หนังเกี่ยวกับอะไร

หนังพาเราย้อนกลับไปช่วงยุค 1920’s เกาหลีอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น แต่เวลานั้นก็มีคนเกาหลีเลือดรักชาติจำนวนหนึ่งรวมตัวเป็นกลุ่มต่อต้านลุกขึ้นมาต่อสู้แบบกองโจรเพื่ออิสรภาพหนึ่งในภารกิจของพวกเขาคือการขนระเบิดจากเซี่ยงไฮ้มายังกรุงโซล โดยมี ‘คิมวูจิน’ (กงยู) เป็นหัวหน้าปฏิบัติการครั้งนี้ แต่ว่าเขาต้องขอความช่วยเหลือจาก ‘สารวัตรลี’ (ซองคังโฮ) ตำรวจที่เคยเป็นกลุ่มต่อต้านก่อนจะไปทำงานรับใช้ญี่ปุ่น ซึ่งภารกิจนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะญี่ปุ่นได้ส่ง ‘ฮาชิโมโตะ’ มาคอยจับตาดูสารวัตรลีอย่างใกล้ชิด

สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปดูหนัง

ตั้งแต่ปี 1910 เกาหลีอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นจนถึงปี 1945 ที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สองอันเป็นเหตุให้ประเทศเกาหลีซึ่งเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นถูกแบ่งเป็นสองส่วนแก่ผู้ชนะสงครามโลกก็คือ โซเวียต ปกครองฝั่งเหนือ และสหรัฐอเมริกา ปกครองฝั่งใต้

ตลอดระยะเวลา 30 กว่าปีนั้นได้มีกลุ่มคนเกาหลีจำนวนหนึ่งลุกขึ้นมาสู้แบบกองโจรเรียกตัวเองว่าเป็น กลุ่มต่อต้านเพื่ออิสรภาพ มีหนังเกาหลีใต้เช่น เรื่อง Assassination (2015) ที่บอกเล่าวีรกรรมของคนกลุ่มนี้

สิ่งที่ชอบที่สุดจากหนัง

1. หนังมีทัศนคติชัดเจนในการทำตัวปลุกแนวคิดชาตินิยม ตั้งแต่พล็อตที่ทำออกมาเชิดชูภารกิจของกลุ่มต่อต้านการปกครองของญี่ปุ่นในยุคสมัยนั้น แต่ที่เราชอบคือ วิธีสื่อสารที่ไม่ยัดเยียดแม้แต่นิดเดียว ผู้กำกับเก่งกาจในการใช้ภาษาภาพยนตร์ทั้งหลายค่อยๆ ปลุกสำนึกรักชาติ จนสุดท้ายเราจะได้เห็นว่าตัวละครในเรื่องแทบไม่ต้องใช้ความคิดอะไรในการตัดสินใจเลย เขาปล่อยให้สัญชาตญาณนำพาล้วนๆ

2. ฉากแอ็กชันทำออกมาได้สมจริงมากๆ การออกแบบฉากต่อสู้ให้ดิบเร็วดูเป็นการดิ้นรนเอาตัวรอดมากกว่าแอ็กเท่ แล้วเขาเลือกมุมกล้องถ่ายออกมาได้สวย ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาจึงทำให้ฉาก shootout ในสถานีรถไฟเป็นฉากยอดเยี่ยมยกขึ้นหิ้งในใจเราเลย โดยเฉพาะความฉับไวในการตัดเข้าคิวแอ็กชัน ซึ่งมันสอดรับกับการเลือกมุมกล้องได้โคตรลงตัวจนต้องยกนิ้วให้ ส่วนฉากอื่นๆ ก็ชอบในความดิบไม่ประดิษฐ์ท่วงท่าลีลาให้มากความ

3. ภารกิจตามล่าและหลบซ่อนบนรถไฟ ด้วยโครงสร้างรถไฟเป็นสถานที่ปิดตายไร้ทางหนีรอดอยู่แล้ว ความสนุกของหนังคือการเล่นกับวิธีที่ตำรวจญี่ปุ่นใช้ตามล่ากลุ่มต่อต้าน และยังต้องเอาใจช่วยกลุ่มต่อต้านว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร แถมยังต้องลุ้นว่าสารวัตรลีจะหาวิธีติดต่อไปมากับวูจินได้อย่างไรบนรถไฟที่พวกเขาต้องทำตัวเป็นคนไม่รู้จักกัน ซึ่งบอกเลยว่าฉากบนรถไฟสนุกและตื่นเต้นมาก

4. กงยู อาจจะได้บุคลิกตัวละครที่ไม่ต่างอะไรจาก A Man and a Woman (2016) และ Train to Busan(2016) ที่เขาแสดงในปีนี้คือดูเป็นผู้ชายใสซื่ออบอุ่น แต่บทกลุ่มต่อต้านใน The Age of Shadows เปิดช่องให้เขาใช้บุคลิกที่ผ่านตาในปีนี้ส่งให้เล่นผ่านแววตาและรอยยิ้มได้เยอะกว่า ส่วนซองคังโฮนี่รุ่นใหญ่ของวงการหนังเกาหลีใต้ ซึ่งไว้ใจการแสดงได้อยู่แล้ว

5. ฉากโหดที่เหมือนว่าผู้กำกับคิมจีวุนจะดึงเอาความสามารถสมัยทำหนังเขย่าขวัญสุดโหดเรื่อง I Saw the Devil (2010) มาใช้ได้หวาดเสียวน่ากลัวเหลือเกิน

สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดจากหนัง

ไม่มีจุดไหนที่ไม่ชอบ

เราเรียนรู้อะไรจากหนัง

มีประโยคหนึ่งในหนังบอกประมาณว่า “คุณไม่ผิดที่มีสัญชาติเกาหลีเพราะทุกคนเลือกเกิดไม่ได้ แต่คุณสามารถเลือกข้างได้ว่าจะรับใช้ญี่ปุ่นหรือเข้าร่วมกับกลุ่มต่อต้าน” ซึ่งในสภาพที่คนเกาหลีเวลานั้นไร้หนทางในการต่อสู้เพื่อปลดแอกตัวเองจึงทำให้คนจำนวนมากเลือกจำยอมต่ออำนาจของญี่ปุ่น แต่สุดท้ายก็แบบที่หนังพยายามบอกว่าการเคลื่อนไหวเล็กๆ เมื่อมากขึ้นมันก็แรงพอจะเป็นแรงกระเพื่อมให้เกิดการปฏิวัติ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากหนัง

The Age of Shadows เป็นตัวแทนหนังจากประเทศเกาหลีใต้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม เอาชนะคู่แข่งตัวท็อปอย่าง The Handmaiden, Inside Man และ The Wailing

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

ใครที่ชอบหนังแนวสายลับแอ็กชันย้อนยุคไม่ควรพลาดเด็ดขาด ความโบราณๆ เทคโนโลยีไม่เยอะ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของการทำหนังย้อนยุคเหมือนกัน

ควรชวนใครไปดู

ปีนี้เฮียกงยูจะฮอตฮิตมีสาวๆ ตามกรี๊ดอะไรขนาดนี้ จริงๆ ไม่อยากตีหัวเข้าบ้านด้วยการขายหนังว่ากงยูแสดงนำนะ แต่ถ้าจะชวนใครสักคนไปดูเอาชื่อกงยูเนี่ยแหละไปชวนคนที่เขาชอบพระเอก Train to Busan กับซีรีส์ Goblin เลย (แนะนำให้ดู A Man and a Woman กงยูแสดงคู่กับจอน โดยอนด้วยละกัน)

ความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป

ปกติแล้วหนังเกาหลีไม่ค่อยทำเงินในประเทศไทยเท่าไหร่นัก เคส Train to Busan ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี เพราะทางผู้จัดจำหน่ายดันหนังเรื่องนี้มากและประสบความสำเร็จด้านรายได้อย่างดี

เมื่อตอนเดือนธันวาคมมีหนังเกาหลีเรื่อง Operation Chromite ที่เลียม นีสัน แสดงนำเข้าฉายแบบเงียบๆ ไม่กี่สาขาแล้วก็ลาโรงไปเงียบๆ ซึ่งเราเองยังดูไม่ทันเลย เพราะรอบฉายไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่

แต่สำหรับ The Age of Shadows ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าทาง M Pictures ผู้จัดจำหน่ายเขาจะดันหนังเหมือนตอนมงคลเมเจอร์ดัน Train to Busan หรือเปล่า (โรงยอมเพิ่มรอบฉาย เพิ่มสาขา เพราะกระแสตอบรับดี) ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคนดูหนังก็คงหนีไม่พ้นการรีบดูตั้งแต่หนังเข้าฉายสัปดาห์แรกเลย คุ้มค่าตั๋วทุกบาทแน่นอน

ขอ 3 พยางค์จากหนังเรื่องนี้

ดู กง ยู

Tags: , , , , , ,