ปลายปี 1999 เด็กๆ ที่เฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ช่องการ์ตูนเน็ตเวิร์ก (Cartoon Network) ต่างต้องพิศวงต่อเรื่องราวของเจ้าหมาสีม่วงที่พยายามช่วยให้เจ้านายวัยชราของมันรอดชีวิตจากแมวสีแดงที่ลวงทุกคนให้มาพักผ่อนยังโรงแรมที่หน้าตาดูราวกับหลุดมาจากหนังเรื่อง Psycho (1960) ของ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก แล้วจึงปล่อยแมงมุมฝูงใหญ่เข้าจู่โจมผู้มาเยือนในยามวิกาล

นับเป็นพล็อตเรื่องชวนเหวอที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก โดยเฉพาะเวลานั้นผังตารางเต็มไปด้วยการ์ตูนหน้าตาน่ารักอย่าง Cow and Chicken, Ed, Edd n Eddy และ The Powerpuff Girls เรื่องราวของเจ้าหมาที่ทำหน้าตาตื่นกลัวตลอดความยาว 22 นาที จึงจับใจเด็กหลายคนในช่วงนั้น ก่อนที่ในเวลาต่อมาพวกเขาจะจดจำมันได้ในชื่อเรื่อง Courage the Cowardly Dog ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนมีซีซันอื่นๆ ตามมาอีกสามซีซันด้วยกัน

A Night at the Katz Motel คือตอนแรกของการ์ตูนที่พาคนดูไปทำความรู้จักกับ ‘เคอเรจ’ หมาสีม่วงหน้าตาตื่นกลัวโลก และ ‘เมอเรียล แบกก์’ หญิงชราหน้าตาใจดีผู้เก็บเคอเรจที่หนีออกจากคลินิกสัตว์มารับอุปการะไว้ พร้อมด้วยสามีของเธอ ‘ยูสเทส’ ชายชราขี้หงุดหงิดที่มักตะเบ็งเสียงใส่เคอเรจอยู่ตลอดเวลาว่า “เจ้าหมาโง่!” และยังเป็นตอนที่แนะนำคนดูมายังจักรวาลความเฮี้ยน เมื่อเจ้าแมวแดงพยายามล่าสองสามีภรรยาด้วยการใช้แมงมุมยักษ์ โดยมีเคอเรจทุ่มเททำทุกทางเพื่อที่จะปกป้องชีวิตอันล้ำค่าของนายมันไว้ ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นธีมหลักของการ์ตูนเรื่องนี้ในอีกหลายร้อยตอนต่อมา ที่เปลี่ยนแต่เพียงวายร้ายผู้มาคุกคามทั้งสาม

แน่นอนว่าตอนแรกที่ จอห์น อาร์. ดิลเวิร์ธ สร้างการ์ตูนเรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันจะ ‘มาไกล’ ได้ขนาดนี้ ดิลเวิร์ธเป็นชายหนุ่มจาก School of Visual Arts สถาบันสอนศิลปะชื่อดังในนิวยอร์กที่ปลาบปลื้มเรื่องเล่าของ บ็อบ แคลมเพ็ตต์ ผู้ให้กำเนิด Looney Tunes กับ เท็กซ์ เอเวอรี เจ้าของลายเส้น บักส์ บันนี, เจ้าเป็ดแดฟฟี และหมูน้อยพอร์กี เท่าๆ กับที่หลงใหลในงานศิลปะเหนือจริงของ ซัลบาโด ดาลี ตลอดจนแอนิเมชันไซไฟจากฝั่งตะวันออก Ghost in the Shell (1995) 

รวมๆ แล้วจึงพอจะกล่าวได้ว่า ตัวดิลเวิร์ธรับเอาอิทธิพลทั้งความสดใสแบบการ์ตูนสำหรับเด็กและความแปลกหลุดโลกมาไว้เข้าด้วยกันตั้งแต่ก่อนหน้าที่เขาจะได้มาสร้างจักรวาลเคอเรจเสียอีก และเขย่าส่วนผสมของอิทธิพลแปร่งแปลกเหล่านี้ออกมาเป็น The Chicken from Outer Space (1996) หนังสั้นความยาวแปดนาที ซึ่งกลายเป็นบทเกริ่นนำให้การ์ตูนเรื่อง Courage the Cowardly Dog ในเวลาต่อมา เพื่อบอกเล่าการผจญภัยของเคอเรจที่ต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องคุณตาคุณยายตระกูลแบกก์จากการรุกรานของเจ้าไก่อวกาศ พล็อตเรื่องชวนเหวอเคล้ากลิ่นอายความเฮี้ยนคลั่ง ส่งให้มันเข้าชิงออสการ์สาขาแอนิเมชันขนาดสั้นในที่สุด ก่อนจะไปพ่ายให้กับ A Close Shave สตอปโมชันความยาวครึ่งชั่วโมงสุดล้ำของ นิก พาร์ก

The Chicken from Outer Space 

“ตอนนั้นผมไปเที่ยวแถวฟาร์มแถบชานเมืองตะวันตกที่ครอบครัวของแฟนพักอาศัย” ดิลเวิร์ธเล่า “แล้วบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง ระหว่างที่เรานั่งเอกเขนกพักผ่อนกันอยู่ตรงระเบียงบ้าน พายุลมร้อนก็ค่อยๆ พัดให้ทุ่งข้าวสาลีลู่ไปตามสายลม ตอนนั้นราวกับเราอยู่กลางทะเลเลยล่ะ ยิ่งแสงจากหิ่งห้อยยิ่งทำให้มันดูเหมือนงานเทศกาลอะไรสักอย่าง ขณะที่เมฆหนาปกคลุมทั่วผืนฟ้า แล้วอยู่ๆ ก็มีแสงไฟกลมๆ ปรากฏขึ้นมา ผมจ้องเขม็งไปที่มัน และรู้สึกว่ามันก็จ้องกลับมาที่เราด้วย แล้วทันทีทันใดนั้น มันก็หายวับไป ผมถามแฟนว่า ‘นั่นมันอะไรน่ะ’ เธอฉีกยิ้มแล้วบอกว่า ‘ใครจะไปรู้’ แล้วนั่นแหละ วันต่อมาผมเริ่มเขียนเรื่องราวของไก่เอเลี่ยนบุกโลก

“ผมคงอยากทำอะไรที่มันพูดถึงการใช้ชีวิตเรียบๆ แล้วต้องมาเจอกับเหตุการณ์น่าสยองขวัญแบบในโลกปัจจุบันด้วยล่ะมั้ง” เขาขยายความ “แล้วผมชอบเรื่องตำนานลึกลับของพวกชาวไร่กับความบ้าคลั่งของยุคหลังสงครามโลกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผสมรวมกับความชอบส่วนตัวอีกหน่อย นั่นคือความรักที่ผมมีให้บรรดาหมาๆ กับเรื่องเล่าสยองขวัญและไซไฟไงล่ะ” 

ไม่นานหลังจากที่การ์ตูนบุกเข้าชิงออสการ์ ดิลเวิร์ธก็ได้รับการติดต่อให้ไปขายโปรเจ็กต์หนังสั้นเรื่องนี้ให้เป็นการ์ตูนขนาดยาวออกฉายทางช่องการ์ตูนเน็ตเวิร์ก

“เหมือนอุกกาบาตพุ่งมาถล่มในครัวตอนคุณกำลังกินมัฟฟินเป็นมื้อเช้ายังไงยังงั้นเลย” เขาเปรียบเปรยเส้นทางชีวิต “ผมไปฮอลลีวูด เอาสตอรีบอร์ดไปขายพร้อมสวมชุดอวกาศเต็มยศ เพราะผมว่าชุดสีเงินแบบนั้นมันดูเจ๋งดี แล้วมันก็ดึงดูดความสนใจได้ชะงัด แถมผมยังสวมรองเท้าบู๊ตสีเงินเลื่อมกับหมวกกันน็อกที่มีใบพัดติดอยู่กลางกระหม่อมไปด้วย มันเหมือนผมไปเล่นกลให้พวกเขาดูเพราะทั้งห้องมีแต่ผู้บริหารระดับสูง แล้วทุกคนชอบมันมากเลยด้วย”

จอห์น อาร์. ดิลเวิร์ธ

เรื่องราวของเคอเรจจึงถูกถักทอขึ้นนับแต่นั้น อันที่จริงก่อนหน้าที่จะตกระกำลำบากไปอยู่ในคลินิกของสัตวแพทย์ แล้วตกมาอยู่ในมือของผัวเมียตระกูลแบกก์ เคอเรจเป็นหมาที่เกิดในครอบครัวร่ำรวย และระหว่างที่กำลังเรียนรู้การฝึกคาบลูกฟุตบอลนั้น มันก็พุ่งหลาวเอาหัวไปติดกับลูกกรงของรั้วโลหะ จนเจ้าของบ้านต้องยกไปให้สัตวแพทย์ช่วยดู ก่อนที่มันจะพบประสบการณ์ชวนสยอง เมื่อคลินิกแห่งนี้จับเอาพ่อแม่ของมันขึ้นยานอวกาศ เคอเรจจึงต้องแสดงความกล้าหาญตั้งแต่ยังเล็กด้วยการพยายามพาพ่อแม่ตัวเองออกมาจากจรวดเจ้ากรรมลำนั้นให้ได้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เคอเรจทำได้แค่มองดูพ่อหมาแม่หมาหลุดลอยจากไปบนยาน ไม่นานหลังจากนั้น คุณยายใจดีชื่อเมอเรียลก็มารับมันไปอุปการะ และเป็นการเริ่มต้นออกเดินทางผ่านความเฮี้ยนคลั่งรอบๆ ตัวไปด้วยกันระหว่างหมาน้อยกับครอบครัวใหม่

สำหรับมิวเรียลนั้น เส้นเรื่องวางไว้คร่าวๆ ว่าเดิมทีเธอเป็นเด็กน้อยชาวสกอตผู้ซุกซน เอาแต่ใจ ก่อนจะเติบโตมาเป็นเชียร์ลีดเดอร์กับลูกเสือสาวคนเก่งประจำโรงเรียน ในวัยผู้ใหญ่ เธอทำงานบริษัทเล็กๆ และแต่งงานกับยูสเทส ชายหนุ่มที่เติบโตมาจากครอบครัวกะพร่องกะแพร่งที่พ่อจากไป และแม่ที่เอาเขาไปเปรียบเทียบกับพี่ชายที่ดูจะสมบูรณ์พร้อมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงใช้ชีวิตวัยผู้ใหญ่ด้วยความขมขื่น จนแม้แต่หมาน้อยๆ อย่างเคอเรจก็ยังทำให้เขารำคาญเอาได้ จนมีวลีติดปากอย่าง “เจ้าหมาโง่! แกทำให้ฉันดูแย่!” 

ขณะที่บ้านไร่ของครอบครัวแบกก์นั้นก็แทบจะกลายเป็นอีกตัวละครหนึ่งของเรื่อง ในฐานะที่แทบจะเป็นเป้าจู่โจมของเหล่าสิ่งมีชีวิตสุดประหลาดมากหน้าหลายตา มันเป็นบ้านที่ตั้งอยู่บนผืนดินรกร้างในเมือง Nowhere หรือสถานที่ซึ่งไม่มีอยู่จริงแห่งหนึ่งในรัฐแคนซัส ชวนให้รู้สึกโดดเดี่ยวและวิเวกสุดขีด

 

เสน่ห์อย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ของ Courage the Cowardly Dog คือความเป็นการ์ตูนเด็กชวนหลอนของมัน จนถึงทุกวันนี้ มอนสเตอร์หรือปีศาจหลายตัวในเรื่องก็ยังติดทำเนียบตัวร้ายประจำใจของใครหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นดวงจันทร์ใบหน้าซีดขาวที่สาปให้บ้านของสองตายายมีแต่เรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น, ปีศาจแตรที่ก่อกำเนิดมาจากเครื่องดนตรีหักพังของยูสเทส, ‘เฟรด’ หลานชายจอมหลอนของเมอเรียลกับยูสเทสที่ป่วยเป็นโรคดึงผม และฉีกยิ้มกว้างอยู่ตลอดเวลา และโดยเฉพาะ ‘ฟาโรห์รามเสส’ ที่ปรากฏกายขึ้นเพื่อทวงแผ่นศิลาคืน

กลไกสำคัญอย่างหนึ่งของการรังสรรค์ตัวละครเหล่านี้ คือการที่ดิลเวิร์ธฉีกมันออกจากสูตรการ์ตูนเก่าๆ เกือบทั้งหมด ยกตัวอย่างคือตัวละครเคอเรจเอง โดยปกติ ถ้าเป็นการ์ตูนเรื่องอื่นๆ ที่มีสัตว์พูดได้หรือเลียนแบบท่าทางของมนุษย์ ก็มักออกมาน่ารักและชวนบันเทิงใจ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าวัวเจ้าไก่ใน Cow and Chicken น้องหมาน้องแมวตัวติดกันจาก CatDog ตลอดจนแก๊งสรรพสัตว์แห่ง Rocko’s Modern Life ซึ่งล้วนแต่เล่าเรื่องราวสุขสันต์หรือชวนหัวของตัวละคร ขณะที่เคอเรจนั้นตั้งหน้าตั้งตาพูดถึงความสยองขวัญและสีหน้าสุดแสนจะชอกช้ำของเจ้าหมาสีม่วงที่ต้องสู้กับวายร้ายหน้าตาประหลาดทุกตอน 

ดิลเวิร์ธอาศัยแรงบันดาลใจจากหนังเฮี้ยนนรกแตกเรื่องโปรด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเด็กสาวที่ถูกผีสิง The Exorcist (1973), หนังฉลามไล่สังหารคนของ สตีเวน สปีลเบิร์ก Jaws (1975), หมู่บ้านประหลาดที่มีแต่เด็กชวนสยอง Village of the Damned (1960,) และเรื่องราวของมนุษยชาติออกเดินทางไปสำรวจนอกโลกและเจอเข้ากับเรื่องชวนขนหัวลุก Forbidden Planet (1956) ควบรวมกับการเป็นคนทำหนังช่างทดลอง เมื่อปลายยุค 90s เชื่อมมาถึงต้นปี 2000 เป็นช่วงที่เทคโนโลยีกราฟิกคอมพิวเตอร์โจนทะยานอย่างยิ่ง และเขาไม่ลังเลที่จะหยิบมันมาใช้สร้างเป็นตัวละครในการ์ตูน ซึ่งส่งผลให้มันออกมาหน้าตาชวนขนลุกยิ่งกว่าภาพสองมิติทั่วๆ ไป

นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญทำให้ดิลเวิร์ธหยิบเอา CGI มาใช้กับตัวละครนี้ แม้มันจะดูต่างไปจากงานภาพวาดด้วยมือ มีเงาและความลึก แต่มันยังให้ความรู้สึกแบนราบอันชวนสยดสยอง แถมยังออกมาประหลาด เพราะตอนนั้น ทุนสร้างพวกเขาไม่มากนัก ดิลเวิร์ธจึงต้องใช้คอมพิวเตอร์สร้างตัวละครด้วยงบจำกัดจำเขี่ย ซึ่งส่งผลให้มันออกมาเขย่าขวัญกว่าเดิมเสียอีก

 

“ผมสนใจเรื่องการใช้สื่อแบบผสมผสานเพื่อให้มันออกมาดูนอกกรอบอยู่แล้ว สำหรับผมแล้ว การจะสร้างตัวละครให้มันต่างไปจากที่เคยๆ และดูน่าเชื่อถือด้วย ก็เป็นการท้าทายตัวเองอย่างหนึ่ง” ดิลเวิร์ธสาธยาย “อย่างตัวละครฟาโรห์รามเสส ตอนนั้นผมเพิ่งกลับมาจากเที่ยวอียิปต์ ไปล่องแม่น้ำไนล์ แล้วก็ซึมซับวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่กับเรื่องเล่าของพวกเขา ช่วยไม่ได้ที่มันจะส่งผลต่อผมอย่างจัง ผมเลยอยากสร้างเรื่องราวแบบนี้ แต่เป็นเวอร์ชันของตัวเองออกมา ก็เลยไปขอให้น้องชาย (จิม ดิลเวิร์ธ) ที่เป็นคนออกแบบและประจำฝั่งงานศิลป์ในเรื่องอยู่แล้ว ตอนนี้เขาคงไปอยู่กับฟาโรห์ที่ไหนสักแห่งในเรือสีทองสักลำแล้วมั้ง (จิมเสียชีวิตระหว่างการสร้างการ์ตูนเรื่องนี้) ให้ช่วยออกแบบรามเสสให้หน่อย แล้วเขาก็ทำให้ผมชอบภาพร่างของตัวละครนี้มากๆ และรู้สึกว่าไม่อยากให้มันออกมาเป็นงานวาดมือสองมิติ แต่มันต้องมากกว่านั้น”

อย่างไรก็ดี ความคัลต์ระเบิดระเบ้อของการ์ตูน บวกกับสารพัดปีศาจที่ดาหน้าเข้ามาสร้างเรื่องให้เคอเรจกับสองผัวเมียแบกก์ไม่หยุดไม่หย่อน ทำให้เมื่อมันออกฉายซีซันสุดท้ายและปิดตัวลงในปี 2002 แฟนๆ จึงแก้คิดถึงด้วยการสร้างทฤษฎีวิเคราะห์เรื่องราวของเจ้าหมาน้อยที่รักเจ้านายกว่าชีวิตของมันไว้มากมาย หนึ่งในทฤษฎีที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือเรื่องที่ว่า แท้จริงแล้ว เคอเรจเป็นเคร์เบรอส (Kerberos) หมาเฝ้าประตูนรกตามตำนานกรีก มุ่งมั่นดูแลบ้านไร่หลังน้อยของมันเพื่อปกป้องมนุษยชาติ (คุณยายเมอเรียล) จากปีศาจใต้พิภพ ซึ่งส่วนใหญ่มาในรูปแบบของความเลวทรามทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นความโลภ (เลอ แควก เจ้าเป็ดอาชญากร) ฆาตกร (เฟรด) หรือความเกลียดชัง (แมวแดง) ส่วนยูสเทสเป็นเสมือนฮาเดส เทพเจ้าประจำนรก

 

อีกทฤษฎีหนึ่งที่แพร่หลายเป็นวงกว้างคือ ทั้งเมอเรียลและยูสเทสนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นตุ๊กตาผ้า! ภายหลังจากตอนสุดท้ายของซีซันแรกคือ The Great Fusilli ซึ่งมีเจ้าจระเข้นักแสดงมาปรากฏตัวยังบ้านไร่ ชักชวนให้เคอเรจและสองผัวเมียออกทัวร์ร่วมแสดงกับมันเพื่อสร้างรายได้ให้ร่ำรวย และกลับกลายเป็นว่ามันเปลี่ยนทั้งเมอเรียลและยูสเทสให้เป็นตุ๊กตาผ้า ฉากสุดท้ายของตอนนี้เป็นฉากที่เคอเรจชักใยตุ๊กตาของทั้งสอง โดยหลอกให้ตัวเองเชื่อว่าเจ้าของมันยังมีชีวิตอยู่

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด Courage the Cowardly Dog กลับมาถูกพูดถึงอย่างหนาหูอีกครั้ง หลังมีประกาศว่าจักรวาลแสนกลของมันนั้นจะเข้าไปร่วมกับจักรวาลของเจ้าหมาขี้กลัวอีกตัวอย่าง ‘สกูบี้-ดู’ ในแฟรนไชส์เก่าแก่ Scooby-Doo เจ้าหมาพูดได้กับผองเพื่อนนักสืบที่มักได้ไปเจอเรื่องลึกลับชวนหัวมากมาย พล็อตเรื่องคร่าวๆ นั้นว่าด้วยสกูบี้-ดูกับเพื่อนๆ ออกเดินทางไปยังดินแดนแปลกประหลาดแห่งหนึ่งในรัฐแคนซัส ที่มีเพียงบ้านไร่หลังน้อยตั้งอยู่โดดเดี่ยวกับชายแก่ขี้โมโห หญิงชราใจดี และหมาน้อยสีม่วงที่กลัวทุกอย่างที่ขวางหน้า

ความโปกฮาของสกูบี้-ดูกับความเฮี้ยนหลอนของเคอเรจที่โคจรมาเจอกันครั้งใหญ่ จึงไม่แปลกอะไรที่แฟนๆ หลายคนจะเฝ้ารอโปรเจ็กต์นี้อย่างใจจดใจจ่อ เราเองก็เช่นกัน

Tags: , ,