ในหลายสถานการณ์ของชีวิต เรามักจะได้ยินประโยคคลาสสิกออกจากปากใครบางคน หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง และ “ชีวิตคือการเดินทาง” ก็ดูจะเป็นประโยคหนึ่งในนั้น
การเดินทางในที่นี้หมายถึงในหลายๆ ความหมาย ทั้งการเติบโตไปตามอายุที่มากขึ้น การจากบ้านเกิดไปสู่สถานที่อื่น การเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต การมีความฝันและการตามหาความฝัน ทุกอย่าง ทุกลมหายใจ ทุกการกระทำ ล้วนเป็นการเดินทางทั้งสิ้น ชีวิตจึงดูเหมือนเป็นการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด แม้กระทั่งในยามที่เราตายไปแล้ว หลายๆ ความเชื่อก็ยังบอกว่าเราแค่เปิดประตูไปสู่อีกการเดินทางหนึ่ง
ภาพยนตร์แนว Road Movie จึงเป็นการพาทั้งตัวละคร และตัวผู้ชมเดินทางไปหาอะไรบางอย่าง ตัวละครอาจพบเจอความหมายของชีวิต แต่ผู้ชมอย่างเรากลับได้แรงบันดาลใจ ได้ฟื้นฟูหัวใจ ได้รับพลังงานที่อาจเหือดหายไปจากชีวิต เรื่องราวของพวกเขาเหล่านั้นเป็นการสร้างจุดกระเพื่อมเล็กๆ ให้เรา บางทีมันก็หมายถึงการเติบโตทางจิตวิญญาณ ดังนั้น พร้อมจะออกเดินทางกันหรือยัง?
The Motorcycle Diaries (2004)
The Motorcycle Diaries เป็นชีวประวัติที่เกี่ยวกับการเดินทางและบันทึกของเช เกวารา ชายผู้เป็นสัญลักษณ์ของนักปฏิวัติต่อต้านวัฒนธรรมกระแสหลักและความอยุติธรรมในสังคม ในช่วงเวลาก่อนที่เขาจะเรียนจบ เชออกเดินทางไปกับเพื่อนซี้อย่างอัลเบอร์โต้ กรานาโด้ พวกเขาซ้อนรถจักรยานยนตร์กันไปทั่วอเมริกาใต้
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการร่วมมือกันจากหลายชาติ กำกับโดยผู้กำกับชาวบราซิล เขียนบทโดยชาวเปอร์โตริโก ร่วมผลิตโดยอาร์เจนตินา สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อังกฤษ ชิลี เปรู และฝรั่งเศส
ในปี 1952 ก่อนภาคเรียนสุดท้ายจะมาถึง เช เกวารา หนุ่มนักศึกษาเพทย์ กับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ อัลเบอร์โต้ กรานาโด้ นักชีวเคมี ตกลงกันออกท่องเที่ยวไปทั่วอเมริกาใต้ โดยมีพาหนะคู่ใจคือรถจักรยานยนต์ที่ขนานนามว่า The Mighty One ทั้งสองตั้งใจออกเดินทางจากบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า ในขณะที่มีจุดหมายปลายทางไว้ในใจ ร่วมถึงสถานที่ระหว่างทางอย่างศูนย์โรคเรื้อนในเปรูด้วย จุดประสงคหลักคือความสนุกสนานและการผจญภัย พวกเขาปรารถนาจะเห็นลาตินอเมริกาให้ได้มากที่สุด เส้นทางของพวกเขาไปทางเหนือของเทือกเขาแอนดีสตามแนวชายฝั่งชิลี ผ่านทะเลทรายอาตากามา และเข้าไปในแถบแอมะซอน ประเทศเปรู เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางที่เวเนซุเอลา
ในระหว่างทางสุดท้ายเจ้า The Mighty One ก็พัง พวกเขาจึงเดินทางได้ช้าลง แน่นอนว่ามันมีความสนุกสนานในแบบที่พวกเขาคิดไว้ แต่ที่มากไปกว่านั้น เชกับอัลเบอร์โต้พบเห็นความยากและการกดขี่มากมาย การผจญภัยเป็นระยะทางกว่า 12,000 กิโลเมตรทำให้พวกเขามองเห็นโลกกว้างและเปลี่ยนไป
ความสนุกสนานตามประสากลับกลายเป็นดั่งจุดพลิกผันให้เช เกวารา เดินสู่เส้นทางนักปฏิวัติ มันเป็นจุดสำคัญหนึ่งในช่วงชีวิตเขาเลยก็ว่าได้ และการเดินทางนี้ เชได้สร้างบางสิ่งและทิ้งบางอย่างไว้เบื้องหลัง
เรื่องราวถ่ายทอดออกมาได้อย่างธรรมชาติ สองนักแสดงหลักก็รับส่งบทกันได้ดี เราได้เห็นรายละเอียดของพกวเขาที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปตลอดเส้นทาง ที่น่าประทับใจไปกว่านั้นคือภาพยนตร์พาเราไปสัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติในสถานที่ต่างๆ ที่พวกเขาผ่านไป รวมถึงสภาพบ้านเมืองของลาตินอเมริกา ที่แม้ไม่ได้สวยหรูนัก แต่ก็ถ่ายทำออกมาได้สวยงามตามท้องถิ่น
Little Miss Sunshine (2006)
ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของสองสามีภรรยา โจนาธาน เดย์ตัน และ วาเลอรี ฟาริส ที่ลงทุนไปด้วยงบประมาณ 8 ล้านเหรียญ แต่กลับทำรายได้ไปอย่างล้นหลามถึง 100 ล้านเหรียญ รวมทั้งเข้าชิงรางวัลออสการ์ในหลายสาขา และคว้ามาได้ถึงสองรางวัล ได้แก่ บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมและนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม นอกจากนี้ก็ยังคว้ารางวัลจากเวทีอื่นๆ มาอีกมากมาย
อาจกล่าวได้ว่า Little Miss Sunshine สามารถจัดอยู่ในกลุ่ม ‘ครอบครัวที่มีปัญหา’ (dysfunctional family) สมาชิกแต่ละคนนั้นติดอยู่กับปัญหาบางอย่าง และนั่นก็ส่งผลกระทบต่อเนื่องให้ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวไม่ราบรื่น
เดิมครอบครัวฮูเวอร์ประกอบไปด้วยสมาชิก 5 คน แต่ในภายหลังเพิ่มมาอีก 1 คน ซึ่งคนคนนั้นก็คือคนที่ภาพยนตร์กล่าวถึงเขาเป็นคนแรก แฟรงก์ ชายหนุ่มที่ตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะผิดหวังจากความรัก ดังนั้น เชอรีล ที่มีฐานะเป็นพี่สาวจึงรับเขามาอยู่ด้วย เชอรีลเป็นภรรยาของริชาร์ด หัวหน้าครอบครัวฮูเวอร์ที่มุ่นอยู่กับการ “เป็นที่หนึ่ง” พวกเขามีลูกด้วยกันสองคน คือ ดเวย์น ผู้ปฏิญาณตนไว้ว่าจะไม่พูดสักคำจนกว่าจะสอบเข้าโรงเรียนนักบินได้ และตอนนี้เขาก็ปิดปากสนิทมา 9 เดือนแล้ว โอลีฟ เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่มีความฝันใหญ่เกินตัวอย่างการเป็นนางงาม และคนสุดท้ายเอ็ดวิน คุณปู่จอมซ่าที่โดนไล่ออกจาบ้านพักคนชรา
ภาพยนตร์ใช้เวลาเล่าเรื่องเพียง 2 วัน ซึ่งเป็นการเดินทางพาโอลีฟไปพิชิตความฝัน จุดเริ่มต้นอยู่ที่นิว เม็กซิโก และจะไปจบลงที่แคลิฟอร์เนีย ทั้ง 6 คนเดินทางไปด้วยรถโฟล์กตู้บุโรทั่งสีเหลืองและพร้อมจะพังทุกเมื่อที่มันต้องการ
ตลอดการเดินทางพวกเขาทุกข์กับความพ่ายแพ้ส่วนตัวมากมายในชีวิต บรรยากาศของความตึงเครียดบางๆ ครอบคุลมอยู่ แต่บนพื้นที่เล็กๆ ภายในรถโฟล์กนี้ บวกกับเรื่องเบี้ยบ้ายรายทางทั้งหลายตลอดถนนที่ทอดยาว มันได้เป็นสถานที่ที่พวกเขาเรียนรู้ เปิดใจ และเยียวยาบาดแผลในหัวใจของกันและกัน ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้สัมผัสนั้นแผ่กระจายออกมาและโอบกอดพวกเขาเอาไว้ สุดท้ายแต่ละคนก็ทำลายกำแพงที่เคยขว้างกั้น เพื่อพบว่าการเป็นผู้แพ้นั้นไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
ภาพยนตร์เต็มไปด้วยอารมณ์ขันตลอดทั้งเรื่อง หลายๆ ไดอะล็อกแฝงไว้ด้วยข้อคิดให้เราได้ฉุกคิดตาม การเดินทางนี้ได้สอนให้พวกเขาก้าวเดินไปอย่างภาคภูมิ ชีวิตทุกคนต้องได้สัมผัสกับความพ่ายแพ้ แต่นั่นไม่ได้เป็นทั้งหมดของเรา อย่ากลัวการที่จะล้ม ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีวันกล้าพอที่จะเติบโต
Seeking a Friend for the End of the World (2012)
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการผสมผสานกันระหว่างภาพยนตร์โรแมนติก ดราม่า และคอมเมดี้ มีกลิ่นไซไฟนิดๆ และมีความเป็นโร้ดมูฟวี่ด้วย
Seeking a Friend for the End of the World กำกับและเขียนบทโดย ลอรีน สกาฟาเรีย (Lorene Scafaria) และได้นักแสดงตลกอย่าง สตีฟ คาเรลล์ มาประกบคู่กับสาวสวย เคียรา ไนท์ลีย์
ชื่อของภาพยนตร์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลงของคริส คอร์เนลล์ ‘Preaching the End of the World’ ซึ่งอยู่ในอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรกของเขา
ภาพยนตร์ตลกร้ายที่เรื่องราวเกิดขึ้นในวันที่โลกกำลังจะสิ้นหวัง รายงานข่าวบอกว่าภารกิจหยุดยั้งอุกกาบาตล้มเหลว และมันกำลังจะพุ่งเข้าชนโลก ทุกคนเหลือเวลาเพียงสามสัปดาห์ก่อนที่มันจะทำลายทุกชีวิต
ดอดจ์และลินดาฟังรายงานนั้นอยู่บนรถยนต์ แต่หลังจากข่าวจบลง ลินดาก็จากดอดจ์ไปเสียเฉยๆ และในขณะที่ทุกคนตอบสนองต่อข่าวแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่การฆ่าตัวตายไปจนถึงการมีเซ็กซ์จนวาระสุดท้าย ดอดจ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เขายังทำงานตามปกติและใช้ชีวิตเพียงลำพัง แต่ต่อมาไม่นานเขาก็พบกับเพนนี สาวน้อยเพื่อนบ้านที่เพิ่งเลิกกับแฟน ที่มากไปกว่านั้น ดอดจ์กลับพบจดหมายจากรักแรกของเขาที่ส่งผิดกล่องในบ้านของเพนนี ซึ่งปรากฏว่าจดหมายถูกส่งมาตั้งแต่สามเดือนที่แล้ว!
ตอนนี้เขาไม่สามารถโทรหาหรือนั่งรถไฟไปหาเธอได้ ดังนั้นทั้งสองจึงทำข้อตกลงกัน ว่าถ้าเพนนีช่วยเขาหาโอลิเวีย หญิงสาวในจดหมายเจอ เขาจะพาเพนนีไปยังอังกฤษตามความตั้งใจที่เธออยากกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่นั่น จุดมุ่งหมายของพวกเขาแตกต่างกัน แต่การจะทำให้สำเร็จได้นั้นต้องร่วมมือกัน
วันสุดท้ายของชีวิตกำลังเดินทางมาถึง ทั้งสองคนได้เห็นทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่แย่ในวันที่โลกวุ่นวาย แถมยังได้ใกล้ชิดกันอย่างช่วยไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ในวันใกล้สิ้นโลกแบบนี้ทำให้พวกเขาเศร้าหรือมีความสุข? ถ้าเจอกันในสถานการณ์อื่นจะเป็นแบบนี้ไหม การได้ใช้เวลาร่วมกันเท่านั้นเพียงพอแล้วหรือยัง หรือแค่เท่านี้ก็ดีมากแล้ว ความตายที่กำลังเดินทางมาถึงนั้นผลักดันให้เราทำอะไรมากมาย รวมถึงการรักใครสักคน
บ่อยครั้งที่ชีวิตก็เลือกอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะความตาย เราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าได้เลยว่ามันจะมาถึงในวันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่เมื่ออยู่ๆ เส้นตายนั้นก็ปรากฏขึ้น เราจึงพยายามทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสียดายเวลาที่เหลืออยู่ ไม่ว่าจะในทางที่ดีหรือแย่ เราชอบตรงที่เมื่อทั้งดอดจ์และเพนนีรู้แล้วว่ารู้สึกดีๆ ต่อกัน พวกเขาก็ไม่เสียใจหรือตีโพยตีพายอะไร เพราะพวกเขาทำได้เพียงยอมรับ
ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว โลกจะยังคงแตกดับ และความรักของพวกเขาก็จะจบลง แต่จบโดยที่อยู่เคียงข้างกัน
Nebraska (2013)
ภาพยนตร์ขาวดำ ผลงานกำกับของอเล็กซานเดอร์ เพนย์ (About Schmidt (2002), The Descendants (2011) และ Downsizing (2017)) ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 6 รางวัล ถึงแม้ไม่สามารถคว้ามาครองได้เลย แต่ Nebraska ก็แสดงให้ทุกคนได้เห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกอย่างตราตรึงใจ
Nebraska เป็นเรื่องของชายแก่ วูดดี้ แกรนท์ ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับบั้นปลายของชีวิต ส่วนตัวแล้ววู้ดดี้เป็นคนที่ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของใครเท่าไร รวมถึงตัวเองด้วย เขาทะนงในศักดิ์ศรีพอๆ กับดื้อรั้น แม้จะเคยมีชีวิตที่ผาสุก แต่สุดท้ายมันก็ได้หายไปตามกาลเวลาแล้ว วู้ดดี้ไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวใดๆ ในวัยที่ยังหนุ่มกว่านี้เขาจึงหันไปหาเหล้า ลูกๆ ของเขาต่างแยกย้ายไปมีครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกจึงยิ่งเหินห่าง
วันหนึ่ง จู่ๆ วู้ดดี้ก็ได้รับจดหมายลึกลับ ทันทีที่อ่าน เขาเชื่อว่าตัวเองถูกลอตเตอรี่มูลค่ากว่าหนึ่งล้านเหรียญ และต้องการเดินทางไปลินคอล์นในเนบราสกา เพื่อรับเงิน แม้ว่านั่นหมายถึงการเดินเท้าไปบนถนนก็ตาม ภรรยาและลูกชายของเขาบอกว่านั่นเป็นจดหมายหลอกลวง แต่มันก็ไม่มีน้ำหนักพอจะทัดทานวูดดี้ได้เลย ในที่สุดเมื่อเดวิดกับรอสส์มองไม่เห็นหนทางที่พ่อจะยอม เขาจึงต้องจำใจพาวูดดี้ไปรับเงินที่ไม่มีอยู่จริง
แม้ว่าในช่วงแรกเราจะเห็นว่าวู้ดดี้เพียงแต่ต้องการหาอะไรบางอย่างมายึดเหนี่ยวตัวเองไว้ และเงินก้อนนั้นก็เป็นสิ่งที่เขาเหมือนจะสามารถคว้าไว้ได้ แต่ตลอดการเดินทางนั้น เปลือกที่ห่อหุ้มเขาอยู่จะค่อยๆ หลุดลอกออก สิ่งที่ลูกๆ ของเขาไม่เคยเห็นและนึกถึงจะถูกแสดงออกมา
เมื่อดูภาพยนตร์จบ เราจะนึกได้ว่า เราได้เห็นพ่อแม่ในระยะใกล้ๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อไร แล้วสิ่งที่ได้พูดคุยกันนั้นคือเรื่องอะไร มีรอยยิ้มให้กันหรือเปล่า ภายในเนื้อเรื่องที่เรียบง่ายนี้ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างไม่เร่งเร้า แต่สิ่งที่เราได้มากลับเป็นความอิ่มเอม
Green Book (2018)
Green Book ภาพยนตร์ที่เพิ่งไปคว้ารางวัลใหญ่มา 3 รางวัลจากเวทีลูกโลกทองคำ ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ตลก/มิวสิคัล), นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ถือเป็นภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลมากที่สุดบนเวทีลูกโลกทองคำปีนี้ รวมถึงกวาดรางวัลบนเวทีอื่นๆ อีกมากมาย ผลงานเรื่องนี้กำกับโดย ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี และนำแสดงโดยสองนักแสดงคุณภาพ วิกโก้ มอร์เทนเซน (ผู้เข้าชิงสองรางวัลออสการ์จาก Eastern Promises, Captain Fantastic) และ มาเฮอร์ชาลา อาลี (เจ้าของรางวัลออสการ์จาก Moonlight)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงและเกิดขึ้นในช่วงยุค ’60s ที่มาของสมุดปกเขียวคือไกด์บุ๊กการเดินทางด้วยรถยนต์สำหรับคนอเมริกันผิวสี ที่คอยแนะนำว่าพวกเขาสามารถพักที่ไหนหรือกินอาหารร้านใดได้บ้างในช่วงเวลาที่การแบ่งแยกสีผิวยังเป็นเรื่องที่ชอบธรรม
แล้วเรื่องราวก็เริ่มต้นด้วยการจับพลัดจับผลูของคู่หูต่างสีผิวที่ต้องเดินทางด้วยกันไปทั่วตอนใต้ของอเมริกาเป็นเวลาสองเดือน โทนี ลิป ชายเชื้อสายอิตาเลียน-อเมริกัน กำลังอยู่ในช่วงว่างงานจากไนต์คลับชื่อดัง เขาได้รับการเสนองานจากดอน เชอร์ลีย์ นักเปียโนผิวสี ฝีมือระดับโลก ให้มาเป็นคนขับรถและดูแลเขาตลอดเส้นทางการทัวร์คอนเสิร์ต เงื่อนไขคือโทนีจะต้องพาดอนไปให้ทันเล่นดนตรีทุกครั้งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และก่อนออกเดินทางโทนีได้รับสมุดปกเขียวมา เผื่อว่ามันจะมีประโยชน์ในวันใดวันหนึ่ง
แรกเริ่มนั้นทั้งคู่ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร เพราะนิสัยโผงผางของโทนีและอุปนิสัยของดอน เดิมทีโทนีเองก็ไม่ค่อยชอบคนผิวสีเท่าไร แต่เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะรังแกใครอย่างไม่มีเหตุผล แต่ตลอดระยะการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ พวกเขาค่อยๆ เปิดใจให้กันทีละน้อย ท่ามกลางบรรยากาศเหยียดผิวในอเมริกาที่ทำกันอย่างเปิดเผย ทัศนคติของโทนีกำลังเปลี่ยนแปลงไป และดอนก็เปิดรับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ เข้ามาในพื้นที่ปิดตายของตัวเองมากขึ้น
หากกล่าวตามเนื้อหาแล้ว ภาพยนตร์แทบไม่มีอะไรแปลกใหม่ เดาทางได้อย่างง่ายดายและไม่ผิดเพี้ยนไปจากสูตรสำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้น Green Book กลับสามารถเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มได้ตลอดทั้งเรื่อง มีทั้งเรื่องขำขันที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ และเรื่องขำขื่นที่พาเราเศร้าสลด การเดินทางของดอนอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรวมได้ แต่อย่างน้อยที่สุดในจุดหนึ่ง มันยังหยิบยื่นการเปลี่ยนแปลงให้กับตัวเขาและคนข้างเคียง และนั่นก็เป็นจุดเล็กๆ ที่สำคัญที่จะขยายเป็นวงกว้างต่อไป
Tags: ภาพยนตร์, การเดินทาง, Road Movies