ถ้าคุณเป็นคนชอบกินเนื้อ เราอยากชวนคุณมาออกล่าเนื้อระดับคุณภาพ กับ 10 ร้าน 10 เมนูในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นแบบ dry-aged หรือสเต๊กเนื้อวากิวหอมฉุยที่ละลายในปาก รับรองงานนี้พลพรรคคนรักเนื้อได้ฟิน…

1. Arno’s Butcher and Eatery

ไม่ต้องไปไกลถึงมหานครนิวยอร์ก ก็สามารถหาสเต๊กเนื้อไทยระดับคุณภาพกินได้ทุกวัน เพราะร้านนี้คัดสรรแต่เนื้อไทยระดับคุณภาพ นำมาดรายเอจจนเนื้อนุ่ม กลิ่นหอมชวนหลงใหล แล้วเสิร์ฟบนจานร้อนเดือดๆ ลุง Arnaud Carre เจ้าของร้าน ผู้เป็นปรมาจารย์นักแล่เนื้อระดับตำนานที่สร้างชื่อจนดังกระฉ่อนที่นิวยอร์ก และเคยร่วมงานกับเชฟระดับโลกอย่าง Anthony Bourdain บอกว่าที่เสิร์ฟเนื้อในจานร้อน ก็เพราะต้องการให้กลิ่นเนื้อย่างหอมโชยตลบอบอวลทั่วร้าน เพื่อยั่วคุณๆ ท่านๆ ให้น้ำลายสอนั่นเอง

The Momentum Picks : เนื้อชิ้นโตๆ แล่สดก่อนนำมาย่าง มีให้เลือกหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น ริบอาย โทมาฮอว์ก ทีโบน และพอร์เตอร์เฮาส์ ที่นี่มีหมด! และที่สำคัญแต่ละส่วนได้ผ่านการดรายเอจอย่างน้อย 45 วันจนเนื้อนุ่ม อาห์~ แค่ได้พูดถึงก็ฟินแล้ว
Address: 2090/2 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ซอย 20
| เปิด: อังคาร-อาทิตย์ 18:00-23:00 น.
| Map:

2. Fillets

สำหรับใครที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นจำพวกซูชิ ร้านนี้ห้ามพลาดทุกประการ! แต่ก่อนอื่น ด้วยความที่ Fillets (ชื่อของร้าน) แปลว่า เนื้อที่ผ่านการแล่มาอย่างบรรจง ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจถ้าทางร้านจะมีเมนูเนื้อวัวมากคุณภาพ รังสรรค์โดยเชฟแรนดี้ นพประภา เจ้าของรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันซูชิเชฟจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และผู้เคยผ่านประสบการณ์ครัวในระดับโลกร่วมกับ เชฟระดับโลกอย่างเชฟยามาโมโตะ ฮิเดซามะ และเชฟกระทะเหล็ก โมริโมโตะ มาซาฮารุมาแล้ว

The Momentum Picks: หากพูดถึงเมนูเนื้อประจำร้าน ใครๆ ก็ต้องนึกถึงเนื้อวากิว โทมาฮอว์กชิ้นโต ย่างจนสุกกำลังดี รับประทานคู่กับเกลือหลากชนิด เพื่ออรรถรสที่เรียกได้ว่า ‘สวรรค์’ และทางร้านยังมีเนื้อสันในระดับคุณภาพดรายเอจจนนุ่มได้ที่ ฟินแบบไร้ที่ติอีกด้วย
Address: 3/F, Portico, 31 ถนน หลังสวน | เปิด 11:30-14:30 น. และ 18:30-23:00 น. (อาทิตย์-พฤหัส), 11:30-14:30 น. และ 18:30-24:00 น. (ศุกร์-เสาร์)
| Map:

3. Kom-Ba-Wa

Kom-Ba-Wa เป็นโปรเจกต์ล่าสุดของ Fred Meyer ผู้เป็นหนึ่งในเบื้องหลังร่วมสร้างสรรค์ร้านอาหารคอนเซปต์ปังอย่าง Issaya Siamese Club และ Namsaah Bottling Trust ร่วมกับเชฟเอียน กิตติชัย โดยคราวนี้เสิร์ฟอาหารญี่ปุ่นเน้นหนักไปทางซูชิสไตล์ ‘เอโดะมาเอะ’ (ซูชิแบบดั้งเดิมที่มีต้นกำเนิดช่วงศตวรรษที่ 18 ปลายยุคเอโดะ) ภายใต้บรรยากาศอบอุ่นสไตล์โอเรียนทัล

The Momentum Picks : ‘สเต๊กเนื้อวากิวทาจิมะ’ ที่ผ่านการดรายเอจเป็นเวลาถึง 60 วัน แม้ราคาอาจจะดุดันแต่ก็ตามคุณภาพอาหารนะครับ หากได้ลองสักคำ รับรองติดใจไปอีกนาน
Address: 39/19 ซอยสวนพลู, ถนนสาธร
| เปิด:  ทุกวัน 11:30-14:00 และ 18:00-01:00 น.
| Map:

4. Cocotte Farm Roast & Winery

เป็นอีกร้านที่มีกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม ร้านอาหารสไตล์ Rustic European ที่อัดแน่นไปด้วยโคลด์คัตที่ผ่านการคัดมาอย่างดี จัดวางบนแพลตเตอร์ ได้อย่างประณีต

The Momentum Picks: ‘สเต๊กเนื้อวากิวโทมาฮอว์ก’ ส่งตรงจากประเทศออสเตรเลีย เสิร์ฟชิ้นหนาๆ สะใจคนกิน แกล้มด้วยไวน์แดงที่ทางร้านเลือกมาอย่างบรรจงก็ดีงามใช่ย่อย อีกทั้งวัตถุดิบแต่ละอย่างล้วนเป็นออร์แกนิก
Address: G/F, 39 Boulevard ถนนสุขุมวิท ซอย 39
| เปิด: ทุกวัน 11:30-14:30 น., 18:00-22:30 น. สำหรับวันอาทิตย์-พฤหัส และ 18:00-23:00 น. สำหรับวันศุกร์-เสาร์
| Map:

5. Le Boeuf – The Steak & Fries Bistro

สเต๊กสไตล์ยุโรปก็ดีงามพระราม 8 นอกจากบรรยากาศสไตล์ปารีเซียงแล้ว พลพรรคคนรักเนื้อจะได้เคลิ้มไปกับเมนูเด็ดๆ แบบปารีเซียงดั้งเดิม เช่น สเต๊กเนื้อชิ้นโตๆ เสิร์ฟในแบบ ‘Cafe de Paris’ บนจานร้อนแบบอลังการสุดๆ พร้อมกับ Frites (เฟรนช์ฟรายส์กรอบนอกนุ่มใน) และสลัดวอลนัต

The Momentum Picks: ‘Entrecote Steak’ มร. David Perrot เจ้าของบอกเราว่า ที่นี่น่าจะเป็นร้านเดียวในกรุงเทพฯ ที่เสิร์ฟสเต๊กระดับตำนานนี้ได้อย่างเต็มรูปแบบที่สุด เพราะซอสที่ใช้เสิร์ฟนั้นรับมาโดยตรงจากร้าน Cafe de Paris ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสูตรลับปราบเซียนที่มีอายุกว่า 7 ทศวรรษ
Address: ร้านอยู่ทางด้านหน้า Mayfair Marriott (60 หลังสวน ซอย 1)
| เปิด:  จันทร์-ศุกร์ 11:30-23:00 น. และเสาร์-อาทิตย์ 11:00-23:00 น.
| Map:

6. Meatlicious

เป็นร้านอาหารร้านที่ 2 ของเชฟระดับโลกอย่าง Gaggan Anand แห่งร้าน Gaggan ตรงหลังสวน ที่เป็นเจ้าของรางวัลอันดับ 1 จากเวที San Pellegrino Asia’s 50 Best Restaurants โดยทางร้านจะเป็นแบบ Open Kitchen หรือครัวเปิด ซึ่งทำให้เราได้ใกล้ชิดกับเชฟ โดยโฟกัสหลักของร้านก็คือเมนูที่ทำจากเนื้อตามชื่อเป๊ะๆ

The Momentum Picks: ‘สเต๊กวากิวมิยาซากิ’ ทางเชฟบอกว่าเนื้อจะเสิร์ฟแบบอุ่นๆ เพราะต้องการเสิร์ฟเนื้อสเต๊กที่มีความชุ่มฉ่ำแบบจริงจัง ที่นุ่มจนแทบละลายในปากกันเลยทีเดียว เสิร์ฟพร้อมกับรากบัวคลุกน้ำมันจากเนื้อ ทานเคียงกับสลัด และซอส 5 แบบ แต่เอาเข้าจริงๆ แค่โรยเกลือนิดๆ วาซาบิหน่อยๆ ก็แหล่มแล้ว ยิ่งแกล้มด้วยเบียร์ Vedett เย็นๆ สักแก้ว ฟิน~
Address: เอกมัย ซอย 6 ตรงเข้ามา 100 ม. ร้านอยู่ขวามือ
| เปิด: ทุกวัน 18:00- 24:00 น.
| Map:

7. Peppina

สำหรับใครที่เป็นคอพิซซ่าเตาฟืนร้านนี้น่าจะรู้จักกันดี และหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าคอเนื้อก็ห้ามพลาด Peppina เช่นเดียวกัน เพราะทางร้านจะเน้นเนื้อทั้งแบบโลคัลและนำเข้าชิ้นโตๆ รสชาติเข้มข้น ย่างบนกริลล์ก่อนที่จะนำไปอบในเตาพิซซ่าจนสุกทั่วถึง แค่คิดก็น้ำลายสอแล้ว!
The Momentum Picks: ‘The Australian Prime Rib’ เนื้อติดซี่โครงชิ้นโตๆ รสชาติเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งกรอบนอกนุ่มในและแครอตอบหวานฉ่ำ จานใหญ่มากจนน่าจะทำให้ชายหิวสามคนอิ่มแปล้
Address: 27/1 ถนนสุขุมวิท ซอย 33
| เปิด: ทุกวัน 11:00-15:00, 18:30-23:00 น.
| Map:

 8. Crying Thaiger

และแล้วฝันของคอเบอร์เกอร์ในกรุงเทพฯ ก็เป็นจริง เมื่อ มร. Mark Falcioni เชฟและเจ้าของฟู้ดทรักแฮมเบอร์เกอร์ขวัญใจมหาชนอย่าง Daniel Thaiger ได้มาเปิดร้าน Crying Thaiger อย่างเป็นทางการ ขอบอกเลยว่าที่นี่ไม่ได้มีดีเพียงเบอร์เกอร์เท่านั้น
The Momentum Picks: ‘สเต๊กโทมาฮอว์ก’ เมนูเด็ดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเมนูอีสานยอดฮิตตลอดกาลอย่างเสือร้องไห้ เนื้อออสเตรเลียชิ้นยักษ์ย่างจนสุกแบบ medium rare เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วสูตรเฉพาะเพื่อความแซ่บสะเด็ด
Address: 27/1 ถนนสุขุมวิท ซอย 51
I เปิด: ทุกวัน 17:00-23:00 น.
| Map:

9. The Beef Master by Company B

หลังจากเปิดตัวเนื้อดรายเอจ ที่สร้างกระแสฮือฮาให้กับวงการคนรักเนื้อในประเทศไทยมาแล้ว ในที่สุด Company B ของอดีตร็อกสตาร์อย่าง ‘โต Sillyfool’ หรือ โต-วีรชน ศรัทธายิ่ง (ชื่อเดิม ณัฐพล พุทธภาวนา) ก็จัดหนักจัดเต็มกับ The Beef Master by Company B เป็นร้านที่โชว์เคสคุณภาพของเนื้อจาก Company B อย่างเต็มรูปแบบ
The Momentum Picks: หากพูดถึง Company B เป็นใครก็ต้องนึกถึงเนื้อ ทั้งแบบ ดรายเอจ 30 วัน และแบบ black label 55 วัน มีให้เลือกหลายส่วนทั้ง สันนอก สันใน สันแหลม ไปจนถึงเบอร์เกอร์ หรือข้าวหน้าแกงเขียวหวาน
Address: เดอะมอลล์บางกะปิ ชั้น G โซน Gourmet Market
| เปิด: ทุกวัน 11:00-21:00 น.
| Map:

10. Mikaku

จุดเด่นที่ชวนน้ำลายสอของร้านนี้คือ ‘เนื้อวากิว A5’ ทุกชิ้นทุกคำ ล้วนนำเข้ามาจากญี่ปุ่นโดยตรงทั้งหมด เก็บรักษาอย่างดีในอุณหภูมิที่เหมาะสม ยังไม่พอ ความพิเศษของเนื้อ A5 คือรสสัมผัสที่นุ่มลิ้นจากชั้นไขมันที่แทรกเป็นลายสวยในตัวเนื้อ ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าเป็นเนื้อวากิวเกรดที่ดีที่สุด! และทางร้านยังใส่ใจและพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การแล่ไปจนถึงการย่าง ที่ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน

The Momentum Picks: คอร์สยอดนิยม ‘สเต็กคอร์ส’ (Steak Course) จานหลักของเซตนี้คือเนื้อส่วนเทนเดอร์ลอยน์ (สันใน) และเซอร์ลอยน์แล่ชิ้นหนานุ่ม นำมากริลล์บนกระทะจนสุกได้ที่ ชุ่มฉ่ำกำลังดี ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย ตัวเนื้อมีความนุ่มขนาดที่ใช้ตะเกียบตัดก็ขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย อาห์~ แนะนำให้กินคู่กับวาซาบิและเกลือสักเล็กน้อย จะช่วยดึงรสธรรมชาติของเนื้อออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
Address: 2/F อาคาร Maison Eric Kayser ระหว่างทองหล่อซอย 3-5
I เปิด: อังคาร-อาทิตย์ 12:00-14:00 น. และ 17:00-22:30 น.
I Map:

11. Wild & Company

ทิ้งท้ายด้วยร้านอาหารและบาร์น้องใหม่ย่านพระราม 4 ที่มาพร้อมคอนเซปต์ ยกป่ามาไว้ในเมือง ออกแบบอาหารในแนว Smoke House & Game หรือเน้นเนื้อสัตว์ ทั้งเนื้อวัว และเนื้อที่หารับประทานยาก เช่น กระต่าย กวาง และอื่นๆ สร้างบรรยากาศเหมือนกับเวลาออกล่าสัตว์ในป่า แล้วสุมไฟย่างนั่งกินกันกลางป่าเหมือนไปแคมปิ้ง ที่สำคัญเชฟตั้งใจเลือกผลิตภัณฑ์ในประเทศ เพื่อลบคำสบประมาทที่ว่าเนื้อไทยไม่อร่อย อีกทั้งยังนำพืชผักต่างๆ ที่เราคุ้นเคยกันจากร้านอาหารพื้นบ้าน อย่างผักแพว ยอดมะกอก ยอดมะม่วง และใบบัวบก มาประกอบทั้งจานผัก จานสลัด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นอกจากจะน่าสนใจแล้ว ยังอร่อยเข้ากันดีอีกด้วย
The Momentum Picks: ไฮไลต์เด็ดสำหรับคอเนื้อ Austrailan Angus Tomahawk เนื้อโทมาฮอว์กชิ้นนี้เสิร์ฟแบบความสุกปานกลาง ให้ความฉ่ำกำลังดี เสิร์ฟคู่กับมันฝรั่งบดกับเห็ดทรัฟเฟิล และผักย่าง
Address: 33/1 ซอยฟาร์มวัฒนา ถนนพระราม 4. 08 7999 9948
I เปิด: อังคาร-อาทิตย์, 17:30-01:00 น.
I Map: 

FACT BOX:

  • Dry-aged: กรรมวิธีการพักเนื้อใหม่ไว้ในห้องเย็นที่ควบคุมอุณหภูมิใกล้จุดเยือกแข็ง และความชื้นที่พอเหมาะและคงที่ในช่วงเวลาหนึ่ง (ช่วงเวลาที่ได้ผลมากที่สุดคือตั้งแต่ 14 วันขึ้นไป) ก่อนจะนำมาประกอบอาหาร ส่วนมากจะเจอเนื้อประเภทนี้ในร้านอาหารเกรดพรีเมียม เพราะนอกจากจะต้องลงทุนกับอุปกรณ์ที่ใช้เก็บ และใช้เวลานานกว่าจะได้นำมาขายแล้ว การเก็บแบบดรายเอจทำให้เนื้อสูญเสียน้ำ ซึ่งหมายถึงการสูญเสียปริมาณน้ำหนัก แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่า เพราะช่วยเพิ่มรสชาติตามธรรมชาติของเนื้อ และเอนไซม์ตามธรรมชาติที่มีอยู่ในเนื้อได้มีเวลาย่อยกล้ามเนื้อ ทำให้สเต็กของคุณออกมานุ่มลิ้นละลายในปาก
  • Porterhouse: ชื่อนี้อาจไม่คุ้นมาก แต่จริงๆ แล้วพอร์เตอร์เฮาส์ก็คือเวอร์ชันใหญ่กว่าปกติของทีโบนนั่นเอง

 

Tags: ,