พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้มีบุคลิกโผงผาง พูดจาตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวใคร ตามแบบฉบับนายตำรวจใหญ่ ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ตั้งแต่ครั้งเป็นตำรวจหนุ่มปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ตำบลนาแก จังหวัดนครพนม จนได้ฉายา ‘วีรบุรุษนาแก’
เมื่อเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ ปฏิบัติหน้าที่ที่ตำรวจภูธรภาค 2 เขาก็จับกุม ‘กำนันเป๊าะ’ (สมชาย คุณปลื้ม) ในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะที่เขาไม้แก้ว และอีกมากมายหลายคดีที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล้าท้าชนดำเนินคดีกับผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลาย จนมีภาพลักษณ์เป็นมือปราบผู้ซื่อตรง
แต่ในเส้นทางรับราชการตำรวจของเขานั้นมีขึ้นมีลงอยู่หลายครั้ง แต่ท้ายที่สุด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ก็ขึ้นถึงจุดสูงสุดในราชการ ในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ในปี 2550
เขาลงสนามการเมืองเป็นครั้งแรกในปี 2555 ด้วยการสมัครตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในฐานะผู้สมัครอิสระ เข้าป้ายเป็นอันดับสาม ด้วยคะแนนเสียง 166,582 คะแนน
ครั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เข้าสู่สนามการเมืองระดับประเทศเต็มตัวในฐานะหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ประกาศจุดยืนทางการเมืองชัดเจน ไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านรัฐบาล คสช. และต้องปฎิรูปสถาบันทหาร
อยากให้คุณเสรีพิศุทธ์เล่าย้อนถึงที่มาของฉายา ‘วีรบุรุษนาแก’ สมัยยังหนุ่มๆ ว่ามาได้อย่างไร
คือแต่ก่อนมีเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เจ้าหน้าที่เราก็เสียชีวิตจากการปราบปรามไปมาก สาเหตุที่ที่มากมันเกี่ยวกับการบริหารงานด้วย และอีกส่วนก็เพราะว่ามันไม่ได้ทำด้วยใจ พวกกินเหล้าเมายาเล่นการพนันก็ถูกส่งไป เรื่องอะไรมันจะไปทำใช่ไหม หรือบางคนมีครอบครัวถูกส่งตัวไป ตัวเองก็คิดถึงแต่ครอบครัว เดี๋ยวต้องกลับไปเยี่ยมบ้าน ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คราวนี้มีเหตุการณ์ที่นายตำรวจรุ่นพี่ถูกระเบิดเสียชีวิต เราก็เอาศพของรุ่นพี่คนนี้ไปให้ครอบครัวเขาที่จังหวัดขอนแก่น ก็เลยเห็นสภาพว่าภรรยาขาดสามี ลูกขาดพ่อ เราก็คิดถึงตัวเองว่าอยู่คนเดียว ไม่มีพันธะ ไม่มีภาระ แถมยังมีน้องอีก 5 คน ถ้าเราตายไป น้องเราก็ดูแลพ่อแม่ได้ เราก็สมัครใจไปที่นาแก จังหวัดนครพนม ตอนนั้นปี 2515 ผมอายุแค่ 20 กว่าๆ ติดยศร้อยตรี
ภัยคอมมิวนิสต์ในยุคนั้นคือกลุ่มนักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวหรือภัยต่างชาติ
ต่างชาติจะอยู่เบื้องหลัง มันเข้ามาจากจีน เวียดนาม ลาว แล้วก็มาไทย แต่ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นหรอก ก็จะมีเรื่องการปลุกระดมมวลชน หลอกชาวบ้านให้เกลียดเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยยกตัวอย่างสิ่งที่ชาวบ้านจะเชื่อ ซึ่งก็หลงเชื่อกันนะ เช่น เดี๋ยวชนะแล้วให้เป็นสารวัตร ให้เป็นนายอำเภอ เป็นผู้ว่าฯ อะไรอย่างนี้ มันก็เข้าป่า ไปฝึกอบรมกันในป่า แล้วเมื่อเราไป เราก็ทำงานเต็มที่ ไม่กลัวเป็นกลัวตายนะ ปรับปรุงคน พัฒนาคน ลูกน้องของเรา ให้มีความรู้ความสามารถ ให้มีจิตใจกล้าหาญที่จะทำงาน
ผลสรุปก็คือความสำเร็จ เราสามารถป้องกันปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เกิดความสงบเรียบร้อย ส่วนเรื่องเจ็บเรื่องตายเป็นเรื่องปกติ
คำว่าปราบปรามนี่หมายถึงการยิง การฆ่าใช่ไหม
ก็ต้องเข้าป่าลาดตระเวนไล่ยิงกันฆ่ากันไปเลย มีฐานผู้ก่อการร้ายในป่า ก็ระเบิดเผาตายไปไม่รู้เท่าไร ส่วนฝ่ายปกครองเขาก็ประเภทพัฒนากันไป หางบฯ มาได้ก็ให้ชาวบ้านไปเลี้ยงไก่ ปลูกต้นไม้ หาอาชีพที่มีรายได้ ส่วนเราก็ปราบปรามจนสำเร็จ แต่คนของเราอาจจะมีตายบ้างเล็กๆ น้อยๆ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะขนาดสาดน้ำกันมันก็เปียก ยิงกันมันก็ต้องเจ็บต้องตายบ้าง
ตลอดเวลา 5-6 ปีที่ผมอยู่ที่นั่น เรายึดฐานที่มั่น ยึดศพ อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ จนกระทั่งคอมมิวนิสต์พ่ายแพ้สงคราม ยอมมอบตัวกันไป จนผมได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามา เหรียญรามมาลาเข็มกล้ากลางสมร (ร.ม.ร.) จากพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) โดยมีพิธีที่โบสถ์วัดพระแก้ว ต้องดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาสาบานตนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่คุณบอกว่าตำรวจไม่ค่อยมีกะจิตกะใจทำงาน มันเป็นวัฒนธรรมองค์กรด้วยไหม เพราะคนในสังคมก็พูดกันมากว่าไม่ใช่แค่ควรปฏิรูปสถาบันทหาร แต่ต้องปฏิรูปสถาบันตำรวจด้วย คุณมีมุมมองในเรื่องนี้อย่างไร
จริงๆ แล้วเป็นเรื่องของคนนะ คนไทยเป็นอย่างนี้ เราก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นอย่างไร ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ตุลาการ อัยการ หรือพ่อค้านักธุรกิจ คือใครล่ะ ก็คือคนไทยนี่ล่ะ เราเอาคนไทยมาเป็นตำรวจ เอาคนไทยเป็นทหาร คนไทยเป็นนักธุรกิจ คนไทยไปทำงานในเหมือง แล้วเป็นอย่างไร ก็พื้นฐานก็เป็นอย่างนี้ อยู่ที่ว่าจะเลือกเฟ้นเอาใครเข้าไปได้ในองค์กรนั้นๆ ถูกไหม ถ้าคุณให้เงินเดือนแพงอย่างผู้พิพากษา คุณก็เฟ้นหาคนได้แบบหนึ่ง ถ้าคุณให้เงินเดือนถูกๆ แบบตำรวจ คุณก็ได้มาอีกอย่างหนึ่ง แล้วคุณจะแก้อย่างไร แก้ที่ไหน
แสดงว่าต้องแก้ที่คนก่อนระบบ?
มันต้องแก้ที่คน คุณต้องมาคิดพัฒนาคนไทยทั้งหมดให้เจริญเติบโตเป็นคนไทยที่มีศักยภาพ มีความรู้ความสามารถ มันจะไปเป็นโน่นเป็นนี่ก็เป็นได้ดี ไม่ใช่ไม่ดีก็แล้วไป แบบนั้นมันก็ไม่ดี พอไม่ดีแล้วองค์กรก็ต้องไปพัฒนาต่ออีก เพราะฉะนั้นเวลามอง อย่ามองปัญหาที่ปลายเหตุ ต้องมองปัญหาที่ต้นเหตุ
ตอนนี้ตำรวจเอง ก็มีปัญหาเรื่องระดับเงินเดือนด้วยใช่ไหม
เวลาเราจะให้ข้าราชการหรือให้องค์กรใดมีเงินเดือนเท่าไร ดูที่ไหนล่ะ ก็ดูที่วุฒิใช่ไหม ไม่ได้ดูที่ความรู้ความสามารถ ไม่ได้ดูที่ภาระหน้าที่เขา ถ้าจบปริญญาตรีเป็นตำรวจ ยศนายสิบก็เงินเดือนเท่านี้ ถ้าเป็นทหารก็เงินเดือนเท่านี้ แต่ไม่ได้ดูว่าภาระหน้าที่ของตำรวจเป็นอย่างไร ภาระหน้าที่ของครูเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างไปรษณีย์ไทย เดี๋ยวนี้ออกจากระบบแล้วใช่ไหม ไม่ใช่ข้าราชการแล้ว แล้วพนักงานไปรษณีย์มีหน้าที่อะไร
ส่งจดหมาย ส่งพัสดุ
มีหน้าที่ส่งพัสดุส่งจดหมาย แต่รับผิดชอบชีวิตคนหรือเปล่า
ก็คงไม่ขนาดนั้น
ไม่เลยใช่ไหม แต่ตำรวจเอาแค่นายสิบตำรวจนะ ต้องรับผิดชอบชีวิตคนไหม
รับ
รับใช่ไหม ทำไมเงินเดือนน้อยกว่า
นั่นสิ เพราะอะไร
ก็เพราะระบบราชการไม่พัฒนา ทั้งที่ตำรวจต้องรับผิดชอบชีวิตคน ลองเทียบเงินเดือนผู้การตำรวจกับหัวหน้าป่าไม้จังหวัด เป็นระดับหัวหน้าเหมือนกัน ตำรวจรับผิดชอบคน ป่าไม้รับผิดชอบชีวิตต้นไม้ แต่เงินเดือนเท่ากันนะ แต่ตำรวจต้องสืบสวนสอบสวน ต้องต่อสู้กับโจรผู้ร้าย เสี่ยงชีวิต อย่างผมสมัยก่อนไปปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ แต่อัยการนั่งเฉยๆ รอรับสำนวนจากตำรวจ นั่งอ่านสำนวนว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง ถ้าฟ้องก็ให้ตำรวจเอาตัวผู้ต้องหามาส่ง แล้วก็ไปฟ้องศาล แล้วก็ไปสืบพยาน พวกศาลมานั่งพิจารณาคดี ไม่ได้เสี่ยง แต่ได้เงินเดือนมากกว่าตำรวจเยอะแยะ
หากมองมุมนี้ก็ถือเป็นปัญหาของระบบจัดสรรผลตอบแทนมากกว่าไหม ที่ทำให้คนเข้ามาเป็นตำรวจไม่มีพลังใจมากพอในการทำงาน
เขาไม่มีพลังใจ แต่ทำไมผมมี นี่เป็นเรื่องของบุคคลแล้ว แต่ถ้าเราพูดถึงองค์กรส่วนรวมก็ต้องดูทั้งหมด อย่างเงินเดือนตำรวจสหรัฐฯ มากกว่าผู้จัดการธนาคาร มากกว่าทหารเยอะ เพราะต้องเสี่ยงชีวิต แต่ทหารไม่ได้เสี่ยง ทหารส่วนหนึ่งก็ไม่ได้รบที่ไหนแล้ว และพอถึงเวลาก็พักนะ ไม่มีสั่งมานอกระบบราชการได้ด้วย สมมติทหารรับผิดชอบงาน 8 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น กลับบ้านแล้ว ไม่เกี่ยวว่าไม่ใช่หน้าที่ แต่ตำรวจไทยต่อเนื่องไปหมด เดี๋ยวผู้บังคับบัญชาสั่ง ไหนจะประชุมบ้าบอคอแตก ไม่ต้องอยู่กับครอบครัว ยิ่งเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยี ก็สั่งเลยทางไลน์ แถมโทรศัพท์ก็ต้องซื้อเอง ค่าโทรศัพท์ก็ต้องจ่ายเอง
ทำไมงบประมาณที่จะลงมาถึงตรงนี้ถึงไม่เพียงพอ
ก็รัฐไม่ให้ไง ให้มาแค่นี้ เข้าใจไหม ถึงบอกว่าหน่วยที่เกิน มันก็เกินความจำเป็น อย่างทหาร—ยิ่งยุคนี้ที่ทหารมีอำนาจ ปกครองทุกหน่วยงานในฐานะที่ยึดอำนาจมาก็เอางบประมาณไปหมด แม้กระทั่งสิ่งของที่ไม่จำเป็นก็ต้องซื้อ เรือดำน้ำซื้อไปทำไม คุณประวิตร (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) เขาบอกเตรียมไว้สงครามโลกครั้งที่ 3 ทั้งที่มันก็เป็นเรื่องผลประโยชน์เงินทองทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอาวุธที่ว่านี่ไม่เห็นจำเป็นเลย อย่างบ้านของพี่น้องประชาชนนี่นะ จะไปสร้างรั้วไว้ก่อนทำไม ถ้าไม่มีกิน ก็ต้องเอาไว้ใช้กินไว้อยู่ เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ก่อนที่จะไปสร้างรั้ว เงินเหลือก็ค่อยเอาไปสร้าง
สังเกตจากรัฐประหาร 2549 และ 2557 กระแสของคนในสังคมไทยโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ตอบรับการรัฐประหารของทหารอยู่พอสมควร อย่างปี 2549 มีภาพของการนำดอกกุหลาบไปมอบให้ทหาร เอาดอกไม้ไปติดที่รถถัง คุณคิดว่าคนไทยค่อนข้างที่จะรักสถาบันทหาร แต่ไม่ค่อยชอบสถาบันตำรวจหรือเปล่า
คนไทยขาดองค์ความรู้ แล้วก็ไม่ได้คิดแสวงหาข้อเท็จจริงต่างๆ เลยถูกหลอกง่าย พอจะเข้าใจไหมว่าทหารคิดที่จะเป็นนายกฯ ตลอดเวลา คิดที่จะเป็นใหญ่ตลอดเวลา แต่ถ้าให้ลงมาในระบอบประชาธิปไตยแล้วก็มีการเลือกตั้ง กูไม่เอา เพราะเลือกแล้ว กูก็แพ้ เพราะทั้งชีวิตทหารไม่ได้มาคลุกคลีกับประชาชน ตำรวจอย่างพวกผมนี่คลุกคลีกับประชาชน ผมถึงกล้าลงเลือกตั้งไง แต่ทหารกล้าไหม คุณประยุทธ์ (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ยังไม่กล้าเลย ถูกไหมครับ เพราะฉะนั้นคือคนไทยขาดองค์ความรู้ เลยถูกหลอกตลอดเวลา
อย่างปี 2549 พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ก็ออกมายึดอำนาจ บอกว่ารัฐบาลทุจริต ถามกันตรงๆ เป็นหน้าที่ของทหารเหรอ ที่มาบอกคนนั้นทุจริต คนนี้เลว คนนี้ดี กูดี ฉะนั้นกูจะมาปราบทุจริต หน้าที่ทหารคือป้องกันประเทศ ทำไมไม่ไปทำหน้าที่ แล้วยังปล่อยให้วีระ สมความคิด ไปถูกเขมรจับทั้งๆ ที่อยู่ในเขตประเทศไทย ทำไมพื้นที่อ้างสิทธิ์ที่บุรีรัมย์หรือศรีสะเกษ ไทยก็อ้างของไทย เขมรก็อ้างของเขมร ทำไมปล่อยให้เขมรมาสร้างบ่อน อีกหน่อยเขมรก็บอกว่านี่ของกู ก็สร้างได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย ทำไมปล่อยล่ะ ก็ผลประโยชน์ไง เราตั้งร้านค้าเราก็ต้องเสียภาษี เรามีบ่อนในประเทศเราก็ต้องเสียภาษี ไอ้นี่บ่อนในพื้นที่อ้างสิทธิ์ เขมรก็เก็บไม่ได้ ไทยก็เก็บไม่ได้ ตกลงทหารไทยก็เก็บ ทหารเขมรก็เก็บ เป็นอย่างไร ไม่ป้องกันประเทศชาติ เอาแต่ผลประโยชน์ แล้วมาชี้คนนี้ผิดคนนี้เลว มายึดอำนาจ—ถามว่าถูกเหรอ
ขั้นตอนกระบวนการทางการเมืองก็มีอยู่แล้ว ถ้าเขาทุจริตก็ดำเนินคดีกันตามกฎหมาย เขายึดสภา เขาปลดออก ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ แต่ไม่ใช่ใครตั้งกลุ่มมาชี้ผิดชี้ถูก สร้างสถานการณ์ว่าคนนี้ผิด พอคุณสนธิยึดอำนาจเสร็จ แต่ไม่ได้เป็นนายกฯ เอง ไปเชิญพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านสุรยุทธ์ไม่ได้คิดสืบทอดอำนาจไง ท่านมาเป็นได้ปีกว่า ท่านก็จัดให้มีการเลือกตั้งนะ พอเลือกตั้งเสร็จ การเมืองกลับเข้ามามีอำนาจใช่ไหม แล้วอนุพงษ์ (พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา) ก็มาเป็น ผบ.ทบ. ผ่านไป 3 ปี พลเอกประยุทธ์ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.ปี ’54 แล้วจะเกษียณ ’57 ก็ต้องมีการเตรียมการนะ แต่ถ้าเกษียณแล้วก็ไม่มีโอกาสจะยึดอำนาจ ก็อยู่ไปจนกระทั่งพฤษภาฯ ’57 ก่อนเกษียณเลยยึดอำนาจ
ผมอยากให้เห็นว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณไม่ทำหน้าที่ของคุณคือการป้องกันประเทศ คุณก็ใช้ทหารทั้งหลายวางแผน ซึ่งคนนอกอย่างเราก็ไม่รู้หรอก แล้วการวางแผนยึดอำนาจก็มีการร่วมกับพรรคการเมืองบางพรรค โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่มีฐานเสียงในกรุงเทพฯ ซึ่งมันก็มีแค่เพื่อไทย ประชาธิปัตย์นี่แหละนะ พรรคการเมืองที่มีฐานเสียงภาคใต้เอามาป่วนกรุงเทพฯ ปลุกระดมคนกรุงเทพฯ ทหารก็คอยมาคุ้มครอง คิดวางแผนให้ ส่งทหารชายชุดดำมาปกป้อง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายโจมตี ก็สร้างสถานการณ์ร่วมกัน ประชาชนกรุงเทพฯ ก็ถูกหลอก ตอนนั้นผมยังถูกเชิญให้ไปขึ้นเวที กปปส. เลย ก็ไม่เห็นเหรอปลัดกระทรวง อธิบดีไปกันตั้งเยอะ แต่เรามองดูแล้วมันไม่ใช่ เป็นการป่วนเมืองเกะกะให้มันก่อความวุ่นวาย ในที่สุดทหารก็ออกมายึดอำนาจ
คุณมองว่าเป็นการวางแผนอย่างเป็นระบบ สร้างสถานการณ์ขึ้นมาว่า เกิดเหตุการณ์วุ่นวายจนถึงขั้นไม่มีทางออก ดังนั้นจึงต้อง reset กันด้วยการรัฐประหาร
ใช่ แล้วประชาชนออกมาสนับสนุนทหารในการยึดอำนาจ แต่คุณหารู้ไม่ว่าพวกทหารมันกินกันเองทั้งนั้น แล้วครั้งนี้คิดยาวกว่าครั้งพลเอกสนธิ ก็คือเอาบทเรียนของพลเอกสนธิมาว่า ถ้ายึดอำนาจแล้วไม่ได้เป็นเอง รัฐประหารเสียของ ถ้าอย่างนั้นกูต้องเป็นเอง ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ต้องสืบอำนาจต่อ ก็ต้องใช้เวลาในการตั้งพรรค ฉะนั้นจะเห็นว่าพอยึดอำนาจเสร็จ ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง ก็ออกรัฐธรรมนูญใหม่ แค่ทำประชามติก็โกงแล้วนะ โกงอย่างไร รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี ’57 บอกให้ส่งร่างไปให้พี่น้องประชาชนได้อ่านก่อนจะโหวตรับหรือไม่รับ ประมาณ 80% ของทุกครัวเรือน ดูสิต้องส่งร่างไปให้มากขนาดนั้นนะ แต่ทีนี้พอคิดว่าถ้าประชาชนรู้ร่าง เดี๋ยวไม่รับ ก็ออกรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับที่ 2 มา บอกให้ส่งเท่าที่จำเป็น พอเท่าที่จำเป็น เขาก็ไม่ส่งเลย
คุณเสรีพิศุทธ์ไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจรัฐประหาร แต่สุดท้ายในตำแหน่ง ผบ.ตร.ปี 2550 ก็ถือเป็นการร่วมงานกับรัฐบาลที่มีผลพวงมาจากรัฐประหารไม่ใช่หรือ
ใช่ ในยุค คมช. (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) คืออย่างนี้ ผมเป็นจเรตำรวจแห่งชาติอยู่ก็ถือว่าเป็นอาวุโสระดับหนึ่ง พอมีการรัฐประหารปี 2549 มีพล.ต.อโกวิท วัฒนะ เป็น ผบ.ตร. แล้วเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นเดียวกันหมดกับคณะรัฐประหาร เราก็มองแล้วว่าคงยากที่เราจะขึ้นแล้ว แต่คนมันอยู่ที่ดวง ใครเขาจะคิดว่าปลดโกวิท ไม่มีทาง แต่คุณโกวิทมาจาก ตชด. พอมีเรื่องระเบิด เผาโรงเรียนในภาคอีสาน ภาคใต้ ก็สืบสวนหาตัวคนร้ายไม่ได้เสียที เขาก็มองหาคนที่จะแก้ปัญหานี้ได้ อ้าว เพราะฉะนั้นไอ้นู่นก็ทำไม่ได้ ไอ้นี่ก็ทำไม่ได้ ไอ้นี่ก็ระเบิดขึ้น ที่นู่นก็เผา ที่นี่ก็ตามคนร้ายไม่ได้สักที เขาก็เลยต้องหาคนที่จะแก้ปัญหาได้ ก็มองมาที่เรา ท่านสุรยุทธ์เป็นคนตั้งผมขึ้นเป็น ผบ.ตร.
ไม่รู้สึกคาใจหรือว่าเป็นการได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลที่มีผลพวงสืบต่อจากคณะรัฐประหาร
ไม่หรอก คือเราไม่ได้ไปวิ่งเต้น ไม่ได้ไปสนใจอะไร จริงๆ เดือนตุลาคม 2550 พล.ต.อ.โกวิทจะเกษียณ แล้วก็จะมีการพิจารณากันใหม่ แต่ใครจะคิดว่ากุมภาพันธ์ ก็มีการปลด พล.ต.อ.โกวิท แล้วเอาผมมาบริหาร บ้านเมืองก็สงบ เรื่องเผาโรงเรียนในภาคใต้และอีสาน เรื่องระเบิดก็จบกันไป
คุณมีบุคลิกที่ท้าทายระบบมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ อยากรู้ว่าตั้งแต่ทำงานรับราชการมา เจอปัญหาการทำงานครั้งไหนหนักที่สุด
ก็ไม่เห็นมีอะไรมาก คือเราผ่านชีวิตความเป็นความตายมาแล้ว ตั้งแต่ปราบ ผกค. (ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) ก็ทำให้ผมแข็งแกร่ง ไม่กลัวตาย อย่างตอนอยู่นาแก มีการปล้นธนาคารที่มุกดาหาร โจรมันก็เอาโซ่ล่ามคอสุนัข มาผูกคอเขากับผู้หญิงเป็นตัวประกัน มือซ้ายถือระเบิด มือขวาก็ถือปืน ใครจะแก้สถานการณ์ ตอนนั้นระดมนักแม่นปืนมาก็ยังไม่กล้ายิง เพราะถ้ายิงแม่น โจรตาย ระเบิดหลุด ผู้หญิงก็ตาย ถ้ายิงพลาดโดนผู้หญิงตาย ตำรวจติดคุกหมด ส่วนหมอก็ใช้วิธีเอายานอนหลับผสมน้ำส้มให้โจรกิน แต่มันนาน ให้กินก็ไม่หลับ แต่ผมคลานเข้าไปประกบยิงผ่านผู้หญิงเลย ทำไมเราทำได้ ไม่เห็นมีอะไร ฉะนั้นชีวิตผ่านการต่อสู้มาเยอะ
แล้วการโดนเล่นงานในระบบอย่างโดนกลั่นแกล้งไม่ให้เลื่อนตำแหน่ง คุณรับมืออย่างไร
คำถามที่ว่าถูกกลั่นแกล้งบ้างไหม เคย เยอะ ผมน่ะรับราชการ 19 ปี เป็นนายพล เป็นผู้การกองปราบ คือตอนตำแหน่งเล็กๆ เป็นเด็กทำงาน มีผลงานมันก็เจริญเติบโต เพราะมันเหมือนวิ่งมาราธอน เริ่มสตาร์ตปุ๊บ ออกวิ่ง มันก็ไม่รู้ใครจะเข้าป้ายหรอก เพราะไม่ถูกขัดขวางไง แต่พอเริ่มเข้าสนามศุภฯ เหลืออีก 10 รอบ มันเริ่มเห็นแล้วใครนำมา เริ่มถูกขัดขวาง เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นตอนเป็นนายร้อยขึ้นเป็นนายพันเรื่อยมาจนเป็นผู้กำกับ ยังไม่ค่อยถูกขัดขวาง พอเป็นนายพล ก็เริ่มถูกขัดขวางจากผู้บังคับบัญชา เพราะคนเรานี่มักจะยึดแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก แต่เราก็ต้องพูด เพราะเราไม่กลัวใคร มีทั้งกรณีที่เราฟ้องศาลอาญา ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฟ้องคดีศาลปกครองให้ได้รับความชอบธรรม เพราะระบบการแต่งตั้งมันมีอยู่แล้วตามอาวุโส เราก็ผ่านมาได้
อยากถามความเห็นเกี่ยวกับปัญหาหาความรุนแรงในภาคใต้ คุณคิดว่าเกิดจากอะไร
การกดขี่ข่มเหงของเจ้าหน้าที่ต่างๆ ตั้งแต่สมัยกรือเซะก็เป็นปัญหาเรื่อยมา แล้วเจ้าหน้าที่ก็ทำงานไม่เป็น ไม่สนใจ เหมือนนาแก หรือพื้นที่สีแดงสมัยก่อน ที่ส่งคนไปแล้วคนไม่ตั้งใจทำงาน
คิดว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับภายในวงการทหารด้วยกันเองหรือเป็นปัญหาผู้ก่อการร้าย
ปัจจุบันนับแต่ปี 2547 เราจัดงบประมาณมาเพื่อดูแลปัญหาภาคใต้ นับเป็นระยะเวลา 15 ปีแล้วที่ให้ทหารเข้ามาดูแล แต่ทำไมไม่จบ เราปราบ ผกค. ทำไมจบได้ แต่ปัญหาภาคใต้มันอยู่ตรง 3 จังหวัดกับอีก 4 อำเภอแล้วคุณประยุทธ์มีมาตรา 44 อยู่ในมือ คุณทำอะไร ทำไมยังเหมือนเดิม แล้วถ้าให้คุณเป็นรัฐบาลต่อไป คุณจะแก้ได้ไหมนะ ไม่ได้หรอก จะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นถ้าคุณเป็นรัฐบาลต่อไป ไม่มีมาตรา 44 อยู่ในมือ แล้วมีฝ่ายค้านอีก จะแก้ได้เหรอ
ตรงจุดนี้ผมถึงบอกว่าเราต้องดูจากข้อเท็จจริงนะ สมัยยุค คมช. มี ผบ.ทบ.คนหนึ่ง ก่อนเกษียณก็อนุมัติตั้งน้องชายตัวเองไปเป็นแม่ทัพภาค 4 ทั้งๆ ที่คนนี้ไม่เคยเป็นทหารอยู่ในหน่วยรบเลย แต่ตั้งไปเพื่อดูแลงบประมาณกว่าหมื่นล้าน เป็นอยู่ได้สองปี ต้องเลื่อนตำแหน่ง แล้วไม่เอานะ ขออยู่ต่อ สรุปคือทุจริตกัน ซึ่งเราก็เห็นตั้งแต่อยู่นาแกแล้ว ผมทำงานปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งขึ้นตรงกับทหาร เราก็ของบประมาณผ่านเขา พอได้งบฯ มาเขาก็ไม่ให้เรา ก็อมไป ต้องไปทวง ก็ได้มาแต่ไม่ครบ
อย่างปัญหาหนักๆ ของรัฐบาลชุดนี้คือหนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 7 ล้านล้าน คนจนเพิ่มจาก 11.5 ล้านคน เป็น 14.5 ล้านคน แล้วอันดับความโปร่งใสอยู่อันดับที่ 99 ของโลก ตรวจสอบไม่ได้เลยนะ
แต่คุณก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการโกงกินมีอยู่ทุกวงการในระบบราชการทั้งตำรวจและทหาร
ตำรวจส่วนใหญ่จะฉ้อราษฎร์ เพราะตำรวจไม่ค่อยมีงบประมาณ มาไม่ถึง แต่ต้องทำงานกับพี่น้องประชาชน สมมติตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ ควันดำ ใบขับขี่ ถ้าไม่อยากไปโรงพักก็ตกลงกันที่ด่านตรวจ เป็นการสมยอมทั้งสองฝ่าย ก็ต้องให้ตำรวจหลักร้อยหลักพัน หรือตรวจแอลกอฮอล์ ถ้าโดนก็หลักหมื่นใช่ไหม ส่วนทหารนี่บังหลวง ลองดูได้เลย เย็นนี้ไปที่สวนสาธารณะแถวนี้ หลังยึดอำนาจส่งทหารมาอยู่เป็นกองร้อยจะครบ 5 ปีแล้ว ยังไม่ยอมไปเลย อ้างว่าบ้านเมืองยังไม่สงบ
คุณกำลังบอกว่า ‘ตำรวจฉ้อราษฎร์ ส่วนทหารบังหลวง’
ใช่ ทหารบังหลวงตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้าง เครื่องแบบทหาร—อย่างทหารเกณฑ์เข้าไปต้องตัดเครื่องแบบใหม่ กางเกงใน หมวก เสื้อยืด กางเกง รองเท้าก็ต้องซื้อใหม่ แต่ตำรวจ ปืนยังต้องไปเข้าคิวซื้อกันเองเลย แล้วราคากระบอกละเกือบแสน สมัยผมก็หมื่นกว่าบาท คือในความเป็นจริงเขามีให้แต่มันก็ไม่พอ สมมติมีตำรวจ 10,000 คน มีปืนให้ 2,000 กระบอกอย่างนี้ ที่เหลือก็ต้องซื้อเอง แล้วคนที่ได้มาก็ไม่อยากใช้ เพราะปืนมันเก่ามาก ขึ้นสนิมแบบนี้ แล้วไหนจะระเบียบราชการถ้าปืนหายก็ถูกไล่ออกอีก ใครมันจะเอาไปใช้
ถือว่าเป็นภาระอีก
ตำรวจต้องมีปืนไว้ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินพี่น้องประชาชน สมมติว่านายสิบคนหนึ่ง เราให้ปืนเขาไปเลยสักกระบอกตั้งแต่อายุ 20 จนเกษียณ โทรศัพท์กับคอมพิวเตอร์ก็ไปเขาด้วย เพราะมันจำเป็นต้องใช้
ขอกลับมาที่เรื่องการเลือกตั้ง ในฐานะที่พรรคเสรีรวมไทยลงสนามเลือกตั้งใหญ่เป็นครั้งแรก แต่สามารถประกาศส่งผู้สมัครครบทั้ง 350 เขตได้อย่างไร
คืออย่างนี้ ถึงแม้เราจะเป็นพรรคใหม่ แต่ตัวผมมันเก่า คนรู้จักทั้งประเทศ ก็เป็นตัวดูด แต่ไม่ได้ไปเอาเงินดูดเขานะ เพราะเรามีชื่อเสียง ประวัติ คนก็มีความมั่นใจอยากร่วมงานด้วย คราวนี้ตามกฎหมาย คะแนนรวมทั้งหมดก็ต้องเอามาคำนวณว่าจะได้ปาร์ตี้ลิสต์กี่คน สำหรับเรา ถ้ามองโดยพื้นฐานทั่วไป เราอาจไม่ได้มีฐานคะแนนเสียงเหมือนพรรคใหญ่ที่เขาเลี้ยงดูปูเสื่อมาตลอด ผมก็ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นหลัก เดี๋ยวนี้มีคนมาดูผม 182 ล้านวิวในยูทูบ ถ้าคิดแบบไม่เข้าข้างตัวเอง สัก 10% ก็ 18 ล้านคน แต่ก็คงมีทั้งชอบและไม่ชอบ ถ้าแบบนั้นขอสัก 50% จาก 18 ล้านคน ก็ 9 ล้าน
แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ ส.ส.เขตกี่คน ปารตี้ลิสต์กี่คน สมัยก่อนที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย คนกรุงเทพฯ รู้จัก สมัคร สุนทรเวช พลตรีจำลอง ศรีเมือง แต่คนต่างจังหวัดไม่รู้จัก เพราะยังไม่เจริญ ไม่มีโซเชียลมีเดีย อย่างของผมอาจไม่ได้มีกระแสเท่า เพราะตอนนี้ก็มีคนรุ่นใหม่อย่างธนาธร (ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่) เข้ามาอีก
คุณมองพรรคอนาคตใหม่อย่างไร
มองว่าเราคิดเหมือนกันว่าศัตรูก็คือเผด็จการ
เคยเห็นป้ายหาเสียงอันหนึ่งของทางพรรคเสรีรวมไทย ช่วงที่กระแส#ฟ้ารักพ่อ ของพรรคอนาคตใหม่มาแรงมาก ที่มีข้อความหนึ่งว่า ‘ถึงฟ้าจะรักพ่อ แต่ป๊าขอโอกาสบ้าง’ คุณเสรีพิศุทธ์ทราบไหมคะ ว่ามีคนเรียกว่า ‘ป๊า’
ไม่ได้ทราบหรอก เพราะจริงๆ ไม่ค่อยได้สนใจนะ แต่บางทีไปเดินตลาด เด็กๆ มันก็เรียกเราว่าป๊าบ้าง หรือเรียกอะไรบางทีเราก็ไม่รู้นะ คนถ่ายเขาสัมภาษณ์ไป เรามาเห็นทีหลัง
คุณเสรีพิศุทธ์ มีทีมงานโซเชียลมีเดียดูแลตรงนี้ให้ด้วยใช่ไหม
มีทีมงานช่วยดู แต่ผมไม่ได้ดูนะ บอกตรงๆ วันๆ ก็ยุ่งกับงาน กับการเมือง เดี๋ยวก็ต้องลงพื้นที่แล้ว
ตอนนี้เสียงของคนรุ่นใหม่มีพลังมาก แล้วภาพลักษณ์ความเป็นคนรุ่นใหม่ของพรรคเสรีรวมไทยอยู่ตรงไหน
ผมว่าอยากให้ดูที่ตัวบุคคลมากกว่า ถามว่าเมื่อสัก 40 ปี ที่แล้ว คุณชวน (หลีกภัย) เป็นคนรุ่นใหม่ไหม ต่อมาเป็นคุณอภิสิทธ์ (เวชชาชีวะ) เป็นคนรุ่นใหม่ไหม แล้วปัจจุบันเป็นอย่างไร เพราะพรรคประชาธิปัตย์แนวความคิดของเขาคือเอาพี่เอาน้องเอาญาติมาเป็น ส.ส. เพราะเมื่อยึดพื้นที่ได้แล้ว ใครลงในนามประชาธิปัตย์ก็ต้องได้ เพราะฉะนั้นเขาจะไม่เอาคนอื่นมา สรุปแล้วการได้เป็น ส.ส. เพราะอะไร ใช่ความสามารถหรือเปล่า พอได้เป็น ส.ส. ก็ต้องเป็นรัฐมนตรี แล้วมันจะพัฒนาประเทศชาติได้อย่างไร เมื่อคุณไม่มีความรู้ไม่มีประสบการณ์เลย
ถามว่าคนรุ่นใหม่รู้จักระบบราชการดีเท่าผมไหม บางทีคนแค่เห่อกระแสไป มันไม่ใช่ มันต้องดูผลงานว่าเป็นอย่างไร เหมือนเราไปสมัครงาน ก็ต้องดูประวัติ ผลงานอะไรมาบ้างใช่ไหม หัวหน้าพรรคแต่ละคนประวัติเป็นอย่างไร ผลงานเป็นอย่างไร ถ้ายังไม่มีผลงานจะมั่นใจได้อย่างไร
พรรคไหนที่คิดว่าเสรีรวมไทยจะไม่ร่วมงานด้วยแน่ๆ
ก็เผด็จการไง
ซึ่งได้แก่—
พรรคพลังประชารัฐนั่นแหละ
แล้วจำเป็นไหมที่พรรคเสรีรวมไทยต้องเป็นฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น หรือว่าเป็นฝ่ายค้านก็ได้
จะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านคงอยู่ที่คะแนนของแต่ละพรรค ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยชนะ สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน—แค่นั้นเอง เพราะงานที่เราจะทำ นอกจากจะดูแลชีวิตความเป็นอยู่พี่น้องประชาชนแล้ว ปัญหาอื่นที่สำคัญคือหยุดคอร์รัปชัน เอางบประมาณของชาติคืนมา เพราะที่ผ่านมาเงินพัฒนาประเทศหายไปเพราะคอร์รัปชัน
ผมจะปราบคอร์รัปชันด้วยความรู้ความสามารถในการสืบสวนสอบสวน ต้องปราบยาเสพติด ผู้มีอิทธิพล แล้วก็ต้องแก้ไขกฎหมายที่ออกโดย คสช. เพราะไม่เป็นธรรมกับพี่น้องประชาชน รวมทั้งการย้ายหน่วยทหารออกนอกพื้นที่ ลดกำลังทหารหน่วยต่างๆ ที่ไม่จำเป็น มี 3 กองทัพแล้ว ทั้งทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ แล้วจะมีกองบัญชาการทหารสูงสุดไปทำไม เกินความจำเป็น หรืออย่างหน่วยทหารพัฒนามีทำไม ตั้งมาซ้ำซ้อนก็เพื่อหวังงบประมาณ แล้วมีสมัยนี้ไม่มีศึกสงครามแล้ว ยิ่งต้องลด ไม่ใช่เพิ่ม
ผมมองว่าใครมีหน้าที่อะไรก็ไปทำหน้าที่ของตัวเอง ทหารมีหน้าที่ป้องกันประเทศก็ไปป้องกันประเทศ อย่าเข้ามาทำงานที่แทรกแซงกิจการภายในประเทศ ตรงนี้เป็นหน้าที่ของพลเรือนกับตำรวจ ให้หน่วยงานต่างๆ เข้าพัฒนาบ้านเมือง
แล้วก็หยุดเรื่องสีเสื้อ ถ้าผมเป็นประยุทธ์นะ ถึงแม้การยึดอำนาจจะผิดกฎหมาย แต่จะเขียนระเบียบกติกาที่ให้คนดีมาเป็นนักการเมืองเข้าสู่ระบบ แล้วควบคุมการเลือกตั้งไม่ให้มีการทุจริต คนดีก็เข้าสภา แล้วปล่อยเขาบริหารไป เราก็พ้นอำนาจออกมาอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ไปสืบทอดอำนาจให้คนด่า ว่าเอารัดเอาเปรียบ แล้วก็ไม่ลงมาสู้ในสนามเลือกตั้ง แบบนี้มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย
หากมีอำนาจหน้าที่ในการเป็นรัฐบาล จะตรวจสอบคอร์รัปชั่นย้อนหลังของ คสช.หรือไม่
ก็ต้องตรวจสอบ เรื่องสำคัญ เช่น การตั้งงบประมาณ การทุจริตซื้ออาวุธ อย่าง GT200 ราคาจริงตัวละพันกว่าบาท แต่ซื้อมาตัวละ 8 แสน 9 แสน โกงไปเท่าไร หรืออย่างขุดลอกคูคลองของทหารผ่านศึก ถามจริงว่าทหารผ่านศึกมีหน้าที่ทำตรงนี้เหรอ แล้วงบประมาณทหารผ่านศึกก็มีการทุจริตกินหัวคิวกัน การขุดลอกคูคลองเป็นเรื่องใต้น้ำ คนมองไม่เห็น แต่ทำถนนยังเห็นว่าใส่เหล็ก อิฐ หิน ปูน มันตรงสเปคไหม เห็นไหมว่ามีหลายเรื่อง เยอะแยะไปหมด
แล้วมีเรื่องอะไรอีกที่ควรรีบทำ หากได้เป็นรัฐบาล
จริงๆ ต้องทำพร้อมกัน ไม่ใช่ปฏิรูปกองทัพโดยไม่สนใจปากท้องประชาชน เพราะตอนนี้เรามีหนี้ครัว
เรือนมากขึ้นอีก 2 ล้านล้านบาท ประชาชนเป็นหนี้ถึง 87% พูดง่ายๆ ว่าคนไทย 100 คน เป็นหนี้สัก 87 คน นอกจากเป็นหนี้แล้ว ยังมีเรื่องไม่มีที่ทำกิน เพราะรัฐบาลนี้ไปจัดระเบียบห้ามขาย ประขาชนก็เดือดร้อน จะให้เขาไปเซ้งตึกขายของ เขาจะเอาเงินมาจากไหน กินยังไม่มีจะกิน รัฐบาลดันไปมองเรื่องระเบียบความเรียบร้อยเป็นหลัก ไม่ได้มองปากท้องเป็นหลัก
เราก็จะต้องจัดที่ทำมาหากินให้พี่น้องประชาชน แน่นอนระเบียบกฎหมายมี แต่ถ้ามีแล้วประชาชนอดตาย ก็อยู่ไม่ได้ ก็อาจจะใช้พื้นที่สาธารณะ ปิดถนนที่มีอยู่ ให้เขาค้าขายโดยไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ เรียกว่าเปิดให้ค้าขายเต็ม กินอิ่มนอนหลับ เลี้ยงครอบครัวได้ ปลดหนี้ปลดสินได้ แล้วค่อยจัดระเบียบให้เขา หรือระหว่างทำก็หาสถานที่เพิ่มเติมให้ ที่ดินของรัฐมีอีกเยอะ สร้างตลาดให้เขาขายของได้
แล้วก็เรื่องที่ดินทำกิน พี่น้องประชาชนเกิดมายังไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองเลย เพราะฉะนั้นเราเอาที่รกร้างว่างเปล่า ที่สาธารณประโยชน์ ทุ่งเลี้ยงสัตว์ ที่ดิน ส.ป.ก. ที่ดินทหาร เราจะดูแลออกกฎหมายจัดการให้ หรือแม้แต่ที่ในเขตอุทยาน ชาวบ้านอยู่มาตั้งนานแล้ว มาประกาศเขตอุทยานทีหลัง เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับชาวบัานด้วย
คือประเทศไทยจะอยู่ได้มันต้องมีคนไทยที่มีความรู้ความสามารถใช่ไหม มีความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ แล้วก็ต้องมีความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ไม่ใช่ประเทศชาติที่มีแต่คนเก่งแต่คิดกอบโกยเป็นของตัวเอง ไม่เผื่อแผ่คนอื่นเลย ฉะนั้นเราต้องดูแลประชาชนให้กินอิ่มนอนหลับ ค้าขายได้ มีที่ดินทำกิน ปัญหาหนี้สินทั้งในและนอกระบบก็ต้องได้รับการแก้ไข
ราคาสินค้าเกษตรพืชผลต่างๆ ที่ตกต่ำ เราก็ต้องดูแลให้เขาอยู่ได้ ไหนจะเรื่องการศึกษา เราก็มีนโยบายเรียนฟรีจนจบปริญญาตรี เพราะรู้ไหมว่าหลายคนกู้มาเรียนเป็นหนี้ กยศ. (กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา) ต้องมีคนค้ำประกัน แต่จบมาไม่มีงานทำ ก็ไม่มีเงินใช้หนี้ ก็ถูกฟ้องทั้งคนกู้และคนค้ำประกัน เราก็อยากให้เด็กได้เรียน เพราะหนี้ที่กู้มาก็ไม่ได้เอาไปกินเหล้าเมายา แต่คือเรียนหนังสือ เพียงแต่ไม่มีงานทำหาเงินมาใช้หนี้ มันก็ควรจะปลดแอกตรงนี้
ขนาดประยุทธ์ยังเอาเงินแสนล้านไปแจกจ่ายได้เลย แล้วมันเกิดประโยชน์อะไร สู้เอามาแก้ปัญหาการศึกษาดีกว่า เรื่องโรงพยาบาลก็อีกเรื่อง แต่ก่อนมี 30 บาทรักษาทุกโรค พรรคเสรีรวมไทยคือใช้บัตรประชาชนใบเดียว แค่คุณเป็นคนไทยก็เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐฟรีทั้งหมด แล้วต้องได้รับบริการที่ดีด้วย เครื่องมือแพทย์ก็ต้องทันสมัย
นโยบายที่ว่ามาทั้งหมด เรามีงบประมาณเพียงพอหรือที่จะทำสิ่งเหล่านี้
ถามว่าเอางบประมาณมาจากไหน เราก็จัดสรรใหม่ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดออก สมัยผมเป็น ผบ.ตร. สร้างที่อยู่อาศัยให้ตำรวจ หาที่ว่างๆ ข้างโรงพัก ที่ดินของใคร ลองติดต่อขอซื้อ เอาเงินนอกงบประมาณซื้อเลย แล้วก็สร้างแฟลตหลังโรงพัก แบบนี้เราทำให้ได้ในทุกกระทรวง
แล้วเราต้องย้ายสำนักงานกองทัพบก หน่วยทหารทั้งหมดในกรุงเทพฯ ออกไป กองทัพบกที่วิภาวดีฯ หรือแม้แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมัยก่อนยังไม่มีพารากอน สยามสแควร์ เป็นทุ่งนา แต่เดี๋ยวนี้พื้นที่ตรงนั้นตารางวาละเท่าไร เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ อย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประชาชนไม่ค่อยได้มาติดต่อหรอก ถ้าเป็นผมจะย้ายให้ไปอยู่สนามกอล์ชลประทาน ปากเกร็ด แล้วเราจะทุกอย่าง ทำถนน ขุดคลอง สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล สวนสาธารณะ ทำทั้งประเทศ อีกส่วนหนึ่งก็ให้เอกชนมาเช่า ไม่ใช่งบประมาณไปไว้ที่ทหาร
เราต้องดูว่าอะไรที่จำเป็นนะ อย่างกระทรวงที่ดูแลชีวิตคนด้านปัจจัย 4 อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เพราะฉะนั้นกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างที่อยู่อาศัยให้พี่น้องประชาชน แต่ทำไมงบฯ น้อย เป็นกระทรวงเกรด C สู้มหาดไทยกับกลาโหมไม่ได้ เราจะให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข เป็นสามกระทรวงใหญ่ ต้องปรับโครงสร้างของกระทรวง ปรับระบบให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างเต็มที่ เพราะถ้าประชาชนมีที่อยู่อาศัย มีการศึกษา และได้รับการบริการจากโรงพยาบาลที่มีคุณภาพ แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว
แล้วที่บอกว่าจะปฎิรูปกองทัพ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เป็นอย่างไร
เราพูดตั้งแต่ต้นแล้วว่า ทำอะไรให้ทำด้วยใจ การพัฒนาคนต้องพัฒนาที่จิตใจ เรามาทำงานการเมือง ลงมาด้วยใจ ต้องการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนนะ แต่พรรคการเมืองต่างๆ ถามว่าทำงานด้วยใจหรือเปล่า มีนายทุนหนุนหลังกันทั้งนั้น ของผมต้องการชนะด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่มีซื้อสิทธิ์ขายเสียง ให้พี่น้องประชาชนเลือกมาโดยสุจริต พรรคการเมืองที่มีนายทุนหนุนหลัง ถึงเวลาก็ต้องให้ตำแหน่งนายทุน เพราะเขาจ่ายเงินไปเยอะ ฉะนั้นไม่สามารถบริหารประเทศได้ เพราะไม่ได้ทำงานด้วยใจ ตอนนี้เป็นวาทกรรม ใครก็พูดได้ว่าจะปราบทหาร แต่กล้าจริงหรือเปล่า วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ถ้าผมอยู่นะ ผมจัดการประยุทธ์ไปแล้ว เพราะคุณเป็นกบฏ ผิดกฎหมาย ต้องใช้คำพูดอย่างนี้เลย เป็นกบฏไม่มีสิทธิ์มายึดอำนาจ สื่อก็เกลียดคุณอยู่แล้ว ชี้หน้าด่าอยู่เรื่อย
หากให้บอกว่าจุดเด่นของคนชื่อ ‘เสรีพิศุทธ์’ เพียงข้อเดียว คุณจะบอกว่าอะไร
ความกล้าคิดกล้าทำ เด็ดขาด มีความกล้าหาญ มีความจริงใจในการที่จะทำงานให้พี่น้องประชาชนเพื่อพัฒนาประเทศชาติ ก็ถ้าไม่ตั้งใจแล้วลงมารับเลือกตั้งทำไม ผมคิดว่าถ้าทำครั้งนี้ไม่สำเร็จก็คือจบแล้ว เพราะว่าผมอายุมากแล้ว มาครั้งนี้ก็ต้องทำให้พี่น้องประชาชนนะ
Fact Box
- พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เดิมชื่อ ‘เสรี’ ชื่อเล่น ‘ตู่’ เกิดที่จังหวัดธนบุรีเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2491 สมรสกับพัสวีศิริ (สกุลเดิม เทพชาตรี) มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ ศศิภาพิมพ์ ทรรศน์พนธ์ และทัศนาวัลย์
- จบโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 8 (ตท.8) เคยรับราชการอยู่ที่อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ช่วง พ.ศ. 2515-2524 ได้ต่อสู้ปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์อย่างเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ จนบังเกิดความสงบเรียบร้อย อันเป็นที่มาของฉายา ‘วีรบุรุษนาแก’
- อีกผลงานหนึ่งที่สร้างชื่อคือสมัยเป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ (ทำหน้าที่ผู้ช่วยหัวหน้าตำรวจภาค 2) ได้จับกุมนายสมชาย คุณปลื้ม หรือ ‘กำนันเป๊าะ’ ผู้กว้างขวางของจังหวัดชลบุรี ในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะที่เขาไม้แก้ว
- พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มีภาพลักษณ์เป็นนายตำรวจมือปราบที่ซื่อตรง ในอีกฉายาว่า ‘มือปราบตงฉิน’ เพราะมักจับกุมผู้มีอิทธิพลหลายคนโดยไม่เกรงกลัวต่ออำนาจมืด
- แต่เส้นทางในอาชีพตำรวจของเขาก็มีขึ้นมีลงตามกระแสการเมือง ด้วยความเป็นคนตรง โผงผาง ไม่เกรงกลัวใคร เขาจึงผ่านการโยกย้ายตำแหน่งหลายครั้งที่เจ้าตัวบอกว่า ‘ไม่เป็นธรรม’ แต่ท้ายที่สุดก็ขึ้นสู่จุดสูงสุดของอาชีพราชการตำรวจ ในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยุครัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์