***บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์***

A Complete Unknown ไร้ตัวตนคนเปี่ยมฝัน ภาพยนตร์ชีวประวัติดัดแปลงจากหนังสือ Dylan Goes Electric! ที่เล่าเรื่องราวชีวิตในช่วงต้นยุค 60s ของศิลปินอเมริกันระดับตำนาน อย่างบ็อบ ดีแลน (Bob Dylan) จากวันที่เป็นเพียงนักร้องแนวโฟล์กหน้าใหม่ สู่วันที่ก้าวไปเป็นนักร้องสายร็อกแอนด์โรลผู้พลิกโฉมวงการดนตรี ที่ได้ผู้กำกับฝีมือดีอย่าง เจมส์ แมนโกลด์ (James Mangold) ที่เคยฝากผลงานภาพยนตร์ชีวประวัติศิลปินรุ่นพี่ของดีแลนอย่าง จอห์นนี แคช (Johnny Cash) ไว้ในเรื่อง Walk The Line (2005) มากำกับภาพยนตร์ชีวประวัติที่ตัวผู้กำกับยืนยันจากปากว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องราวทั้งชีวิตของบ็อบ ดีแลน แต่เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของเขา และเป็นเรื่องราวที่สื่อสารผ่านบทเพลงเป็นหลัก”

 เริ่มอินโทร: Unknown

เปิดเรื่องมาด้วยเส้นทางชีวิตในปี 1961 ของเด็กหนุ่มวัย 19 ปีจากรัฐมินิโซตา ที่เดินทางมาล่าฝันไกลถึงมหานครนิวยอร์ก ซึ่ง ณ เวลานั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการเมือง ความระส่ำระสายของคนในสังคม และคลื่นแห่งการประท้วงเพื่อเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นดีของการทำเพลงโฟล์ก ซึ่งมักจะหยิบนำความขัดแย้งในสังคมมาเป็นแรงบันดาลใจ และใช้เนื้อเพลงเป็นเครื่องมือต่อต้านความรุนแรงทั้งหลาย 

บ็อบ ดีแลน แสดงโดย ทิโมธี ชาลาเมต์ (Timothée Chalamet) ในวันนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ต้องการสร้างชื่อให้ตัวเองในเมืองใหญ่ ผ่านเสียงกีตาร์ธรรมดาและเพลงที่เขาแต่งขึ้นจากปัญหาต่างๆ ที่สังคมกำลังเผชิญ ซึ่งมันเป็นหลักการที่เรียบง่ายแต่สำคัญมากของดนตรีแนวโฟล์ก ในระดับที่ไม่ควรและไม่เคยมีใครเปลี่ยนแปลง

ด้วยน้ำเสียง ลีลา ไปจนถึงภาษาเพลงของเขานี้เองที่ไปเตะตาของ พีต ซีเกอร์ แสดงโดย เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน (Edward Norton) หนึ่งในเจ้าพ่อวงการดนตรีโฟล์กเข้า ทำให้เขากระเตงพาเด็กบ้านนอกคอกนาคนนั้นไปเดินสายร้องเพลงตามงานต่างๆ จนในที่สุดเขาก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง 

แม้อัลบั้มแรกจะไม่ใช่สิ่งที่เขาภูมิใจมากที่สุด เพราะมันเป็นเพียงแค่การคัฟเวอร์เพลงเก่าของนักร้องดังคนอื่น ไม่ใช่การร้องเพลงที่เขาแต่งขึ้นเอง แต่แล้ววันหนึ่งชะตาชีวิตของเขาก็พลิกไป เมื่อ โจแอน เบเอซ แสดงโดย โมนิกา บาร์บาโร (Monica Barbaro) ศิลปินโฟล์กหญิงตัวท็อปแห่งยุค นำเพลงที่เขาแต่งไปร้อง ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ร้องเพลงร่วมกันตามเวทีต่างๆ จนทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จัก

ทว่าขณะที่ความสัมพันธ์ของเขากับโลกดนตรีกำลังเติบโต แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวของเขากลับเริ่มยุ่งเหยิง เพราะทั้งคู่ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันอย่างเดียว แต่ยังมีสัมพันธ์ลับๆ กันด้วยทั้งที่ในตอนนั้นเขาก็มี ซิลวี รุซโซ แสดงโดย แอลล์ แฟนนิง (Elle Fanning) ครองหัวใจอยู่แล้ว

เข้าท่อนฮุก: Well known

Yes, and how many years can some people exist 

before they’re allowed to be free? 

(อืม… และ… อีกกี่ปีที่ปวงประชาต้องอยู่ ทนอยู่ต่อไป 

จนกว่าพวกเขาจะได้รับอนุญาตให้เป็นอิสระ) 

ท่อนหนึ่งจากเพลง Blowin’ In The Wind เพลงที่นอกจากจะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือต่อต้านการแบ่งแยกชนชั้น ในช่วงที่เกิดการประท้วงเพื่อสิทธิพลเมืองของชาวแอฟริกันอเมริกัน มันยังสะท้อนภาพชีวิตของดีแลนในปี 1964 ที่เรียกได้ว่ากำลังอยู่จุดสูงสุดของอาชีพ แต่อย่างที่รู้กันดีว่า ยิ่งอยู่สูง ยิ่งหนาวสั่น เพราะแม้ตอนนั้นเพลงของเขาจะกลายเป็นเพลงที่ทุกสถานีวิทยุพากันเปิด หน้าของเขากลายเป็นที่จดจำของผู้คน แต่ชื่อเสียงเหล่านั้นมันไม่มีความหมายกับเขาเลย เมื่อเทียบกันสิ่งที่เขาต้องแบกรับอย่างการทำเพลงในแนวทางเดิมๆ เพื่อสนองความต้องการของค่ายและแฟนเพลงโฟล์ก

เขาเริ่มสำรวจแนวทางใหม่ในถนนสายดนตรี บวกกับการได้รับแรงสนับสนุนจาก จอห์นนี แคช นักร้องโฟล์กรุ่นพี่ที่ ณ เวลานั้นถูกมองว่าจะเปลี่ยนไปเป็นนักร้องสายป็อป ทำให้เขาเริ่มนำเครื่องดนตรีไฟฟ้าเข้ามาใช้ในเพลงมากขึ้น แต่อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า หัวใจสำคัญของดนตรีแนวโฟล์กคือ เสียงกีตาร์เพียวๆ และเนื้อเพลงจิกกัดความบิดเบี้ยวของสังคม ทำให้วินาทีที่เขาเริ่มหันไปทำเพลงร็อกแอนด์โรล เหล่าบรรดาผู้ใหญ่ในวงการตั้งแต่คนในค่ายเพลงไปจนกลุ่มผู้จัดงาน Newport Folk Festival งานดนตรีโฟล์กเลือดแท้ ซึ่งเป็นเวทีใหญ่แรกๆ ที่ให้โอกาสเขาขึ้นแสดงตอนที่เขาเป็นเพียงนักร้องหน้าใหม่ เริ่มพากันไม่พอใจ

ปิดด้วยเอาโทร: Never known

หลังจากยืนยันว่าจะเล่น 3 เพลงร็อกแอนด์โรลจากอัลบั้ม Highway 61 Revisited บนเวทีคอนเสิร์ต Newport Folk Festival ในปี 1965 ภาพเด็กหนุ่มใสซื่อในมือถือกีตาร์โปร่งเก่าๆ ที่คนดูเคยรู้จักก็หายไป กลายเป็นหนุ่มเซอร์ๆ พร้อมกีตาร์ไฟฟ้าตัวใหม่เอี่ยมที่คนดูไม่คุ้นเคย

นับตั้งแต่วินาทีที่เสียงเพลงร็อกแอนด์โรลของเขาเริ่มขึ้น เขากลายเป็นนักร้องคนใหม่ที่ทุกคนไม่รู้จัก และสิ่งที่เขาได้รับจากแฟนเพลงก็ไม่ใช่เสียงกรี๊ดและคำชื่นชมอีกต่อไป แต่กลับเป็นการตะโกนใส่หน้าหาว่าเขาทำตัวเป็น ‘Judas’ ซึ่งหมายถึง ยูดาส อิสคาริโอต (Judas Iscariot) หนึ่งในสาวกที่กระทำการทรยศพระเยซู เพื่อเปรียบเทียบว่าเขากำลังทรยศดนตรีโฟล์กที่มอบโอกาสและชื่อเสียงให้แก่เขา

ถอดหูฟัง: What do we know?

นอกจากการแสดงที่เฉียบคมของเหล่านักแสดงนำ โดยเฉพาะชาลาเมต์ที่ใช้เวลาเตรียมตัวเพื่อถ่ายทอดจิตวิญญาณของนักร้องระดับตำนานถึง 5 ปี อีกสิ่งหนึ่งที่ได้เห็นจากภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ‘เทคนิคการเล่าเรื่องราวชีวิตผ่านเสียงดนตรีที่เปลี่ยนแปลง’ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้เพลงดังหลายเพลงของดีแลนในการร้อยเรียงไทม์ไลน์ชีวิตของเขาอย่างโดดเด่น

เห็นได้จากช่วงต้นเรื่องที่ดึงเพลงจากอัลบั้มชุดแรกอย่าง Bob Dylan (1962) อัลบั้มรวมเพลงดังจากศิลปินรุ่นพี่หลายคนที่เขานำมาคัฟเวอร์ แสดงให้เห็นถึงการล้มลุกคลุกคลานในการก้าวขึ้นเป็นศิลปินในช่วงเริ่มต้นของอาชีพ ก่อนที่กลางเรื่องจะใช้เพลงจากอัลบั้ม The Freewheelin’ Bob Dylan เพื่อสะท้อนถึงจุดพีกในสายอาชีพ และปิดท้ายด้วยเพลงร็อกแอนด์โรลเต็มสูบจากอัลบั้ม Highway 61 Revisited ที่ทำหน้าที่บอกเล่าจุดตัดชีวิตของเขาในวงการโฟล์ก และจุดเริ่มต้นในสายร็อกแอนด์โรลเต็มตัว

อย่างไรก็ตามเทคนิคการเล่าเรื่องราวไม่ใช่สิ่งที่ชวนให้รู้สึกประหลาดใจมากที่สุด แต่เป็นการกระทำของผู้คนและสภาพแวดล้อมที่นักร้องหนุ่มหัวขบถต้องเจอต่างหาก ที่สร้างคำถามในหัวของผู้เขียนว่า

“หรือจริงๆ แล้วอุดมการณ์ที่คนกลุ่มหนึ่งยึดถือ มันเป็นเพียงแค่คำโกหกคำโตเท่านั้น”

อย่างที่เกริ่นในช่วงต้นว่า ดนตรีโฟล์กเป็นการนำปัญหาสังคมมาร้อยเรียงเป็นเนื้อร้อง และใช้เครื่องดนตรีแบบดั้งเดิม เช่น กีตาร์อะคูสติกหรือฮาร์โมนิกาในการสร้างท่วงทำนอง โดยมีจุดประสงค์เพื่อสะท้อนถึงชีวิตของคนรากหญ้า การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ไปจนถึงการเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง

ทว่าน่าแปลกที่กลุ่มคนที่ใช้ดนตรีเพื่อเรียกหาความเปลี่ยนแปลงในสังคม กลับกลายเป็นกลุ่มคนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงเสียเอง

ตลอด 140 นาทีของภาพยนตร์ นอกจากจะฉายให้เห็นวิวัฒนาการทางดนตรีของดีแลน มันยังฉายให้เห็นความย้อนแย้งระหว่างอุดมการณ์กับการกระทำของกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่า รัก บูชา และศรัทธาในความเปลี่ยนแปลง เพราะนับตั้งแต่วินาทีที่ดีแลนเริ่มวางมือจากกีตาร์อะคูสติกและหันไปหยิบกีตาร์ไฟฟ้า ดีแลนในสายตาของกลุ่มคนโฟล์กก็เปลี่ยนไป เขาไม่ใช่คนในครอบครัวและชายผู้เป็นที่รักอีกต่อไป แต่กลายเป็นกบฏที่ชาวดนตรีโฟล์กไม่พร้อมยอมรับ

โดยเฉพาะฉากหนึ่งในช่วงท้ายของเรื่องที่ฉายให้เห็นการกระทำต่างๆ นานา ที่พวกเขาทำกับดีแลนระหว่างกำลังเล่นเพลงร็อกแอนด์โรลอยู่บนเวที Newport Folk Festival เวทีที่ในอดีตเคยเป็นบ้านหลังใหญ่ที่อ้าแขนต้อนรับเขาเมื่อครั้งยังเป็นเพียงศิลปินหน้าใหม่ ตั้งแต่กลุ่มผู้จัดงาน รวมถึงคนที่เขาเคารพมากที่สุดอย่างพีต ที่พยายามขัดขวางการแสดงของเขาทุกวิถีทาง ไปจนถึงกลุ่มแฟนเพลงที่ส่งเสียงโห่ไล่ ก่นด่า และปาข้าวของใส่เขาอย่างไร้เยื่อใย

อากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปของกลุ่มคนดนตรีโฟล์ก ทำให้นึกถึงสำนวนไทยที่ว่า ‘กลืนน้ำลายตัวเอง’ ขึ้นมาทันที เพราะแม้ว่ากลุ่มคนโฟล์กจะประกาศตัวชัดเจนว่า พวกเขาเป็นคนหัวอิสระ พร้อมเปิดรับความเปลี่ยนแปลง และต้องการเสรีภาพ แต่ในวันที่ดีแลนคิดอยากเปลี่ยนแนวทางดนตรีขึ้นมา สิ่งที่เหล่าผู้มีอุดมการณ์สูงเฉียดฟ้าทำก็หนีไม่พ้นการกลืนน้ำลายตัวเองหลายอึก 

การกระทำของดีแลนในสายตาของพวกเขา ไม่ใช่แค่การละทิ้งรากเหง้าทางดนตรีที่มอบชีวิตในวงการให้กับเขา แต่เป็นการทรยศต่ออุดมการณ์การต่อสู้เพื่อสังคมที่ชาวดนตรีโฟล์กยึดถือ และโอนอ่อนให้กับเพลงกระแสหลักไร้แก่นสารที่คนนิยมอย่างดนตรีร็อกแอนด์โรล ซึ่งขัดแย้งกับจิตวิญญาณดั้งเดิมของดนตรีโฟล์กที่เป็นเสียงของคนชายขอบที่ถูกมองข้าม

ทว่าสิ่งที่พวกเขามองข้ามคือความจริงที่ว่า ชายหัวขบถคนนี้ไม่เคยละทิ้งแก่นแท้ของเพลงโฟล์กเลย เนื้อเพลงของเขายังคงแฝงไปด้วยการพูดถึงชีวิตของคนธรรมดาในสังคมจอมปลอม เพียงแค่ถูกนำเสนอผ่านเสียงดนตรีที่เร่าร้อน เครื่องดนตรีที่หลากหลาย และสไตล์ที่แตกต่างออกไปก็เท่านั้น เช่น เพลงร็อกแอนด์โรลที่เขาร้องตอนจบคอนเสิร์ตคืนนั้นอย่าง Like A Rolling Stone เพลงที่สื่อถึงชีวิตของคนคนหนึ่งที่เมื่อครั้งอยู่จุดสูงสุดก็มีแต่คนรายล้อมมากมาย แต่ในยามที่ชีวิตเปลี่ยนไป คนคนนั้นกลับไม่หลงเหลือใคร ดังท่อนที่ว่า

How does it feel?

To be on your own?

With no direction home?

A complete unknown

Like a rolling stone 

มันรู้สึกอย่างไรล่ะ

ที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว

ไม่มีหนทางให้หวนคืนสู่บ้าน

ดั่งคนไร้ตัวตน

ราวกับก้อนหินที่กลิ้งไปมา

 ในอีกมิติหนึ่งเพลงนี้ก็เปรียบเสมือนชีวิตของดีแลน จากเด็กหนุ่มที่เคยเป็นที่รักของใครต่อใคร ก็กลายเป็นคนที่ถูกทอดทิ้งจากพื้นที่ที่เคยเป็นบ้าน แต่ขณะเดียวมันก็เหมือนได้รับอิสรภาพและปลดพันธนาการตัวเขาจากทุกการกดขี่ เพราะแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับความรักเหมือนแต่ก่อน แต่เขากลับได้รับอนุญาตให้เดินตามทางที่เลือกเพียงลำพัง โดยไม่ต้องถูกกฎเหล็กในบ้านหลังใหญ่มาบังคับ ราวกับคนที่ไม่มีตัวตนในชีวิตของใคร เป็นเพียงก้อนหินที่กลิ้งไปมาตามเส้นทางที่ใจของเขาปรารถนา

ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ชีวประวัติที่บอกเล่าเรื่องราวการเติบโต ในเส้นทางดนตรีและการท้าทายขอบเขตเสียงเพลงของดีแลนเพียงอย่างเดียว แต่ยังพาไปสำรวจความเปราะบางในอุดมการณ์ของมนุษย์ที่แม้ปากจะบอกว่า พวกเขายืนหยัดเพื่อเสรีภาพ แต่กลับกลืนน้ำลายตัวเอง เมื่อยามที่หนึ่งในเพื่อนร่วมอุดมการณ์เลือกเดินแตกแถว

พร้อมตั้งคำถามกับคนในสังคมว่า “คุณยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ หากการเปลี่ยนแปลงนั้นขัดกับฐานความเชื่อหรือค่านิยมของคุณ” และชวนให้เราคิดต่อไปอีกว่า “เราให้พื้นที่ยืนกับคนที่คิดต่างจากเรามากแค่ไหนกัน” เพราะขนาดกลุ่มคนที่เพรียกหาความเปลี่ยนแปลงในสังคมอยู่ตลอดเวลา ยังไม่สามารถเปิดใจยอมรับเจตนารมณ์และมอบเสรีภาพให้เด็กหนุ่มที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยข้ออ้างที่ว่า เส้นทางที่ชายคนนั้นเลือกเดินด้วยหัวใจอันแรงกล้า มันกำลังบ่อนทำลายคุณค่าของแนวทางดนตรีที่พวกเขาหวงแหน

Tags: , , , , , ,