สองทศวรรษก่อน ชุนจิ อิวาอิ (Shunji Iwai)  คนทำหนังที่ประสบความสำเร็จจากหนังอบอุ่นนุ่มนวลอย่าง Love Letter (1995), April Story (1998) ช็อกคนดูให้ตาค้างด้วยเรื่องราวที่เป็นเสมือนฝันร้ายของวัยรุ่น ห้วงเวลาดำมืดของการข้ามพ้นวัยและเต็มไปด้วยการกลั่นแกล้ง ความรุนแรงสารพัดรูปแบบไปจนถึงความตายใน All About Lily Chou-Chou (2001) ซึ่งเพิ่งหวนกลับมาฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเราอีกรอบเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

ขวบปีที่โลกอินเทอร์เน็ตกำลังขยายตัว เว็บบอร์ดต่างๆ ผลิบานไปทั่วทุกหนแห่ง ยูอิจิ (ฮายาโตะ อิชิฮาระ) เด็กชายเก็บเนื้อเก็บตัววัย 14 ปีหมกมุ่นอยู่กับศิลปินหญิงที่ชื่อ ลิลี ชูชู หากไม่ฟังเพลงของลิลี เขาก็จะใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการสิงเว็บบอร์ดเพื่อเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเธอ คู่ขนานกันไปนั้น ในโลกแห่งความเป็นจริง เขาถูกเพื่อนร่วมโรงเรียนกลั่นแกล้งรังแกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจาก ชูสึเกะ (ชูโกะ โอชินาริ) ที่เป็นเสมือนหัวโจกสั่งให้คนรอบๆ ตัวทำร้ายรังแกคนอื่น รวมทั้ง สึดะ (ยู อาโออิ) เด็กสาวร่วมชั้นเรียนที่ถูกบันทึกคลิปแบล็คเมล์ไว้ และคุโนะ (อายูมิ อิโตะ) นักเรียนหญิงดีเด่นและนักเปียโนที่ถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียนคว่ำบาตรด้วยเหตุผลว่าไม่ถูกชะตา 

ทั้งนี้ ตัวละครทั้งหมดในเรื่องต่างยึดโยงกันไว้ด้วยบทเพลงของลิลี ชูชู ไม่ว่าจะชูสึเกะที่แปะโปสเตอร์ของลิลีไว้ที่ผนังห้องนอน, ยูอิจิที่รู้จักลิลีจากชูสึเกะเมื่อครั้งที่เขาไปนอนค้างบ้านเด็กหนุ่ม, สึดะที่ก็รู้จักลิลีจากยูอิจิอีกต่อหนึ่ง ไปจนถึงคุโนะที่เล่นดนตรีของ โกลด เดอบูซซี (Claude Debussy) ที่ลิลีอ้างว่าเป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงของเธอ (มีฉากหนึ่งที่ตัวละครยืนฟังเพลงกันในทุ่งหญ้าเขียวสดใส อันเป็นภาพจำของหนังเรื่องนี้)

มองเผินๆ All About Lily Chou-Chou ทำท่าว่าจะเป็นหนังที่เล่าเรื่องความขมขื่นของวัยรุ่น ซึ่งก็ไม่ผิดเสียทีเดียวนัก หากแต่อิวาอิกลับพาคนดูย้อนกลับไปช่วงเวลาก่อนหน้าที่ ‘ความขมขื่น’ ดังกล่าวจะปรากฏขึ้นมาในชีวิตของวัยรุ่นเหล่านี้ คนดูถูกกระชากจากบรรยากาศหม่นมืดชวนร้องไห้ไปสู่ความสว่างไสวและความหวัง ทั้งยูอิจิและชูสึเกะเป็นเพื่อนร่วมชมรมฟันดาบ (ที่พวกเขาก็ดูไม่ค่อยเอาอ่าวนัก แถมบ่นกระปอดกระแปดทุกทีที่ต้องซ้อมหนัก) แต่ละวันของพวกเขาหมดไปกับการอยู่กับกลุ่มเพื่อน เบื่อหน่ายการเรียน แอบชอบสาว กินราเมน ฟังเพลงและกิจกรรมจิปาถะทั่วไป กระทั่งเมื่อฤดูร้อนมาเยือน หนึ่งในกลุ่มเพื่อนก็เสนอให้พวกเขาไปเที่ยวเกาะสวรรค์โอกินาวา นำมาสู่ประสบการณ์การหาเงินไปเที่ยวแบบทุลักทุเล (แต่ใครบ้างที่ดูแล้วจะไม่อมยิ้ม) 

และสำหรับวัยรุ่น ไม่มีอะไรจะสนุกและน่าจดจำไปมากกว่าการได้ออกเดินทางไปสถานที่ใหม่ๆ กับเพื่อนๆ ทันทีที่ตัวละครเดินทางมาถึงโอกินาวา อิวาอิก็เปลี่ยนโทนหนังจากหม่นเศร้าให้เป็นสดใสเต็มรูปแบบ ทั้งจากเนื้อเรื่องและวิธีการถ่ายทำที่ใช้ฟุตเทจดิบจากตัวละคร คนดูแทบจะลืมความระทมทุกข์ที่ปรากฏเมื่อ 30 นาทีแรกของเรื่องไปโดยสิ้นเชิง จับจ้องไปยังความร่าเริงและสนุกสนานของกลุ่มเด็กชายที่ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งแปลกใหม่ซึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า ธรรมชาติดงดิบ รุ่นพี่สาวที่คอยดูแลเขา ภาษาถิ่นไม่คุ้นหู รวมทั้งนักท่องเที่ยวชายแปลกหน้าที่ดูเหมือนไม่ว่าจะไปที่ไหนก็หลบนายคนนี้ไม่พ้น (อย่างไรก็ดี สำหรับใครที่เคยเช่าแผ่น CD หรือ DVD เมื่อ 20 ปีก่อนมาดู อาจพบว่าพาร์ตที่ตัวละครไปเที่ยวโอกินาวาด้วยกันถูกตัดเกือบออกจนหมด เหลือแต่ช่วงเวลาอันแสนเจ็บปวดในชีวิตประจำวันเท่านั้น ซึ่งส่วนตัวคิดว่าการมีอยู่อันแสนสดใสของฉากโอกินาวานี่เองที่ยิ่งขับเน้นให้ความดำมืดในองก์อื่นๆ ของหนังเด่นชัด)

เสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังตระกูลข้ามพ้นวัย (Coming of Age) คือการเล่าถึงความพิสุทธิ์ ไร้เดียงสาของตัวละครที่ค่อยๆ ถูกโลกแห่งความจริงกลืนลับหาย เช่นเดียวกับเมื่อกลุ่มเด็กชายออกเดินทางไปพบศพใน Stand by Me (1986) หรือความตายและการพลัดพรากใน Dead Poets Society (1989) ขณะที่ใน All About Lily Chou-Chou อิวาอิก็พิสูจน์ความแม่นยำของการกำกับและเล่าเรื่องของตัวเอง ด้วยบรรยากาศหนุ่มน้อยมาพักผ่อนริมทะเลโดยมีสาวเจ้าถิ่นคอยดูแล ช่วยไม่ได้ที่หลายคนจะคิดนำหน้าไปก่อนว่า เส้นเรื่องที่ว่าด้วย ‘ความรัก’ หรือการเปิดเปลือยตัวตนอย่างเซ็กซ์ครั้งแรกน่าจะเป็นเส้นเรื่องหลักที่เกิดขึ้นบนเกาะนี้ แต่เปล่าเลย อิวาอิพาคนดูไปไกลกว่านั้นด้วยการสำรวจชีวิตอันเปราะบางและความตายของมนุษย์ เมื่อชูสึเกะเกือบถูกปลาปากเข็มทิ่มใส่ริมชายหาด และเมื่อเขาจมน้ำจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด มิหนำซ้ำเมื่อพวกเขานั่งรถกลับออกมา ยังเป็นประจักษ์พยานความตายของใครคนหนึ่งที่เปลี่ยนมุมมองของพวกเขาที่มีต่อชีวิตไปตลอดกาล 

เมื่อเปิดเรียน ทั้งยูอิจิและคนดูต่างตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นในเนื้อตัวชูสึเกะ อิวาอิกระชากคนดูกลับมายังความหม่นดำและอำมหิตอย่างไม่ชวนให้ทันได้ตั้งตัว ชูสึเกะที่ค่อยๆ กลายเป็นอื่นและห่างเหินจากยูอิจิ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการไล่ทำร้ายคนอื่นไปเรื่อยๆ และผลักให้ยูอิจิที่ไร้ที่พึ่งต้องหันหน้าเข้าหาลิลี ชูชู ศิลปินอันเป็นเสมือนที่พึ่งทางจิตใจของเขาอย่างหนักหน่วง ในระยะหลังเราจะพบว่า ยูอิจิหมกมุ่นกับการสรรเสริญลิลี เพราะโลกแห่งความจริงไม่มีสิ่งอื่นใดให้เขายึดถือหรือมองหาอีกต่อไปแล้ว สภาวะไร้พรมแดนของอินเทอร์เน็ตทำให้เขาเป็นผู้ดูแลเว็บบอร์ดของลิลีที่คอยตอบคำถามและสนทนากับผู้ใช้งานคนอื่นๆ ซึ่งรักในลิลีเช่นเดียวกันกับเขา สำหรับยูอิจิแล้ว เว็บบอร์ดแห่งนี้คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่แห่งเดียวเท่านั้นที่โอบรับเขาไว้ได้ และอาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาหลงเหลืออยู่

และแม้ตัวละครหลักที่อิวาอิจับจ้องในเกาะโอกินาวาจะเป็นชูสึเกะ แต่เมื่อกลับมายังพื้นที่แห่งเดิม ตัวละครสำคัญที่เขามุ่งมั่นจะรีดเค้นและบีบคั้นคือยูอิจิ หากว่าการที่โลกรอบตัวแหลกสลาย มองเห็นความเป็นและความตายของใครอีกคนโดยไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยเหลืออะไรได้ มิหนำซ้ำยังอาจเป็นสะพานส่งคนไปสู่หุบเหวแห่งความขมขื่นจนอาจจะกลายเป็นตราบาปทั้งชีวิตยังฟังดูไม่หนักหนาพอ อิวาอิยังโยนตัวละครให้เข้าสู่ภาวะพังพินาศในระดับถึงรากด้วยการทำลายดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เขามีในโลกอินเตอร์เน็ต เมื่อตัวตนความเป็นจริงกับตัวตนในโลกออนไลน์เหลื่อมทับกัน การตระหนักรู้ว่าคนที่รักใคร่ ยกย่องเชิดชูศิลปินคนเดียวกันกับเขา มิหนำซ้ำยังอาจเป็นคนเดียวที่เขาพอจะเรียกได้ว่า ‘เพื่อน’ ในห้วงเวลาอันโหดร้ายเหล่านี้ คือคนเดียวกับที่ทำลายเขาจนย่อยยับไม่เหลือชิ้นดีในโลกแห่งความจริง ทั้งหมดนี้จึงนำไปสู่ภาวะแตกสลายสุดขีดและสูญสิ้นความไร้เดียงสา และอาจจะหมายความถึงการเป็นมนุษย์ของยูอิจิโดยสิ้นเชิง อย่างที่ไม่อาจหวนกลับมาอีก มันคือการระเบิดอารมณ์โกรธขึ้งแค้นเคืองอย่างที่สุดที่เขามีต่อชีวิต ต่อชูสึเกะ และต่อความแตกสลายประดามีที่ต้องแบกรับ 

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้อิวาอิแทบจะไม่ได้เล่าเรื่องของชูสึเกะให้คนดูเข้าใจอย่างละเอียด แต่เรากลับได้กลิ่นความเครียดเขม็งและแค้นเคืองโลกของเด็กหนุ่มอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่ถูกเรียกว่าเป็นนักเรียนดีเด่นหรือถูกคาดหวังให้เพียบพร้อม ซึ่งเขาไม่ได้เป็นสิ่งนั้น มันเป็นเพียงความคาดหวังที่คนอื่นโยนมาให้ การถูกเพื่อนจากโรงเรียนเก่ารังแกแต่เลือกจะเงียบ ก่อนที่จะค่อยๆ ปะทุออกมาเป็นความรุนแรงโดยไร้สุ้มเสียง ราวกับเป็นการพยายามตะโกนให้ใครสักคนมาทำลายเขาทิ้งเพราะเขาแบกรับความโกรธ เกลียด และความเลวทรามที่เขาเป็นอยู่ไม่ไหว สิ่งที่ชูสึเกะเดินหน้าไปเจอจึงมีเพียงแต่ความดำมืดอนธการเท่านั้น 

ทั้งนี้ ภายใต้ท่าทีว่ามันเป็นหนังขมขื่นที่แทบไม่มอบความหวังเรื่อเรืองใดๆ ให้คนดูเลย (อันเห็นได้จากชะตากรรมของตัวละครที่ถูกผลักไสและทำลายล้างกันและกันอยู่ตลอดเวลา) อิวาอิก็มอบการคลายปมบางอย่างของทั้งเนื้อเรื่องและตัวละครให้แก่คนดู แม้ไม่อาจเรียกได้ว่าชุบชูหัวใจที่แตกสลายมาตลอดความยาว 2 ชั่วโมงครึ่ง หากแต่ก็พอพูดได้ว่ามันเป็นความหวังที่ทำให้มนุษย์สักคนยังแบกรับและถูไถกับชีวิตต่อไปได้ ไม่ว่าจะอยากหรือไม่ก็ตาม

Tags: ,