หลายคนอาจจะไม่คุ้นนักว่ารถยนต์แบบสวีดิชเป็นอย่างไร เรารู้ว่าวอลโว่โดดเด่นเรื่องความปลอดภัย เพราะหลายสิบปีมานี้ วอลโว่ก็ยังมุ่งไปในเรื่องความปลอดภัย ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดเมื่อ 60 ปีที่แล้ว สู่นวัตกรรมด้านความปลอดภัยในปัจจุบัน
ด้วยความที่ภาพลักษณ์ของแบรนด์วอลโว่ในเมืองไทยเป็นแบรนด์เก่าแก่ ทว่าวอลโว่มุ่งมั่นมาตลอดเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกทั้งในด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย การใช้พลังงานไฟฟ้า และการขับขี่อัตโนมัติ และยังคงไม่หยุดยั้งในการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีสุดล้ำให้เป็นฟังก์ชั่นมาตรฐานของรถยนต์ เพื่อเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อผู้บริโภคทุกระดับ
เรามีโอกาสได้คุยกับ ฌอง-ดาวิด อาเรล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) ถึงเรื่องราวต่างๆ ของวอลโว่ ความเป็นรถแบบสวีดิช ปรัญชาในการออกแบบ นวัตกรรมด้านความปลอดภัยที่วอลโว่คิดค้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และการทำการตลาดที่พยายามสื่อสารกับกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น เพื่อลบภาพจำที่มีต่อแบรนด์วอลโว่ครั้งเก่า สู่ภาพจำใหม่ที่เป็นแบรนด์รถยนต์พรีเมียมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
ปรัชญาการทำงานบนพื้นฐานความใส่ใจ
ในฐานะบริษัทสัญชาติสวีดิช วอลโว่มีหลักในการทำงานที่เรียกว่า ‘Omtanke’ ซึ่งเป็นปรัชญาของการออกแบบของแบรนด์ ที่คำนึงถึงคนเป็นหัวใจหลักสำคัญในการทำงาน “ทุกๆ สิ่งที่เราคิด เราคำนึงถึงคนเป็นสำคัญ เราเข้าใจในผู้คน เราปกป้องสิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาและเราต้องการสร้างประสบการณ์พิเศษให้พวกเขา”
“เราภาคภูมิใจในบทบาทความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ที่จะทำให้ชีวิตของผู้คนนั้นดีขึ้น การออกแบบโดยคำนึงถึงคนเป็นศูนย์กลางนับเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของวอลโว่และเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงานของเราเสมอมา
ความแตกต่างระหว่างวอลโว่กับแบรนด์ยุโรปอื่นๆ
สำหรับวอลโว่ เรามาจากประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นประเทศที่ต้องขับรถบนน้ำแข็ง นี่จึงถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง อยากให้คุณลองนึกวาดภาพ สวีเดนนั้นเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง พื้นผิวถนนขรุขระกอรปกับอุณหภูมิที่หนาวเย็น เราจึงมุ่งมั่นที่จะผลิตรถยนต์ที่ผู้ขับสามารถไว้วางใจได้ว่าจะปลอดภัยในทุกเส้นทางไม่ว่าสภาพอากาศจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม ที่วอลโว่ ทุกสิ่งที่เราทำล้วนเริ่มต้นจากผู้คน โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราได้ขยายขอบเขตเทคโนโลยีเพื่อแสวงหาแนวทางใหม่ในการสร้างความปลอดภัยขึ้นสูง เพิ่มความเพลิดเพลินในการเดินทาง และทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันง่ายดายยิ่งขึ้น และสิ่งนี้เองที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการยานยนต์ทั้งโลก
เรานำเสนอการใช้โซลูชั่นเทคโนโลยีอัจฉริยะขั้นสูงในการมอบความปลอดภัยสูงสุดในการเดินทางและการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เพื่อปกป้องสิ่งสำคัญของผู้คน เช่นระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง (IntelliSafe) ที่รวบรวมโซลูชั่นและการทำงานเพื่อความปลอดภัยไว้อย่างครบครัน ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ และมอบการปกป้องที่เหนือกว่าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขณะเดินทาง หรือระบบ City Safety ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถหักเลี้ยวพวงมาลัยโดยอัตโนมัติ โดยระบบนี้จะทำงานที่ความเร็วระหว่าง 50-100 กม.ต่อชม. สามารถหลบได้ทั้งรถยนต์ คนเดินถนน และสัตว์ขนาดใหญ่ที่อาจข้ามถนนตัดหน้า
เวลาที่พูดถึงเรื่องความปลอดภัย วอลโว่ไม่ได้พูดเรื่องนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี แต่เราพูดถึงผู้คน คือผู้โดยสารอยู่ภายในรถ ผมจึงคิดว่าภาคภูมิใจที่วอลโว่ถูกพูดถึงความใส่ใจ ความปลอดภัยของผู้คน และเมื่อนึกถึงวอลโว่ จะนึกถึงความอุ่นใจและความปลอดภัยที่เราจะได้รับในการขับขี่หรือโดยสารในทุกๆ เส้นทาง ที่สามารถสื่อสารเชื่อมโยงกับชีวิตผู้คน
กว่า 40 ปีที่วอลโว่ได้ทำการศึกษาวิจัยรวบรวมข้อมูลสติถิของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจริง เพื่อให้เราคิดค้นนวัตกรรม
เพื่อความปลอดภัยกับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยการพัฒนาความปลอดภัยของรถยนต์ได้ถูกยกระดับขึ้นเพื่อเน้นปกป้องสรีระของผู้โดยสารหญิงเมื่อเกิดการชนปะทะกับโครงการล่าสุดของวอลโว่ E.V.A. การพัฒนาความปลอดภัยของรถยนต์ได้ถูกยกระดับขึ้นเพื่อเน้นปกป้องสรีระของผู้โดยสารหญิงเมื่อเกิดการชนปะทะ
โดยเราตั้งเป้าหมายว่า จะไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสในรถยนต์วอลโว่รุ่นใหม่นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 เป็นต้นไป
เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด
นับเป็นเรื่องจริงที่วอลโว่เป็นแบรนด์แรกซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านความปลอดภัย และเรารู้สึกภูมิใจในสิ่งนั้น วอลโว่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในฐานะผู้นำนวัตกรรมด้านความปลอดภัย ซึ่งรวมถึงการคิดค้นนวัตกรรมเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดในปี ค.ศ. 1959 และสิ่งนี้ได้มอบความปลอดภัยให้แก่ผู้คนมาแล้วมากกว่า 1 ล้านชีวิตทั่วโลกหลังจากที่เราได้แบ่งปันเทคโนโลยีนี้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ เพราะการเป็นผู้นำมิใช่การเป็นเลิศกว่าผู้อื่นเท่านั้น หากยังต้องดีสำหรับทุกคนด้วย การปกป้องสิ่งสำคัญนับเป็นความก้าวหน้าและล้ำสมัยอย่างแท้จริง ซึ่งย่อมเกิดจากความปลอดภัยนั่นเอง
วอลโว่ ยังคงคิดค้นพัฒนานวัตกรรมความปลอดภัยอย่างไม่หยุดยั้ง ล่าสุดเปิดตัวโครงการ Project E.V.A. เพื่อการแบ่งปันองค์ความรู้ที่อยู่เหนือเรื่องสิทธิบัตร การสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เท่าเทียม ภายใต้แนวคิด “รถยนต์ต้องปกป้องผู้โดยสารทุกคน” ไม่จำกัดเฉพาะการปกป้องสรีระผู้โดยสารชายเท่านั้น นับเป็นการยกระดับความปลอดภัยขึ้นเพื่อปกป้องสรีระของผู้โดยสารสตรีเมื่อเกิดการปะทะ
ทีมงานวิจัยด้านอุบัติเหตุของเราพบว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับชายและหญิงเท่า ๆ กัน ทำให้เราเชื่อว่า ควรทำการทดสอบกับสรีระทั้งสองแบบโดยเท่าเทียมกัน การพัฒนาความปลอดภัยในรถยนต์จึงเน้นเรื่องการปกป้องสตรีด้วยเมื่อเกิดการชนปะทะ ผู้หญิงนั้นมีความเสี่ยงในการได้รับความบาดเจ็บที่กระดูกข้อต่อต้นคอสูงกว่าผู้ชายซึ่งเกิดจากความแตกต่างของลักษณะทางกายภาพและความแข็งแรงของร่างกาย แต่นั่นไม่ใช่สำหรับเบาะโดยสารของวอลโว่ ระบบป้องกันการบาดเจ็บของข้อต่อต้นคอหรือ WHIPS (Whiplash Protection System) ของเรานั้นได้ควบรวมทั้งเบาะพิงศีรษะที่ทนทานต่อแรงกระแทกและการออกแบบเบาะโดยสารอันชาญฉลาดเพื่อปกป้องดูแลส่วนศีรษะและกระดูกสันหลังโดยเฉพาะ
ผู้หญิงนั้นต้องการการปกป้องที่จำเพาะ ไม่เฉพาะแค่ศีรษะแต่รวมไปถึงแรงกระแทกจากด้านข้าง ยิ่งผู้หญิงตัวเล็กมากเท่าไหร่ ยิ่งจะต้องนั่งให้ต่ำเพื่อให้ใกล้กับพวงมาลัยมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งทำให้ถุงลมม่านนิรภัยด้านข้าง (Inflatable Curtain) ที่สามารถครอบคลุมกระจกด้านข้างตั้งแต่หน้าจรดหลังนั้นเป็นส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ในส่วนเพิ่มเติมจากระบบ SIPS นั้น ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง (Inflatable Curtain) นั้น ช่วยลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นกับศีรษะได้กว่า 75% โดยถุงลมนั้นใช้เวลาพองตัวภายใน 1/25 วินาทีและช่วยป้องกันการกระแทกของศีรษะจากวัตถุภายนอกและอื่นๆอีกด้วย นี่เป็นม่านถุงลมนิรภัยด้านข้างแบบแรกที่ช่วยปกป้องทั้งจากด้านหน้าและด้านข้างสำหรับผู้โดยสารถือเป็นการยกระดับความปลอดภัยในการปกป้องจากแรงกระแทกขึ้นไปอีกระดับ
“เราต้องทำผู้ใช้รถมั่นใจเรื่องความปลอดภัย คนมากกว่าหนึ่งคนจะปลอดภัยในห้องโดยสารรถยนต์ได้อย่างไร เด็กจะปลอดภัยได้อย่างไร และยังคำถึงนึงคนที่อยู่รอบตัวรถด้วยว่าจะปลอดภัยในรถยนต์ของเราได้อย่างไร เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราสร้างสรรค์ระบบและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ มันเป็นเรื่องของ Mindset เวลาเราโดนถามว่าแนวคิดเบื้องหลังของบริษัทคืออะไร ในฐานะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ เรามักจะตอบว่า “We Put People First” เราใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของของคนที่อยู่ในรถและนอกตัวรถ” ด้วยหลักการออกแบบที่ยึดคนเป็นจุดศูนย์กลาง เพื่อให้รถยนต์ออกแบบมาเพื่อปกป้องทุกคนอย่างแท้จริง
เป้าหมายสู่รถยนต์ไฟฟ้าในปี 2025
ขณะที่ด้านความยั่งยืนเรื่องพลังงาน ทางวอลโว่ก็มีระบบที่เรียกว่า Pure Mode ซึ่งเป็นโหมดการขับขี่ที่มาใน รุ่น XC90 T8 คือใช้แหล่งพลังงานเดียว เมื่อแบตเตอรี่ได้รับการประจุไฟจนเต็ม และในสภาพการจราจรที่ติดขัด ต้องหยุดรถสลับเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลาในเมืองใหญ่
นอกจากนี้วอลโว่มีเป้าหมายให้รถยนต์ 50% ที่จำหน่ายภายในปี 2025 เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งรถยนต์ทุกรุ่นของวอลโว่ที่เปิดตัวในปี 2019 ต้องเป็นรถยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริดหรือรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรีพลังงานไฟฟ้าเท่านั้น
ฌอง-ดาวิด อาเรล ให้ความเห็นว่า ทิศทางของรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศไทย ยังต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
“การเปลี่ยนนิสัยและความเชื่อไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับคนเราที่ใช้รถยนต์แบบเก่ามาหลายสิบปี”
“ในยุโรปสิ่งที่เกิดขึ้นยกตัวอย่าง นอร์เวย์ มีมาตรการสำหรับการอนุรักษ์พลังงาน ทำให้ตอนนี้รถยนต์กว่า 50% ในประเทศเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า”
เราเชื่อว่าในประเทศไทยเทรนด์ของรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด กำลังมา โดย วอลโว่ตั้งเป้าหมายให้รถยนต์ 50% ที่จะวางจำหน่ายภายในปี ค.ศ. 2025 เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งวอลโว่ได้ประกาศความมุ่งมั่นนี้เป็นรายแรกว่ารถยนต์ทุกรุ่นที่จะเปิดตัวตั้งแต่ปี ค.ศ 2019 เป็นต้นไป จะต้องเป็นรถยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริดหรือรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่พลังงานไฟฟ้าเท่านั้น เช่นการติดตั้งเครื่องยนต์ T8 Twin Engine ให้เป็นมาตรฐานในรถยนต์รุ่น XC60, XC90 และ S90 เพื่อให้เห็นถึงใช้งานเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดโดยที่ยังสามารถขับขี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย
จาก Volvo Storydoing สู่งาน The Volvo Way: Freedom to Experience
ตั้งแต่ปีค.ศ. 2017 วอลโว่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวในรูปแบบใหม่จากการบอกเล่าเรื่องราว ไปสู่การสร้างสรรค์เรื่องราว เพื่อใกล้ชิดกับผู้บริโภคชาวไทย พร้อมแบ่งปันช่วงเวลาอันน่าประทับใจร่วมกัน ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยมีโอกาสสัมผัสความหรูหราแบบสวีดิชและงานดีไซน์สไตล์สแกนดิเนเวียน ค้นพบกิจกรรมเพื่อความยั่งยืน และแน่นอน ทุกสิ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดที่เป็นเลิศ นำเสนอแนวคิดหลัก 3 ประการของแบรนด์ คือ Safety, sustainability และ Personal Experiences ผ่านการจัดงาน The Volvo Way – Freedom to Experience
ภายในงาน Volvo Way – Freedom To Experience เราได้เชิญชวนผู้บริโภคชาวไทยให้มาร่วมสร้างความเข้าใจที่มากขึ้นถึงแนวทางการสร้างกิจกรรมต่าง ๆ บนความยั่งยืนของวอลโว่ พ
มาร่วมแชร์ช่วงเวลาอันน่าประทับใจ พร้อมทดสอบรถยนต์วอลโว่บนแพล็ตฟอร์มลู่ทดสอบสมรรถนะรถยนต์แบบ 2 ระดับ ชมการทำงานและสาธิตประสิทธิภาพของนวัตกรรมของรถยนต์ทั้งรุ่น XC40, XC60 และ XC90 สัมผัสความหรูหราแบบสวีดิชและงานดีไซน์สไตล์สแกนดิเนเวียน ค้นพบกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนพร้อมแบ่งปันช่วงเวลาอันน่าประทับใจร่วมกัน ในกิจกรรม Volvo Way – Freedom To Experience ที่เมกา บางนา ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 9 – 18 สิงหาคม ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 หน้าอิเกีย
Tags: Omtanke, City Safety, วอลโว่, The Volvo Way, Freedom to experience, Volvo