คุณเคยติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ไหม? เชื่อว่าผู้คนไม่น้อยเคยติดอยู่ในวงจรอุบาทว์สักครั้งในชีวิตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจเป็นการเรียน การงาน หรือความรัก
ความจำเจที่หากไม่เข้มแข็งมากพอที่จะฝืนก้าวออกจากวิถีเดิมๆ สิ่งที่เคยเป็นมาก็อาจติดอยู่ในวงจรนั้นต่อไป หรือแม้แต่ผู้ที่พร้อมฝ่าเข้าสู่เส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงต่างรู้ว่ามันไม่ง่าย หลายครั้งไม่แน่ใจว่าเส้นชัยมีอยู่จริงหรือไม่ คำกล่าวที่ว่า “ความพยายามไม่เคยทำร้ายคนที่ตั้งใจ” สุดท้ายอาจเป็นเพียงตลกร้ายของผู้มีอำนาจที่สนุกกับการเห็นคนตัวเล็กตัวน้อยเต้นไปเต้นมา ดังเช่นที่ภาพยนตร์สั้น Two Distant Strangers ได้ฝากไว้ให้คิด
Two Distant Strangers ภาพยนตร์สั้นเวลา 32 นาที ดีกรีรางวัลภาพยนตร์สั้นยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ปี 2021 ว่าด้วยเรื่องของ ‘คาร์เตอร์’ (โจอี้ แบดแอส) กราฟิกดีไซเนอร์หนุ่มผิวสีที่เพิ่งตื่นจากคืนแห่งความสุขที่มีสาวสวยอยู่เคียงข้าง ผู้กำลังจะกลับบ้านไปหาสุนัขพิตบูลล์ที่เขาเลี้ยงไว้ที่บ้าน แต่เมื่อเดินออกจากประตูได้ไม่ถึงสิบก้าวดี ก็ถูก ‘เมิร์ก’ (แอนดรูว์ ฮาวเวิร์ด) เจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวเข้ามาตรวจค้นกระเป๋าเป้ของเขา แถมยังใช้กำลังเกินเหตุ จนคาร์เตอร์ถึงแก่ความตายระหว่างการจับกุม แต่แทนที่จะตาย คาร์เตอร์ย้อนเวลากลับมาตื่นอยู่บนเตียงเดิมที่เขาตื่นขึ้นเมื่อเช้า ใช้ชีวิตผ่านเหตุการณ์เดิมๆ ซ้ำๆ ต้องคอยหนีจากเจ้าหน้าที่ตำรวจวันแล้ววันเล่า เป้าหมายเดียวที่ทำให้เขายังไม่หยุดพยายามก็คือ ‘จีเตอร์’ เจ้าพิตบูลล์ที่รอคอยการกลับมาของเขานั่นเอง
ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่การลุ้นให้คาร์เตอร์กลับไปหาจีเตอร์ได้เท่านั้น หากประเด็นที่ซ่อนอยู่ภายใต้ภาพยนตร์เรื่องนี้ คือการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ์เท่าเทียมของคนดำ Black Lives Matter ที่ภาพยนตร์ได้ใช้สถิติการจับกุมคนผิวดำที่ถูกใช้กำลังรุนแรงเกินกว่าเหตุจากตำรวจผิวขาว โดยเฉพาะเหตุการณ์ตายระหว่างการจับกุมของ จอร์จ ฟลอยด์ (George Floyd) มาจำลองใหม่อย่างคล้ายคลึงเสียจนกระอักกระอ่วนใจในการชม
*หลังจากนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์
นี่เป็นการนำเอาความจริงของคนดำที่ถูกกดทับในแผ่นดินอเมริกามาสะท้อนได้อย่างเสียดสีและแสบคัน โดยการให้คาร์เตอร์เป็นตัวเดินเรื่องที่ต้องติดอยู่ในวังวนห้วงเวลา ซึ่งเป็นตัวแทนของความเจ็บปวดที่คนดำต้องเผชิญมากกว่า 100 ปี ผ่านการจำลองเหตุการณ์ที่มนุษย์ปกติธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งจะสามารถเจอได้ในชีวิตประจำวัน ยืนสูบบุหรี่ เผอิญชนกับคนแปลกหน้า หรือแม้กระทั่งการเดินฟังเพลงตามทางเท้าเฉยๆ ก็ตาม แต่พอคาร์เตอร์ที่แค่เป็นคนผิวดำกระทำสิ่งเหล่านั้น เขากลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวเข้าปะทะจับกุมโดยไม่คิดจะฟังเหตุผลของเขาแม้แต่นิดเดียว
การเดินเรื่องถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ด้วยธรรมชาติของภาพยนตร์สั้น คาร์เตอร์พยายามสรรหาวิธีในการหลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ มากมาย ค่อยๆ ทำสิ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยในแต่ละวันที่เขาตื่นขึ้นมา พยายามหลบหนีสายตาของตำรวจ เปลี่ยนชุด แกล้งทำเป็นลืมกระเป๋าเป้เจ้ากรรม เลือกที่จะสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือแม้กระทั่งนั่งอยู่เฉยๆ ในอพาร์ตเมนต์ ก็ยังไม่วายโดนหน่วยสวาตบุกเข้ามาหาถึงที่อยู่ดี ซึ่งไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ชะตากรรมของคาร์เตอร์ก็ต้องจบลงด้วยความตายจากน้ำมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนเดิมเสียทุกที
หลังจากถึงแก่กรรมเป็นครั้งที่ 99 คาร์เตอร์เลือกทำในสิ่งที่ต่างออกไป นั่นคือเดินเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นอย่างตรงไปตรงมา อธิบายเหตุการณ์ที่ตัวเขาติดอยู่ในห้วงเวลาอันพิลึกให้ฟัง จนเจ้าหน้าที่ตำรวจเหมือนจะเข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง และสุดท้ายก็ตอบรับข้อเสนอของคาร์เตอร์ เรื่องราวจึงเปลี่ยนไป จากแทนที่เจ้าหน้าที่จะฆ่าเขาเหมือนทุกครั้ง กลับถามว่าขอขับรถไปส่งเขาที่บ้านแทนได้ไหม
ระหว่างการนั่งรถกลับบ้านนั้น คาร์เตอร์และเจ้าหน้าที่เมิร์กได้มีการปะทะคารม จิกกัดกันตามประสาคู่กัดที่ถูกฝังรากทางวัฒนธรรม คาร์เตอร์บอกว่าพวกตำรวจนั้นควบคุมและลงโทษคนดำเกินกว่าเหตุ จนคนดำต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เถียงกลับไปว่าไม่เกี่ยวกัน ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำผิดก็ต้องรับผิดชอบผลของการกระทำของตัวเอง แถมไม่มีใครไปบังคับให้คนดำก่ออาชญากรรมสักหน่อย ซึ่งคาร์เตอร์ก็ยังไม่ยอม โดยถามกลับว่าแล้วคนดำมีทางเลือกอะไรบ้าง ถ้าไม่ใช่อาชญากรรม แค่เกิดเป็นคนดำชีวิตก็เหมือนกับติดลบอยู่แล้ว เพราะว่าสังคมนั้นให้รางวัลกับคนขาวง่ายดายกว่าคนดำหลายขุม จนเจ้าหน้าที่ตำรวจเงียบไป และยอมรับว่าบางทีเขาก็ไม่เคยคุยและเปิดอกรับฟังเสียงจากคนผิวดำขนาดนี้
สุดท้าย พอมาถึงบ้านของคาร์เตอร์ ทั้งคู่ก็จับมือกัน เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการยอมสงบศึกของทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างอยู่ ไม่วุ่นวายต่อกันและกัน แต่หนังก็มาหักมุมครั้งสุดท้าย โดยที่ดูเหมือนจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งแล้วแท้ๆ แต่เจ้าหน้าที่เมิร์กก็ตัดสินใจชักปืนออกมายิงคาร์เตอร์จนเสียชีวิตอีกครั้ง และคาร์เตอร์ก็ต้องย้อนกลับไปเริ่มต้นวันเดิมอีกเป็นครั้งที่ 100 แต่คาร์เตอร์ก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาจะกลับไปหาหมาที่รักของเขาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องตายอีกกี่ครั้ง
การหักมุมจบแบบห้วนๆ อาจเป็นการบอกว่า ไม่ว่าคนผิวดำจะพยายามแสดงความต่อต้านการเหยียดผิวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยวิธีไหนก็ตาม ทั้งการใช้กำลัง ใช้ช่องโหว่กลอุบาย หรือการเจรจาเปิดอกด้วยความสงบ วงจรอุบาทว์นี้ก็ยังคงอยู่เช่นเดิม แต่นั่นไม่ได้แปลว่าการต่อสู้ของคนผิวดำจะจบลงแต่อย่างใด พวกเขาจะยังคงสู้ไปเรื่อยๆ เพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
เช่นเดียวกับเหล่าผู้ที่ถูกกดทับทั้งหลายทั่วโลก Two Distant Strangers เปรียบเหมือนการตบบ่าให้กำลังใจผู้ที่กำลังต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง ราวกับปลอบว่าคุณไม่ได้กำลังฮึดสู้อยู่เพียงลำพัง ไม่ว่าจะเจ็บปวดสักเท่าไร ขอแค่อย่าหมดหวัง ถึงแม้ปลายทางจะริบหรี่แค่ไหน เพราะว่าถ้าไม่สู้เดินไปข้างหน้า ก็คงต้องติดอยู่ในวงจรอุบาทว์แบบนี้ไปตลอดกาล
Two Distant Strangers (2021) สามารถชมได้ทางเน็ตฟลิกซ์
Fact Box
ภาพยนตร์เรื่อง Two Distant Strangers กำลังตกอยู่ภายในดราม่าว่าเนื้อเรื่องเลียนแบบภาพยนตร์สั้นอีกเรื่องหนึ่งที่มีชื่อว่า Groundhog Day For a Black Man (2016) ที่มีเนื้อหาและรูปแบบการเล่าเรื่องที่คล้ายคลึงกันมาก ซึ่งปัจจุบันนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปทางกฎหมายอย่างชัดเจน อีกทั้งผู้กำกับ ทราวอน ฟรี (Travon Free) ก็ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด