วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2568) แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตอบกระทู้ถามสดของ อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ตอนหนึ่งว่า การแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์ของรัฐบาลได้ผลชัดเจน สามารถระงับบัญชีม้า 1.92 ล้านบัญชี หรือเป็นจำนวน 1.44 แสนรายชื่อ และยังสั่งการต่อเนื่องให้ดูพฤติกรรมต่อว่าเปิดบัญชีที่ไหนหรือไม่ ให้คนถือซิมการ์ดต้องมีไม่เกิน 6 เบอร์ และสามารถยืนยันตัวตนได้ด้วย ขณะเดียวกันยังมีการระงับซิมต้องสงสัยได้กว่า 2.8 ล้านเลขหมาย
ขณะเดียวกันหลังการตัดไฟ ระงับการขนส่งเชื้อเพลิง น้ำมัน ก็ทำให้สถานที่ทำการของอาชญากรรมข้ามชาติมืดลง การใช้ไฟก็น้อยลง เพราะตัดไปแล้ว แล้วยังมีการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ เคลื่อนย้ายคนออกจากสถานที่ ทำให้อัตราการใช้ไฟก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ก็ลดลง ทำให้ต้นทุนของขบวนการคอลเซ็นเตอร์สูงขึ้นชัดเจน
ทั้งหมดนี้ทำให้กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติจำนวนมากปิดตัวและลดขนาดลง เพราะไม่สะดวกกับการตั้งขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว ขณะเดียวกันยังมีการส่งตัวขบวนการคอลล์เซ็นเตอร์จำนวนไม่น้อยกลับไปยังประเทศต้นทาง โดยส่งกลับไปแล้วกว่า 700-800 คน และอาจส่งกลับรวมกว่า 7,000-1 หมื่นคน
นอกจากนี้ยังมีการรื้อถอนเสาสัญญาณ ไม่ให้หันไปประเทศเพื่อนบ้าน ลดความสูงของเสา ปราบปรามในเรื่องของการส่งสัญญาณข้ามแดนว่า มีการโทรศัพท์เกินกว่าปกติหรือไม่ หากโทรศัพท์มากเกินปกติก็สามารถปิดซิม ระงับ Wifi Calling ได้เลย อีกทั้งยังจัดระเบียบผู้ซื้อบริการโทรคมนาคมให้ต้องมีไลเซนส์เท่านั้น
แพทองธารยังระบุตัวเลขด้วยว่า ก่อนหน้านี้ความเสียหายจากขบวนการคอลเซ็นเตอร์อยู่ที่ 100 ล้านบาทต่อวัน แต่ในวันนี้ลดลงชัดเจนเหลือ 50 ล้านบาทต่อวันเท่านั้น ทั้งนี้ยืนยันว่า ถ้ามีการช่วยกันจัดการอย่างบูรณาการ คอลเซ็นเตอร์จะต้องหมดไปอย่างแน่นอน
นายกฯ ยังกล่าวด้วยว่า นับจากนี้จะตรวจสอบในส่วนของประเทศกัมพูชาต่อไป โดยวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 จะเดินทางไปยังจังหวัดสระแก้ว เพื่อตรวจสอบเรื่องคอลเซ็นเตอร์ต่อไป
“นักการเมือง นายทุน ข้าราชการ ใครก็ตามที่มีอิทธิพล ดิฉันขอให้คำมั่นสัญญากับสภาฯ ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง ให้ทุกคนมั่นใจว่า ไม่ว่าเป็นใครก็ตาม สูงใหญ่แค่ไหนก็ตาม ถ้าทำผิด แปลว่าทำให้คนไทยเดือดร้อน จะจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด และมั่นใจว่าจะทำเรื่องนี้อย่างเต็มที่แน่นอน”