“บัตรคอนเสิร์ตจะขายหมดไหม”

“เมมเบอร์ตัวท็อปไม่อยู่ 2 คน”

คำปรามาสต่างๆ นานาที่มีต่อ NCT 127 บอยแบนด์สัญชาติเกาหลีใต้นั้นเกิดขึ้นทันทีหลังจากการประกาศจัดทัวร์คอนเสิร์ตครั้งที่ 4 นั่นเป็นเพราะ ‘NEO CITY: BANGKOK – THE MOMENTUM’ มีเมมเบอร์ที่เข้าร่วมเพียง 6 คนเท่านั้น ได้แก่ จอห์นนี่ (JOHNNY), ยูตะ (YUTA), โดยอง (DOYOUNG), จองอู (JUNGWOO), มาร์ค (MARK) และแฮชาน (HAECHAN)

ขณะที่เมมเบอร์คนสำคัญอย่าง แทยง (TAEYONG) และแจฮยอน (JAEHYUN) ไม่สามารถเข้าร่วมได้ เนื่องจากติดภารกิจทางการทหาร แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ผลจากการหายหน้าหายตากันนานถึง 1 ปีเต็มระหว่าง NCT 127 และ NCTzen (ชื่อแฟนคลับอย่างเป็นทางการ) ก็ทำให้เกิด ‘ความคิดถึง’ และ ‘ความทะเยอทะยาน’ ที่จะได้มาเจอกัน จนทำให้บัตรคอนเสิร์ตครั้งนี้ กว่า 3.6 หมื่นใบขายหมดเกลี้ยงแผง ขึ้นแท่นทำสถิติใหม่เป็นศิลปินวงแรกจาก SM Entertainment ที่สามารถจัดคอนเสิร์ตสเกลสนามกีฬาได้เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน

แน่นอนว่า The Momentum จะพลาดโอกาสครั้งนี้ไปไม่ได้ (เพราะขนาดชื่อก็เหมือนกันเสียแล้ว) ที่จะชมคอนเสิร์ต THE MOMENTUM วันนี้จึงอยากพาเหล่าแฟนคลับทุกคนย้อนกลับไปสัมผัสบรรยากาศอันร้อนแรงที่ธันเดอร์โดม สเตเดียม (Thunder Dome Stadium) อีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ด้วยตาของตัวเองว่า ความสนุกของคอนเสิร์ตในวันที่เหลือเมมเบอร์บนเวทีเพียง 6 คนจะลดน้อยตามที่มีคนปรามาสไว้หรือไม่

Let’s Drive THE MOMENTUM

เป็นเหมือนทุกครั้งไปที่ก่อนคอนเสิร์ตจะเปิดฉากอย่างเป็นทางการ จะมีการแสดง VCR ขึ้นมาเสียก่อน โดยครั้งนี้ NCT 127 สวมบทบาทเป็นตำรวจหนุ่มที่ตามหาผู้ก่อเหตุระเบิดอาคาร โดยพวกเขามาพร้อมกับทักษะการแสดง (Acting) สุดทะมัดทะแมง สามารถเรียกเสียงกรี๊ดจากจากเหล่า NCTzen อย่างล้มหลาม 

หลังจากนั้น NCT 127 ก็ออกมาจากหลังม่านการแสดงพร้อมกับชุดตำรวจเช่นเดียวกับใน VCR ก่อนจะเลือกใช้บทเพลง GAS เพลง B-side ในอัลบั้มเต็มชุดที่ 6 เป็นเพลงเปิดคอนเสิร์ตครั้งนี้ และสานต่อความสนุกด้วย Faster และ Bring The Noise ที่มีเซอร์ไพรส์พิเศษเป็นการร้องแรปของเมนโวคอลหลักอย่างโดยอง ผสานกับเอฟเฟคสุดตระการตาที่ขนทัพมาจากเกาหลี ทำให้ได้มาซึ่งคอนเสิร์ตที่ร้อนแรงตั้งแต่เริ่ม

โดยในองก์แรกของการแสดง หนุ่มๆ ยังได้ยกเอาเพลงสุดไฮป์อย่าง 2 Baddies ขึ้นแสดงเพื่อยกระดับอารมณ์ของเหล่าแฟนๆ ขึ้นไปอีกขั้น ก่อนที่จะปรับอารมณ์ด้วยบทเพลง Pop ฟังง่ายมากขึ้นอย่าง Designer, Orange Seoul และ TOUCH ตามมาภายหลัง

ในช่วงเวลานี้ของคอนเสิร์ตวันแรกจะมีแฟนโปรเจคของ NCTzen ที่เตรียมไว้ให้กับหนุ่มๆ ด้วยการเปิดกล่องไฟบนอัศจรรย์เป็นคำว่า ‘NO 127 NO LIFE’ สื่อถึงความสำคัญของ NCT 127 ที่มีต่อพวกเขา โดยเฉพาะกับจอห์นนี่-พี่ชายคนโตของวง ที่แสดงความรู้ดีใจกับวลีนี้เป็นอย่างมาก เพราะเขาพูดวนอยู่หลายครั้งตลอดการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้

ขณะที่องก์ที่สองของคอนเสิร์ตหนุ่มๆ NCT 127 ปรากฎตัวออกมาในชุดเจ้าชาย บนฉากสีสันขนาดยักษ์ พร้อมเสิร์ฟความสนุกด้วยเพลงจังหวะ Mid-tempo อย่าง No Clue และ Pricey ชวนเหล่าแฟนคลับขยับร่างกายกันเล็กน้อย ก่อนที่จะโหมโรงยกระดับบรรยากาศไปอีกขั้นด้วยเพลงไตเติลหลักจากอัลบั้มเต็มชุดที่ 1 และ 3 คือ Regular และ Sticker เรียกเสียงกรี๊ดได้อย่างกึกก้อง เพราะเป็น 2 บทเพลงที่เหล่าแฟนๆ ต่างตั้งตารอคอย ไม่พอแค่นั้นหนุ่มๆ ได้นำเพลงอย่าง Whiplash และ Lemonade มา Mash-Up กัน โดยความพิเศษของการแสดงนี้คือ การเปิดภาพพร้อมเสียงร้องของ ‘แจฮยอน’ เป็นพื้นหลังระหว่างการแสดง ทำให้แฟนๆ ต่างส่งเสียงเชียร์ด้วยความคิดถึง

ก่อนที่บรรยากาศแสงสีของคอนเสิร์ตจะถูกปรับมาเป็น Cool Tone มากขึ้น เพื่อคลายความร้อนแรง และสอดรับกับการแสดงชุดต่อไป ด้วยการโชว์เสียงร้องอันไพเราะของเหล่าเมมเบอร์กับบทเพลงอย่าง Rain Drop, Can’t Help Myself, Gold Dust และ No Longer ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งช่วงที่หนุ่มๆ สามารถแสดงทักษะการร้องที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาออกมาได้อย่างเต็มที่

ในช่วงท้ายขององก์ที่สาม NCT 127 ออกมาจากหลังเวทีด้วยเสื้อผ้าใหม่อีกครั้ง พร้อมกับฉากการแสดงที่ขนมาจากเกาหลีใต้แบบจัดเต็ม ก่อนจะแสดงในบทเพลง Far ที่ทำหน้าที่ปูทางความสนุกต้อนรับการมาของ Setlist ‘ชีวิตแลกชีวิต’ กับ 2 เพลงชาติของ NCT 127 อย่าง Kict It และ Fact Check ที่ทำให้ทั้งสนามกึกก้องไปด้วย ‘เสียงร้องเชียร์’ และ ‘เสียงร้องแข่ง’ จากเหล่าแฟนคลับ ทำให้ผู้เขียนอดคิดไม่ได้ว่า ถ้า แทยง-ลีดเดอร์คนเก่งของวง ได้เข้าร่วมคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วย เขาจะต้องพูดว่า “ผมจะ Crazy” เหมือนกับคอนเสิร์ตครั้งก่อนก็เป็นแน่

ในช่วง Setlist ชีวิตแลกชีวิตนั้นอาจกล่าวได้ว่า เป็นช่วงพีกที่สุดของคอนเสิร์ตเลยก็ย่อมได้

และก่อนที่องก์สุดท้ายจะเริ่มต้นขึ้น กล้องของทีมงานได้มาหาเหล่า NCTzen ให้ได้บอกความรู้สึก แสดงความรัก และสื่อสารข้อความไปหา NCT 127 ได้อย่างเต็มที่ ก่อนที่ไฟสนามกีฬาจะดับลง และเปิด VCR ตัวสุดท้ายด้วยเพลงเพื่อต้อนรับการแสดงชุดสุดท้ายในช่วงอังกอร์ (Encore)

และแล้วม่านการแสดงก็กลับมาเปิดอีกครั้ง เป็นภาพของเหล่าเมมเบอร์ที่มาในชุดแจ็กเกตสีกรมที่ให้ความรู้สึกสบายๆ พร้อมกับเพลง Intro: Wall to Wall ก่อนจะหยิบนำเอาบทเพลงที่จะไม่มีไม่ได้อย่าง Walk เพลงไตเติลในอัลบั้มเต็มชุดที่ 6 มาแสดง เรียกเสียงเชียร์และเสียงกรี๊ดจากเหล่าแฟนคลับอย่างกึกก้อง 

ในความรู้สึกของผู้เขียนเองรู้สึกว่า ระหว่างการแสดงนี้มีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นความพิเศษที่ไม่ได้มาจาก NCT 127 แต่มาจากตัว NCTzen เสียเอง กับการเตรียม ‘ผ้าเช็ดหน้า’ มาเป็น Prop โบกสะบัดอย่างพร้อมเพรียงกันระหว่างบทเพลง Walk จนสร้างความประทับใจให้กับหนุ่มๆ เป็นอย่างมาก

“Ay, get, get out my way”

“Ay, get, get off my lane”

โดยในช่วงนี้ของการแสดงคอนเสิร์ตวันที่สอง บนอัศจรรย์จะมีการเปิดป้ายไฟเป็นวลีว่า ‘GOD 127’ ละชูป้าย ‘제일 큰 노래방’ ที่แปลว่า ‘ห้องคาราโอเกะที่ใหญ่ที่สุด’ เพื่อสื่อ (ขิง) ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเสียงร้องเพลงไปพร้อมกับ NCT 127 ได้ดังกว่าใคร

หลังจากการแสดง Walk ได้สิ้นสุดลง หนุ่มๆ ก็เสิร์ฟเพลงเซตสุดท้ายเพื่ออำลาแฟนๆ ในครั้งนี้ โดยเพลงแรกในช่วงท้าย หนุ่มๆ บอกกับแฟนคลับว่า ‘พวกเราจะมีแขกพิเศษ’ มาร่วมการแสดงด้วย และหลังจากนั้นไม่นาน เสียงนุ่มที่แสนไพเราะของแจฮยอนก็ดังขึ้นอีกครั้ง เพื่อบอกว่า Meaning of Love เพลง B-side ในอัลบั้มเต็มชุดที่ 6 มาถึงแล้ว หลังจากนั้นไม่นานนักหนุ่มๆ ก็แบ่งทีมและเดินไปริมเวทีทั้งสองข้าง เพื่อขึ้นรถรางเพื่อไปหาแฟนๆ แบบใกล้ชิดมากกว่าเดิม และอำลากันอย่างเป็นทางการ ด้วยบทเพลงที่มีความหมายลึกซึ้งอย่าง Dream Come True และ Promise You บทเพลงที่เปรียบเสมือนเป็นคำมั่นสัญญาว่า เราจะกลับมาเจอกันอีกครั้ง 

Oh 약속할게 다시 만나는 날 

(so stay) 

웃어줄게 그 어떤 말보다 

(so stay) 

네가 내게 보여준 것처럼 

나 이번엔 전할래 

내 마음은 영원해

(ผมขอสัญญา ในวันที่พวกเรากลับมาพบกันอีกครั้ง

ผมจะทำให้คุณมีรอยยิ้มมากกว่าจะเอ่ยคำพูดใด

เหมือนในตอนที่คุณบอกความรู้สึกข้างในให้ผมฟัง

และครั้งนี้ผมจะบอกคุณเอง

ว่าหัวใจของผมจะเป็นของคุณตลอดไป)

6 on eyes, 127 in hearts

เป็นที่รู้กันว่า ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งที่ 4 ของหนุ่มๆ NCT 127 จะมีสมาชิกเข้าร่วมเพียง 6 คนเท่านั้น เพราะสมาชิกอีก 2 คนติดภารกิจทางราชการทหาร ทำให้เมมเบอร์จะต้องรับบทบาทเพิ่มเติมมากขึ้นกว่าครั้งไหนๆ ผู้เขียนจึงอยากจะ ‘รีวิว’ ความรู้สึกของตัวผู้เขียนเองที่มีต่อเมมเบอร์แต่ละคน ที่มาร่วมสร้างประวัติศาสตร์และความทรงจำให้กับแฟนคลับชาวไทย ณ ธันเดอร์โดม สเตเดียม เมื่อค่ำคืนวันที่ 22-23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

จอห์นนี่ พี่ชายคนโตสุดของวง ที่ครั้งนี้ขนเอาเอนเนอจี้มาอย่างล้นเหลือ คอยสร้างบรรยากาศคอนเสิร์ตให้สนุกอยู่ตลอดเวลา ด้วยความที่เป็นคนร่างใหญ่แต่ใจดี จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมใครๆ ก็ต้องตกหลุมรักความเป็นเขาอยู่เสมอ

ยูตะ พี่ชายคนรองของวงในครั้งนี้ ยังคงเป็นคนที่ดึงดูดสายตาของผู้เขียนได้อยู่หลายครั้งหลายครา ทั้งจากการแสดงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และความคอนทราสต์ (Contrast) ในคาแรกเตอร์ที่ทั้งเท่และน่ารักในคนๆ เดียวกัน จึงทำให้หนุ่มโอซากาคนนี้เป็นที่รักของเหล่าแฟนคลับ

ถัดมาคือ โดยอง เจ้าของฉายากระต่ายประจำวง ในฐานะเมนโวคอล เขายังคงทำหน้าที่นี้ได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้เขาจะต้องรับบทบาทที่หนักมากขึ้น แต่ด้วยทักษะการร้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถก็ไม่ทำให้ความไฮป์ของคอนเสิร์ตครั้งนี้น้อยลงแต่อย่างใด ขณะที่การแสดงเขายังเต็มเปี่ยมไปก็ด้วยความเสน่ห์เช่นเดียวกัน จนเรียกความเอ็นดูจากแฟนคลับได้เป็นอย่างมาก

จองอู ในครั้งนี้ ถ้าจะไม่พูดถึง ‘วิชวล’ ที่โดดเด่นสะดุดตาคงจะไม่ได้ เพราะตั้งแต่เปิดม่านการแสดง หลายคนเห็นตรงกันว่าเขาหล่อขึ้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับลุคผมเปิดหน้าผาก (ซึ่งเข้าใจว่าประเทศไทยเป็นที่แรกที่ได้เห็น) นอกจากนั้นเขายังถ่ายทอดการแสดงที่เปี่ยมพลังตั้งแต่ต้นจนจบคอนเสิร์ต สมกับที่แฟนคลับหลายคนยกให้เขาเป็น ‘โกลเดน รีทรีฟเวอร์เอนเนอจี้’

มาถึงมักเน่ไลน์กันบ้างกับมาร์ค ยังคงต้องบอกว่า เขาเป็นคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถและวิชวล ทำให้คอนเสิร์ตครั้งนี้เขามีความโดดเด่นมากยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เขายังเป็นอีกหนึ่งคนที่คอยสร้างบรรยากาศให้มีความสนุกอยู่ตลอดเวลา ทำให้แฟนคลับมีส่วนร่วมกับคอนเสิร์ตด้วยคำพูดง่ายๆ ติดปากว่า “Say What!”

สำหรับเมมเบอร์คนสุดท้ายอย่างแฮชาน เมนโวคอลอีกหนึ่งคนของวง ที่ครั้งนี้เขายังทำหน้าที่ได้อย่างเต็มความสามารถ แฮชานในมุมมองของผู้เขียนรู้สึกว่า เขาเป็นคนฉลาดที่รู้ว่า การแสดงในจังหวะใดจะสะกดสายตาจากเหล่าแฟนคลับได้เป็นอย่างดี ทำให้เขาเป็นอีกหนึ่งคนที่มีเสน่ห์ไม่แพ้ใคร

ขณะเมมเบอร์สำคัญของวงอีก 2 คนอย่างแทยงและแจฮยอน ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถเข้าร่วมการแสดงได้ แต่พวกเขาทั้งสองก็ยังมาปรากฎตัวให้เราเห็นกันแบบวับๆ แวมๆ กันอยู่บ้าง โดยเฉพาะแจฮยอนที่มาปรากฎตัวใน VCR ตัวสุดท้ายของคอนเสิร์ต เพียงแค่ขยิบตาทะเล้น ก็ทำให้เหล่า NCTzen รู้แล้วว่า ‘คนร้ายตัวจริง’ ที่ตำรวจ NCT 127 ตามหา ก็อาจจะเป็นตัวของเขานั่นเอง

God of Performance-Indestructible Status Quo

มาถึงจุดนี้คงพูดได้อย่างเต็มปากว่า ‘NEO CITY: THE MOMENTUM’ ยังคงเต็มไปด้วยการแสดงที่ร้อนแรงและเป็นตัวอย่างที่ประจักษ์ถึงความครบเครื่องของ NCT 127 ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าในวันนี้พวกเขาจะขึ้นแสดงแบบไม่ครบทีมก็ตามที ตอกย้ำสถานะ ‘God of Performance’ ตามที่สื่อหลายสำนักมอบให้ไว้ได้อย่างไม่มีสั่นคลอน

นอกจากทักษะการแสดงแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ NCT 127 มีซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เปรียบเสมือนเป็นกระดูกสันหลัง ก็คือตัวของ NCTzen เอง เพราะคอนเสิร์ตครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ใช่แค่ NCT 127 สร้างความสนุกเท่านั้น แต่การมีส่วนร่วมของ NCTzen เองก็เป็นส่วนสำคัญให้คอนเสิร์ตครั้งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวและความทรงจำระหว่างกันและกัน

คุณทำให้ผมรู้สึกถึง ‘ศิลปิน’ ที่ผมอยากเป็นมากขึ้นไปอีกขั้น – มาร์ค ลี (Mark Lee)

น่าจับตามองว่าคอนเสิร์ตครั้งต่อๆ ไปของ NCT127 ความสนุกที่มีจะมากขึ้นไปถึงระดับใด แต่ผู้เขียนเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า ทั้ง NCT 127 และ NCTzen จะทำออกมาได้ดีอย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วภารกิจของ NCTzen ไทยต่อไปนี้คือ เตรียมความพร้อมรอรับความสุขในวันที่ NCT 127 กลับมายืนกันครบ  8 คนบนเวที เมื่อวันนั้นมาถึงมาสร้างความทรงจำอันล้ำค่าไปด้วยกัน

“สุดท้ายนี้อยากจะบอกแค่ว่า

NCT 127, พวกพี่ยังสุดยอดเหมือนเดิมว่ะ”



Tags: , , , , ,