เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศจัดงานเสวนาวิชาการ เนื่องในโอกาสครบรอบ 150 ปี การสถาปนากระทรวงการต่างประเทศ ในหัวข้อ ‘Decoding the World on Stage ไทยกับบริบทโลกใหม่: การทูตไทยควรรุกอย่างไร’ โดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในวิทยากร เปิดบทสนทนาการทูตไทยในบริบทโลกปัจจุบัน ภายใต้หัวข้อ In the Midst of Trump Storm

สุรชาติชวนมองโลกในวันที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) กลับมานั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางความวุ่นวายอย่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน, สงครามอิสราเอล-กาซา, สงครามการค้า จนถึงความอันตรายในช่องแคบไต้หวัน โดยเปรียบเทียบสถานการณ์ดังกล่าวกับแนวคิดรัฐนาวาว่า ขณะนี้ทุกคนกำลังอยู่ในมหาสมุทรกว้างใหญ่และเจอพายุที่ชื่อทรัมป์ ถึงแม้ตนไม่ทราบว่า ผู้นำสหรัฐฯ เป็นพายุแบบใด แต่ก็หวังว่า เรือจะไม่เผชิญโศกนาฏกรรมแบบไททานิก 

ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเริ่มต้นอธิบายว่า ทรัมป์คือ ‘นักการเมืองนอกกระแส’ เป็นปรากฏการณ์ที่โลกไม่คุ้นชิน และเปรียบดังภาพสะท้อนผู้นำฝ่ายขวาประชานิยม (Ring Wing Populism) แนวคิดใหม่ที่สุดในทางรัฐศาสตร์ ซึ่งมีโลกทัศน์ตรงกันข้ามกับผู้นำอเมริกาที่ผ่านมา เช่น มองจีนเป็นภัยคุกคาม แต่เห็นว่ารัสเซียเป็นมิตร ขณะที่ละทิ้งชาติพันธมิตร เพราะเชื่อว่า ทุกประเทศในโลกเอาเปรียบสหรัฐฯ โดยใช้กำแพงภาษีเป็นเครื่องมือในการปกป้องตนเอง ซ้ำร้ายสหรัฐฯ จะไม่เล่นบทเป็น ‘ตำรวจโลก’ เช่น จ่ายเงินช่วยเหลือความมั่นคง และพยายามลดการข้องเกี่ยวกับกิจการนอกบ้านลง

สุรชาติมองว่า ขณะนี้ทรัมป์กำลังยึด ‘นโยบาย 3 ไม่’ เป็นหัวใจสำคัญในการบริหารประเทศ ได้แก่ ไม่ยึดถือผลประโยชน์เดิม ไม่ยึดโยงระบบพันธมิตรเดิม และไม่ยึดมั่นพันธกรณีระหว่างประเทศแบบเดิม โดยเหล่านี้กำลังส่งผลกระทบต่อระเบียบโลกโดยตรง ทำให้นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่า แล้วต่อจากนี้ ‘ระเบียบโลกเสรีนิยม’ (Rule-based World Order) จะยังคงอยู่ต่อไปไหม

แม้คำตอบยังไม่แน่ชัด แต่สถานการณ์ปัจจุบันก็ชัดเจนว่า นโยบาย 3 ไม่ ก่อให้โลกเกิดปัญหา 3 อย่าง (3D) ได้แก่ การหันหลังให้กระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization), การแยกส่วนอุปทานกับประเทศอื่นๆ อย่างจีน (Decoupling) และความวุ่นวาย (Disruption) ซึ่งวันนี้ปัญหาเหล่านั้นส่งผลกระทบในภาคส่วนประชาชนอย่างเห็นชัดที่สุดคือ ปัญหาทางเศรษฐกิจ

ขณะที่ ‘สงครามการค้า’ ในทุกวันนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาสำคัญอย่าง การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัฐมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเกิดขึ้นในทุกมิติทั้งสงครามการเมือง สงครามเทคโนโลยี หรือการแข่งขันสะสมอาวุธ 

การแข่งขันข้างต้นทำให้เห็นว่า โลกกำลังเข้าสู่วิกฤตถาวรครั้งสำคัญที่เรียกว่า Permacrisis หรือ ‘สงครามเย็น’ ครั้งใหม่ ซึ่งเป็นศัพท์ที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา จากการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ดุเดือด ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจากรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ระบุว่า ขณะนี้โลกมีบรรยากาศเหมือนกับก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงชวนตั้งคำถามว่า ท่ามกลางสถานการณ์นี้ ไทยจะดำเนินนโยบายรับมืออย่างไร

“เราได้ยินบ่อยที่สุด ทั้งจากสื่อหรือนิสิตตอบคำถามว่า ไทยต้องเป็นกลาง แต่เราเคยถามกลับไหมว่า ความเป็นกลางที่เราพูดถึงคืออะไร” สุรชาติเปรียบเปรยบริบทนโยบายความเป็นกลางในปี 1938 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสยามประกาศความเป็นกลางเหมือนกับเบลเยียม แต่สุดท้าย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำนาซี ก็ล้มจุดยืนความเป็นกลางของเบลเยียมทิ้ง เหมือนกับญี่ปุ่นที่ล้มความเป็นกลางของไทยในช่วงสงครามโลกเช่นเดียวกัน

ขณะที่ประโยคยอดฮิตในทางรัฐศาสตร์คือ การแนะนำให้ไทยดำเนินนโยบายแบบ ‘สนต้านลม’ หรือ ‘สนลู่ลม’ อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เห็นว่า ในกรณีที่ลมแรงเช่นนี้ สนไทยยังจะต้านทิศทางลมได้อยู่ไหม หรือจริงๆ แล้ว สนสยามหักไปนานแล้ว 

“หรือไทยจะ ‘คบซ้อน’ คบทุกฝ่าย รักทุกฝ่าย คบหมด ซึ่งหากไปดูในอดีตจะเห็นว่า พระองค์วรรณ (พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์) เข้าร่วมประชุมความตกลงบันดุง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทั้งๆ ที่ไทยเลือกข้างเรียบร้อยในเวลานั้น ถามว่า เราฝักใฝ่ฝ่ายใดไหม ไทยฝักใฝ่เต็มตัวในปี 1955 แต่เราก็มีอาการคบซ้อนแบบนี้

“หรือไทยจะเป็นนางอาย หรือเดิมผมเรียกว่า นโยบาย Stealth Policy ไม่เอาตัวไปปรากฏบนจอเรดาร์โลก เป็นเครื่องบินล่องหน หรือไทยจะเป็นจ่าเฉย ไม่รับรู้ความเป็นไปของโลก โลกเกิดอะไรก็ตาม เราจะอยู่แบบแยกตัวโดดเดี่ยวจากโลก (Isolationism)” อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ยังทิ้งตัวเลือกอื่นๆ เช่น ไทยจะเป็นนักผจญภัย โลกาชน เลือกข้างตามประเด็น หรือนักผจญเพลิงที่กระโจนเข้าร่วมกับทุกฝ่าย

สุรชาติทิ้งท้ายการเสวนาว่า ในบริบทโลกที่สงครามเย็นครั้งใหม่รุนแรงกว่าครั้งก่อน หากสนสยามถูกทำลายไปแล้ว เป็นไปได้ไหมที่ไทยจะใช้วิธีเลือกคบซ้อนอยู่กับทุกกลุ่ม แต่ก็ต้องกลับมาตั้งคำถามว่า ประเทศได้อะไรจากความสัมพันธ์ดังกล่าวด้วย ก่อนจะฝากให้ชวนคิดว่า ผู้มีอำนาจที่กำหนดนโยบายในไทย มีความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เหมือนกับที่สยามในอดีตพร้อมเลือกข้าง และเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 กับชาติตะวันตกหรือไม่

Tags: , , , , , , , , , ,