เบื้องหลังเป็นสิ่งเย้ายวนต่อความสงสัยเสมอ เพราะเบื้องหลังมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับความใคร่รู้ เพราะเบื้องหลังกุมความลับของความสำเร็จและความล้มเหลว เพราะเบื้องหลังจะเปิดเผยก็ต่อเมื่อจงใจ (หรือถูกขืนใจ) เพราะเบื้องหลังก็มีเรื่องราวในตัวมันเอง เบื้องหลังจึงเป็นปลายทางที่น่าค้นหาสำหรับความสนใจและการทำความเข้าใจ
ยามเย็นของวันหนึ่งเมื่อปลายทศวรรษ 80s นักเขียนคนหนึ่งต้องไปร่วมงานพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือเล่มใหม่ของเขาที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งหนึ่งในกรุงเทลอาวีฟ เขาไปถึงก่อนเวลานัดหมาย จึงเข้าไปนั่งในคาเฟ่เพื่อเตรียมตัว ระหว่างนั้นทรวงอกอวบอิ่มและขอบกางเกงชั้นในที่ไม่สมมาตรกันเมื่อมองจากภายนอกของพนักงานสาวได้ทำให้นักเขียนเคลิ้มไปในเรื่องราวชีวิตรักอันโลดโผนของเธอที่เขาแต่งขึ้นจากภาพที่ตาเห็น
ทรวงอกอวบอิ่มและขอบกางเกงชั้นในที่ไม่สมมาตรกันเมื่อมองจากภายนอกของพนักงานสาวได้ทำให้นักเขียนเคลิ้มไปในเรื่องราวชีวิตรักอันโลดโผนของเธอที่เขาแต่งขึ้นจากภาพที่ตาเห็น
บนเวทีในศูนย์วัฒนธรรม หญิงสาวคนหนึ่งได้อ่านเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือของเขา และได้มีการวิจารณ์ผลงานของเขาโดยนักวิจารณ์ ตัวนักเขียนนั่งอยู่บนเวทีมองไปรอบๆ และเริ่มเคลิ้มไปอีกครั้งกับเรื่องแต่งในใจจากบุคลิกลักษณะของผู้คนรอบกาย
หลังจากจบงาน นักเขียนได้เข้าไปพูดคุยกับหญิงสาวที่ได้รับการคัดเลือกให้มาอ่านออกเสียง เขาเดินไปส่งเธอที่แฟลตและพยายามที่จะขึ้นห้องไปกับเธอแต่ถูกปฏิเสธ เขาจึงจากเธอมาเพื่อกลับมาที่ห้องอีกครั้งในยามดึก แต่จากเรื่องราวที่ผ่านมาทิ้งให้เกิดความสงสัยว่าเขากลับมาจริงหรือกลับมาในเคลิ้มฝัน
Rhyming Life and Death เริ่มต้นเรื่องจากคำถามอันคุ้นเคยที่นักเขียนต้องเผชิญหน้าอยู่เสมออย่าง “ทำไมคุณจึงเขียน? ทำไมคุณเขียนแบบนี้? คุณต้องการมีอิทธิพลต่อผู้อ่านหรือไม่? ทำไมคุณถึงชอบเขียนถึงด้านลบของสิ่งต่างๆ?…” ก่อนจะพาผู้อ่านเข้าไปสำรวจว่าในความคิดของนักเขียนรับมือกับคำถามเหล่านี้อย่างไร คำถามเดิมๆ ที่ถูกถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำตอบจะถูกพลิกแพลงอย่างไรให้ถูกใจคนฟังโดยไม่ทื่อด้าน
นักเขียนไม่เพียงต้องรับมือกับคำถามทั่วไปของผู้อ่าน หากยังต้องรับมือกับวิธีการตีความและการชำแหละผลงานของนักวิจารณ์ที่ใช้ทฤษฎีทางด้านการวิจารณ์เป็นเครื่องมือ “การเปรียบเทียบผลงานชิ้นล่าสุดกับชิ้นก่อนหน้า, การเปรียบเทียบผลงานของนักเขียนกับนักเขียนคนอื่น, อิทธิพลที่นักเขียนได้รับจากนักเขียนรุ่นก่อนหน้า, ระดับของเรื่องเล่า, สัมผัสของการอ่านที่ซ้อนอยู่ในเรื่อง, สิ่งที่นักเขียนซ่อนไว้ในตัวบท…”
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้ และยิ่งเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ ก็ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมามากเท่านั้น
นอกจากโลกภายนอกที่เกิดขึ้นจากการเขียนแล้ว นักเขียนยังต้องรับมือกับสภาวะเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ทั้งจากเรื่องราวที่ผ่านพบในแต่ละวันและความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ประหนึ่งการเดินทางไปสู่ความตายที่ส่งผลต่อความคิดความอ่าน
นอกจากโลกภายนอกที่เกิดขึ้นจากการเขียนแล้ว นักเขียนยังต้องรับมือกับสภาวะเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของชีวิต
อามอส ออซ (Amos Oz) ได้หยิบยกเรื่องราวที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ (behind the scenes) ในโลกของนักเขียนมาเปิดเผยให้เห็นว่านักเขียนต้องประสบพบเจออะไรบ้างนอกเหนือจากภาพที่ตาเห็นและเรื่องราวในหนังสือ เขาเลือกใช้รูปแบบของเมตาฟิกชั่น (metafiction) ที่คอยเตือนผู้อ่านอยู่เสมอว่าเรื่องที่อ่านอยู่เป็นเรื่องแต่งมาล้อกับการใช้จินตนาการสร้างเรื่องราวของนักเขียนที่ผูกอยู่กับเรื่องจริงและเรื่องแต่งเป็นวิธีดำเนินเรื่อง ในขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามกับตัวตนของความเป็นนักเขียนและสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาผ่านผลงานอย่างแหลมคม
ออซเลือกใช้แรงขับทางเพศของนักเขียนชายวัยกลางคนผ่านการเคลิ้มฝันมาเปิดเผยให้เห็นถึงสภาวะของความมั่นใจและไม่มั่นใจของเพศชายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเพศหญิงในบางสถานการณ์ ซึ่งเปิดช่องให้ตีความได้ว่าเพศหญิงในที่นี้อาจมีความหมายโดยนัยไปถึงรางวัลหรือการประสบความสำเร็จที่ได้มาจากการเขียน ท่าทีของการไล่ล่า ลดละ เมินเฉย ไม่แน่ใจ เสียดาย และออกตัวต่อผลที่ได้รับ ทำให้เห็นถึงสภาพจิตใจและการรับมือของนักเขียนที่อยู่ในสนามแห่งการแข่งขัน (อาจจะเป็นการบอกใบ้กันตรงๆ ด้วยซ้ำว่ารางวัลไม่ใช่ผลพลอยได้ อย่าไปเชื่อ)
ท่าทีของการไล่ล่า ลดละ เมินเฉย ไม่แน่ใจ เสียดาย และออกตัวต่อผลที่ได้รับ ทำให้เห็นถึงสภาพจิตใจและการรับมือของนักเขียนที่อยู่ในสนามแห่งการแข่งขัน
หากเทียบกับผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังของออซอย่าง My Michael, Judas, How to Cure a Fanatic หรือ A Tale of Love and Darkness (เล่มหลังกำลังอยู่ในขั้นตอนการแปลเป็นภาษาไทย) Rhyming Life and Death อาจเป็นหนังสือที่ดูเงียบๆ อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวท่ามกลางญาติพี่น้องที่ประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเนื้อเรื่องไม่มีพลอตที่ชวนติดตามหรือตื่นตาตื่นใจ และเวียนวนอยู่กับประเด็นไม่กี่เรื่อง แต่เรื่องเล่าของชีวิตนักเขียนไม่กี่ชั่วโมงนี้ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานของออซเปิดเผยอยู่
ในรายการ PBSNewsHours เมื่อปี 2016 ออซได้กล่าวถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของการทำงานของเขาว่า
“ตัวละครก่อนเสมอ ผมเดินไปเดินมาอยู่กับตัวละครเป็นเวลานานก่อนจะเขียนสักประโยค และเมื่อในหัวของผมหรือในความรู้สึกของผม ตัวละครเริ่มมีการตอบโต้กัน สิ่งที่ตัวละครกระทำต่อกันก็คือพล็อต จากนั้นผมจึงเริ่มการเขียน ถ้าคุณจำเป็นต้องสรุปให้กระชับที่สุด สิ่งที่เรากระทำต่อกันคือประเด็นหลักเพียงอย่างเดียวของวรรณกรรม”
กระบวนการสร้างมิติของตัวละครของออซได้ถูกแสดงให้เห็นอย่างละเอียดผ่านการเคลิ้มฝันของนักเขียนใน Rhyming Life and Death ตัวละครแต่ละตัวที่นักเขียนสร้างขึ้นเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและมีเรื่องราวซับซ้อนให้ค้นหาผ่านบุคลิกและการแสดงออก และบางคนในนั้นน่าสนใจกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับตัวนักเขียนในเรื่องเองเสียอีก (เรื่องแต่งสนุกกว่าเรื่องจริงไปสู่เรื่องแต่งสนุกกว่าเรื่องแต่ง) ออซซ้อนสอดงานเขียนลงไปในงานเขียนด้วยชั้นเชิงแบบโพสต์โมเดิร์นเพื่อเน้นย้ำสิ่งที่เขากำลังเสนอ สิ่งที่กลับไปสู่คำถามตั้งต้นในการเปิดเรื่องและฉากเบื้องหลังเพื่อเป็นคำตอบและตัวอย่างให้เห็นถึงแก่นสำคัญที่สุดในการเขียนของเขา
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น หนังสือเล่มนี้อาจไม่มีพล็อตที่ชวนติดตามตื่นตาตื่นใจ แต่ก็มีสิ่งไม่น้อยหน้าที่เรียกว่าเบื้องหลังการถ่ายทำ
Fact Box
- ในวัยหนุ่ม อามอส ออซ ได้เข้าร่วมทำงานกับคิบบุตซ์ฮุลดา (Kibbutz Hulda) หรือชุมชนเกษตรกรรมเชิงอุดมคติที่มีอยู่ทั่วอิสราเอล เมื่อเริ่มเขียนหนังสืออย่างจริงจังและมีชื่อเสียง ออซเคยขอพักจากงานในทุ่งมาเขียนหนังสือ ครั้งนั้นเขาถูกวิจารณ์และตัดสินจากหัวหน้างานในคิบบุตซ์ว่า “อามอสหนุ่มอาจจะเป็นตอลสตอยคนใหม่ แต่กับอายุเพียง 22 ปี เขารู้อะไรเกี่ยวกับชีวิต? ไม่เลย เขาไม่รู้อะไรเลย ให้เขาทำงานในท้องทุ่งกับเราอีก 20 ปี 25 ปี จากนั้นเขาค่อยเขียนสงครามและสันติภาพ สำหรับเรา”
- ผลงานของออซถูกดัดแปลงไปเป็นภาพยนตร์หลายเรื่องได้แก่ A Tale of Love and Darkness, My Michael, The Little Traitor (เรื่องนี้ดัดแปลงจากนวนิยายเรื่อง Panther in the Basement)
- Rhyming Life and Death ตีพิมพ์ครั้งแรกในภาษาฮิบรู เมื่อปี 2007 และตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษในปี 2009
- อามอส ออซ เสียชีวิตในวัย 79 ปี เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2018 ด้วยโรคมะเร็ง ร่างของเขาถูกฝังไว้ที่คิบบุตซ์ฮุลดา ชุมชนเกษตรกรรมที่เขาใช้ชีวิตอยู่กว่า 30 ปี