราก้อน หรือ Central ที่กลายเป็นเซ็นทั่น เพราะฉะนั้น ABÚBOGO ถ้าอ่านแบบไทยก็จะได้ อากูโบโก้

ส่วนความหมายของคำว่า ABÚBOGO มีนิยามไว้ 2 ข้อ

  1. a made-up word that serves as an example of a four-syllable word stressed on the third-from-last syllable (คำที่แต่งขึ้นเพื่อใช้เป็นตัวอย่างของคำ 4 พยางค์ ที่เน้นที่พยางค์ที่ 3 จากสุดท้าย)

  2. a publisher (สำนักพิมพ์)

ข้อแรกมันเนิร์ดมาก คือเราชอบคำว่า antepenultimate (ก่อนสุดท้าย) ซึ่งหมายถึงพยางค์ที่ 3 จากท้าย แต่กลัวคนอ่านแล้วงง ก็เลยเขียนว่า third-from-last syllable แทน มันเลยดูทั้งขำทั้งเฉพาะตัวดี เหมือนชื่อเรามันกลายเป็นคำที่มีชีวิตขึ้นมาเองเลยค่ะ

คำว่า ABÚBOGO ในไกลบ้าน นี่มันเกิน 4 ปีแล้วนะ คิดว่าอาจจะ 5 ปีด้วยซ้ำ พอถึงจุดที่หนังสือจะออก เราก็แบบเอาชื่อนี้แหละ ตอนนั้นในหัวมีอยู่หลายชื่อ แต่ ABÚBOGO เป็นชื่อที่พอชาวช่องเห็นแล้วจะต้องกรี๊ด คือมันขำ จำง่าย แล้วมีความผูกพันอยู่ด้วย

เรารู้สึกว่าชาวช่องเรามีหลายเจนมาก ทั้งคนที่เพิ่งมาติดตามได้ไม่กี่เดือน ไปจนถึงคนที่อยู่มาตั้งแต่ยุคแรกๆ การที่เรากลับไปหยิบชื่อ ABÚBOGO มาใช้ มันเหมือนเป็นการให้เกียรติคนที่อยู่กับเรามาตั้งแต่วันแรก ในขณะเดียวกันคนใหม่ๆ ก็จะได้รู้ด้วยว่า ชื่อนี้มันมีที่มานะ แล้วก็ไปตามดูย้อนหลังได้ ตอนนั้นคิดชื่อกันอยู่ดีๆ ก็ปิ๊งขึ้นมาเลยว่าเอาชื่อนี้แหละ

  1. เสียงตอบรับจากคนอ่านที่เกินคาดหลังเปิดพรีออร์เดอร์

หลังจากเปิดพรีออร์เดอร์ไปแล้วเป็นยังไงบ้าง

ฟีดแบ็กดีเกินคาด ตอนนี้ยอดพรีออร์เดอร์แตะที่ 1.5 หมื่นเล่มแล้ว ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับวงการหนังสือไทย จนต้องปิดพรีออร์เดอร์ก่อนกำหนด เพราะโรงพิมพ์ผลิตไม่ทัน

เราไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องได้ยอดเท่าไร เพราะมองโปรเจกต์นี้เหมือนการทดลองมากกว่า มีเพียงเป้าขั้นต่ำไว้ในใจว่าต้องถึงระดับที่คุ้มทุน แต่ไม่ได้คิดเลยว่าจะไปได้ไกลขนาดนี้

เราดีใจกับฟีดแบ็กมาก เกินคาดจริงๆ เพราะปกติวอลุมของหนังสือในช่วงเวลาเท่านี้จะไม่ได้เยอะขนาดนี้ เราตั้งใจทำเต็มที่ ส่วนที่เหลือมันเป็นหน้าที่ของผู้อ่านแล้วว่า เขาจะชอบไหม จะอยากบอกต่อไหม เราเชื่อแบบนั้นเสมอ ไม่ว่าจะทำหนังสือหรือจัดอีเวนต์ เราแค่ถามตัวเองว่า ถ้าผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างหวัง เรารับได้ไหม ถ้ารับได้ เราก็ทำเต็มที่ แล้วที่เหลือก็ปล่อยให้คนอ่านเป็นคนตัดสิน

  1. ใครคือ ‘ชาวช่อง’ ผู้อยู่เบื้องหลังพลังสนับสนุน ABÚBOGO

คิดว่าชาวช่อง หรือคนที่ซื้อหนังสือของเรา เขาเป็นคนแบบไหน

จริงๆ ก็ยังอยากรู้เหมือนกันว่า คน 1.5 หมื่นคนที่สั่งพรีออเดอร์เข้ามา เขาเป็นใครกันแน่ (หัวเราะ) จนตอนนี้ก็ยังพยายามทำความเข้าใจอยู่เลยว่า อะไรทำให้เขาอินกับเราขนาดนั้น

แต่ถ้าวิเคราะห์จากที่เห็นก็คงเพราะตอนนี้โลกของสื่อมันแตกเป็นชิ้นเล็กๆ มาก ทุกคนมีช่องของตัวเองตามความชอบ ชอบแต่งหน้าก็ดูช่องแต่งหน้า ชอบมวยก็ดูช่องมวย ส่วนคนที่ดูช่องฟาโรสอาจเป็นคนชอบอ่าน เราเป็นพื้นที่ของคนที่มีไฟแบบเนิร์ดๆ หน่อย แต่เป็นเนิร์ดสายสนุก คือชอบเรียนรู้ แต่อยากได้ฟีลขำๆ เพลินๆ ไม่ต้องซีเรียสมาก

เราเลยรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้เป็นคอมมูนิตี้ที่น่ารักมากนะ พอจะทำอะไรขึ้นมาสักอย่าง เขาก็พร้อมจะมาด้วยเสมอ เหมือนเพื่อนที่ฟังเราอยู่คนละฝั่งจอมากกว่าเป็นผู้ชมทั่วไป ทุกวันนี้เวลาทำคลิปออกไป เราเลยรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับเพื่อนมากกว่าสื่อสารกับผู้ชม

  1. โปรเจกต์ต่อไปที่กำลังอยู่ในระหว่างการเดินทาง

มีแผนทำเล่มอื่นๆ ต่อจากนี้ไหม

แน่นอน ถึงแม้สำนักพิมพ์จะเกิดทีหลังเพราะติดเรื่องเงินลงทุน แต่ตั้งแต่แรกเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแค่เล่มเดียวแล้วจบ การตั้งสำนักพิมพ์ขึ้นมาก็เพราะเรามองเห็นอยู่แล้วว่า มันจะต้องมีเล่มต่อๆ ไปแน่นอน

ตอนนี้พี่น้องดาราช่องก็เริ่มคุยกันแล้วว่า โปรเจกต์ต่อไปจะเป็นของใครดี ซึ่งแต่ละเรื่องก็จะยังเกาะอยู่กับสิ่งที่เราพูดถึงในรายการเหมือนเดิม

  1. ความฝันระยะยาวของ ABÚBOGO และสิ่งที่อยากส่งต่อผ่านหนังสือ

แล้วเป้าหมายของ ABÚBOGO อยากไปในทิศทางไหน

พูดแบบไม่อายเลย มันเพิ่งเริ่มจริงๆ เพราะฉะนั้นเรายังไม่รู้จักมันดีนักหรอก แต่เป้าหมายแรกที่ชัดเจนที่สุดคือ เราอยากให้ ABÚBOGO เป็นอีกหนึ่งหน่วยที่สร้างความสุขให้กับชาวช่อง เป็นพื้นที่ที่เขาจะรู้สึกสนุกและมีความสุขกับมันได้

ตอนนี้ก็มีเล่มใหม่ๆ อยู่ในแผนหลายเล่ม แต่เราจะค่อยๆ ไป ค่อยๆ เช็กฟีดแบ็กไปเรื่อยๆ ว่าคนอ่านรู้สึกยังไง ชอบไหม อยากเห็นอะไรต่อ เพราะสุดท้ายธุรกิจหนังสือมันไม่ได้เป็นเรื่องของเม็ดเงินใหญ่อะไร แต่เป็นเรื่องของการดูแลคอมมูนิตี้มากกว่า ถ้า ABÚBOGO ทำให้คอมมูนี้แข็งแรงขึ้นได้ เราก็อยากลองทำทุกอย่างที่ทำได้

Tags: , , , , , ,