ทุกชีวิตล้วนเกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณการดิ้นรนเอาตัวรอด มนุษย์เองก็เช่นกัน ทว่าสังคมของมนุษย์กลับมีบรรทัดฐานอันหลากหลายเป็นตัวกำหนดชีวิตทั้ง จารีต ภาษา อาชีพ และอื่นๆอีกมากมายให้แบกรับ ไม่นับความสำเร็จที่สองเท้าต้องวิ่งไล่ตาม จนกระทั่งสิ่งเหล่านี้พัดพาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของชีวิตหายไป รู้ตัวอีกทีเวลาก็พาเรากลายเป็นผู้ใหญ่กร้านโลกไปเสียแล้ว 

การจำกัดความด้านต้นคงจะพอสื่อให้เห็นถึงสิ่งที่ อี ไอแซก จอง (Lee Isaac Chung) ผู้กำกับชาวเกาหลี-อเมริกัน เล่าผ่านภาพยนตร์เรื่อง มินาริ (Minari) เรื่องของ ‘ครอบครัวตระกูลอี’ ที่หลีกหนีความแร้นแค้นจากไฟสงครามในบ้านเกิดประเทศเกาหลีช่วงยุคปี 90s ไปตั้งรกรากประกอบอาชีพเกษตรกรในสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพ ทว่าอุปสรรคที่พวกเขาต้องเผชิญนั้นไม่ง่ายเลยสำหรับการเริ่มต้นใหม่ 

ต่อจากนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วนของเรื่อง

 

บนผืนหญ้าเขียวขจีขนาด 5 เอเคอร์ ในชนบทรัฐอาร์คันซอ ครอบครัวตระกูลอี นำโดย เจค็อบ (สตีเฟน ยอน) ผู้นำครอบครัว, โมนิกา (ฮันเยริ) ภรรยา, แอนน์ (โนเอล โช) ลูกสาวคนโต และ เดวิด (อลัน คิม) ลูกชายคนเล็ก ได้ลงหลักปักฐานชีวิตใหม่ มีที่พักเป็นตู้คอนเทนเนอร์มือสอง พร้อมเงินก้อนสุดท้ายสำหรับลงทุนทำฟาร์มเพาะปลูกพืชผักสวนครัวสไตล์เกาหลี ท่ามกลางความมั่นใจของผู้เป็นพ่อที่จะใช้สองมือพลิกฟื้นหน้าดินอันว่างเปล่าให้กลายเป็นอู่ข้าวอู่น้ำให้แก่ครอบครัวได้โดยไม่ต้องหวังพึ่งใคร

ฉากแรกเริ่มของ มินาริ ชวนให้คนดูเห็นความหวังและการเติบใหญ่ในชีวิตต่างแดนของครอบครัวอี ทว่าการลงหลักปักฐานครั้งนี้เปรียบเสมือนการโยนหัวก้อยโดยผู้เป็นพ่อฝ่ายเดียวมากกว่า เพราะฝั่งภรรยาโมนิกาไม่เห็นด้วยกับการลงทุนลงแรงต่อผืนดินแห่งนี้ที่เคยมีประวัติเจ้าของรายก่อนๆ ต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า อีกทั้งความเจริญยังห่างไกลส่งผลกระทบต่อลูกๆ โดยเฉพาะกับเจค็อบที่ป่วยด้วยโรคหัวใจ แม้กระทั่งบ้านคอนเทนเนอร์ของพวกเขาเองยังหาความปลอดภัยให้อุ่นใจไม่ได้ เมื่อมันพร้อมจะพังถล่มด้วยลมพายุฤดูร้อนได้ตลอดเวลา

เมื่อเงินก้อนสุดท้ายลงทุนไปกับการซื้อที่จนหมด สองสามีภรรยาตระกูลอีจึงจำเป็นต้องประกอบอาชีพเสริมกับงานคัดแยกเพศลูกเจี๊ยบซึ่งพวกเขาช่ำชองอยู่แล้ว เพื่อนำเงินที่ได้มาจุนเจือครอบครัว ก่อนที่โมนิกาจะรับ ‘ซุนจา’ (ยุนยอจอง) ผู้เป็นแม่และยายของหลานๆ ที่อพยพตามมาจากเกาหลี มาเป็นสมาชิกคนใหม่ในบ้านคอนเทนเนอร์ท่ามกลางความไม่พอใจของเดวิด เมื่อซุนจาช่างแตกต่างจากคุณยายในอุดมแบบสิ้นเชิง ไม่ได้อ่อนหวาน ทำอาหารเก่ง แต่เป็นหญิงที่พูดจาโผงผาง และจู้จี้ขี้บ่นไม่เข้าใจเด็กๆ

ชีวิตใหม่บนผืนแผ่นดินอเมริกาของครอบครัวอียังดำเนินไปอย่างเหี่ยวเฉาเหมือนพืชผักบนแปลงที่เจค็อบต้องกู้หนี้ยืมสินมากอบกู้ โดยไม่สนว่าครอบครัวจะลำบากลำบนอย่างไร กระทั่งโมนิกาอดรนทนไม่ไหว เตรียมใจจะแยกทางกับเจค็อบ ก่อนที่ปัญหาอุปสรรคต่างๆ จะกระหน่ำซ้ำเติมก่อนจะมอบบทเรียนอันล้ำค่าให้แก่ครอบครัวอีในตอนจบ 

แม้ฉากหน้าของภาพยนตร์เรื่องมินาริ ผู้กำกับ อี ไอแซก จอง ต้องการนำเสนอกับประเด็นเรื่องการอพยพจากบ้านเกิดไปใช้ชีวิตในต่างแดนของชาวเกาหลีในช่วงยุค 90s ซึ่งกลั่นกรองมาจากประสบการณ์จริงของเขาเอง อบอวลกลิ่นอายความเป็นเอเชียที่ชวนหวนนึกถึงบ้านเกิด ทว่าแก่นของเรื่องกลับถูกเชื่อมโยงด้วยประเด็นความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมถึงขนบธรรมเนียมความเชื่อที่ว่าผู้ชายต้องเป็นช้างเท้าหน้า และภรรยาต้องเป็นผู้ตามที่คอยโอบอุ้มครอบครัวอยู่เบื้องหลัง ดังเช่นช่วงหนึ่งของหนังที่เจค็อบสอนเดวิดลูกชายว่า เมื่อเกิดเป็นชายแล้วต้องทำตัวให้มีประโยชน์ ไม่เช่นนั้นคงไม่ต่างกับลูกเจี๊ยบตัวผู้ที่เนื้อไม่อร่อย ออกไข่ก็ไม่ได้ รอวันส่งไปเชือดทิ้ง

ด้วยหลักความคิดแบบนั้นเอง ส่งผลให้เจค็อบลืมความสำคัญในชีวิตไปหลายอย่าง ทั้งเรื่องความรู้สึกของครอบครัว การรับฟังความคิดของผู้อื่น เช่นที่เขาเลือกปลูกพืชผักเกาหลีทั้งที่ภรรยาและเพื่อนบ้านเคยเตือนแล้วว่าเติบโตยากท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนี้ กลับกัน ‘ดอกมินาริ’ ธรรมดาๆ ที่ยายซุนจาปลูกในป่าหลังบ้านกลับงอกเงยได้อย่างมั่นคงและแข็งแรงตามธรรมชาติ เป็นนัยสำคัญที่สอนให้เห็นว่าการปรับตัวอย่างอ่อนน้อม ยอมรับในความเปลี่ยนแปลง ก้าวช้าๆ อย่างมั่นคง ย่อมได้ผลลัพธ์อันดีกว่ารีบเร่งร้อนรน ไม่ว่าตนตัวเราจะมีรากเหง้ามาจากไหนก็ตาม

จุดแข็งแรงของมินารินอกจากบทหนังแล้ว นักแสดงเองถือเป็นปัจจัยสำคัญ ทั้งแววตา ภาษากาย ล้วนทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าพวกเขาคือครอบครัวเดียวกันจริงๆ ยิ่งในโมเมนต์ความสัมพันธ์ระหว่างยายซุนจาและหลานชายเดวิด ที่สัมผัสถึงความรักความอบอุ่นระหว่างคนทั้งสองวัยได้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงเรื่องราวความรักระหว่างสามีภรรยาที่ถูกทดสอบด้วยบรรทัดฐานทางสังคม จึงไม่แปลกใจที่มินาริสามารถเข้าชิงรางวัลออสการ์ได้ถึง 6 สาขา

เหนือสิ่งอื่นใด 1 ชั่วโมง 15 นาที ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้คนดูได้ทบทวนชีวิต พร้อมชี้ชวนให้มองโลกในแง่บวกมากขึ้นว่า อุปสรรคทั้งหลายที่ประดังประเดเข้ามามักจะมอบบทเรียนล้ำค่าให้เราเสมอ

“เพราะบางครั้งคนเราก็ต้องล้มลุกคลุกคลานบ้าง ถึงได้เข้าใจกับสิ่งที่เป็นอยู่และเป็นไปของชีวิต”

Tags: , ,