เมื่อวานนี้ (12 มีนาคม 2568) รัฐสภายุโรป (European Parliament) ออกข้อมติร่วมว่าด้วยเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะในเรื่องการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และการส่งชาวอุยกูร์ไปยังประเทศจีนในช่วงเดือนที่ผ่านมา
ในเอกสารของรัฐสภายุโรปได้ระบุประเด็นข้อกังวลต่อเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนไว้ ดังนี้
1. สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ทางการไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์กว่า 40 รายไปยังประเทศจีน ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงถูกคุมขังโดยพลการ การทรมาน ตลอดจนถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ทั้งๆ ที่มีข้อเสนอจากประเทศอื่นที่ปลอดภัยว่าจะจัดการเรื่องการย้ายถิ่นฐานให้ชาวอุยกูร์ใหม่
2. ในรายงานว่า ระหว่างการควบคุมตัวชาวอุยกูร์ที่ศูนย์ตรวจคนเข้าเมืองของประเทศไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มีชาวอุยกูร์จำนวนไม่น้อยกว่า 5 ราย ซึ่งบางส่วนเป็นเยาวชน เสียชีวิตระหว่างการถูกควบคุมตัว
3. การบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของประเทศไทยมีความเข้มงวดมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งไม่เป็นไปตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ที่ไทยเข้าเป็นภาคี
4. นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีนักกิจกรรมเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยไม่น้อยกว่า 1,960 ราย ซึ่งรวมทั้งสื่อมวลชนและนักสิทธิมนุษยชน ถูกตั้งข้อหาจากการแสดงความคิดเห็นของพวกเขา โดยใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, กฎหมายชุมนุมสาธารณะ และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ขณะเดียวกันก็มีนักกิจกรรมหลายรายถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็น อานนท์ นำภา, มงคล ถิระโคตร และอัญชัญ ปรีเลิศ
5. จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาสั่งยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้งยังมีการตั้งข้อกล่าวหาต่อ 44 สส.ของพรรค ในการเข้าชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต
โดยรัฐสภายุโรปจึงมีข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้
1. ประณามการส่งตัวชาวอุยกูร์ไปยังประเทศไทย และเรียกร้องให้ประเทศไทยยุติการส่งตัวผู้ลี้ภัยและผู้เห็นต่างทางการเมืองกลับสู่ประเทศที่อาจทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่อชีวิต
2. เรียกร้องให้รัฐบาลไทยอนุญาตให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugees: UNHCR) เข้าถึงตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ถูกควบคุมตัว ตลอดจนการให้ข้อมูลถึงสถานะของพวกเขาอย่างโปร่งใส
3. เรียกร้องให้ประเทศจีนเคารพต่อสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวไป ตลอดจนรับรองความโปร่งใสของข้อมูลสถานที่พำนักของชาวอุยกูร์ และเปิดให้ UNHCR เข้าพบและปล่อยตัวผู้ถูกคุมขัง
4. เรียกร้องให้ประเทศไทยให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัยปี 1951 และพิธีสารเพิ่มเติมปี 1967 (The 1951 Convention and its 1967 Protocol) และดำเนินการปฏิรูประบบการลี้ภัยให้เป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และมีมนุษยธรรม
5. สนับสนุนให้ประเทศไทยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันหลักตามระบอบประชาธิปไตยให้เป็นไปตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล อีกทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตลอดจนกฎหมายปราบปรามอื่นๆ เพื่อรับรองสิทธิในการแสดงความคิดเห็น การชุมนุมโดยสงบ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
6. เรียกให้นิรโทษกรรมแก่ สส.และนักกิจกรรมต่างๆ ที่ถูกดำเนินคดีหรือจำคุก จากกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือกฎหมายที่กดขี่เสรีภาพทางการเมือง
7. เรียกร้องให้คณะกรรมาธิการใช้เวทีการเจรจาลงนามความร่วมมือเขตการค้าเสรีระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (FTA) ในการกดดันประเทศไทยให้มีการปฏิรูปกฎหมายปราบปราม โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อีกทั้งกดดันให้ประเทศไทยปล่อยตัวนักโทษทางการเมือง ยุติการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ และให้สัตยาบันอนุสัญญาหลักทั้งหมดขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) พร้อมเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกยุติสนธิสัญญาการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศจีน
8. มอบหมายให้ประธานรัฐสภายุโรปส่งมติดังกล่าวไปยังคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป คณะกรรมาธิการยุโรป ตลอดจนทางการไทยและทางการจีน
สำหรับ FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป นั้นเป็นที่หมายมั่นปั้นมือของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เพราะมีการคาดการณ์ว่า จากความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างมหาศาลจากทั้งการสนับสนุนการส่งออก และการลงทุนที่จะเข้ามาในประเทศที่มีมากขึ้น
อ้างอิงจากสถิติการค้าระหว่างประเทศ จากกระทรวงพาณิชย์พบว่า สหภาพยุโรปนั้นเป็นคู่ค้าที่สำคัญของประเทศไทย ในปี 2566 ไทยมีมูลค่าการส่งไปยังภูมิภาคนี้สูงถึง 7.98 แสนล้านบาท
Appendix
Tags: การค้า, อียู, FTA, ม112, ปฏิรูป, EU, สิทธิมนุษยชน, กฎหมาย, ไทย