วันนี้ (13 กรกฎาคม 2566) ในการประชุมรัฐสภา เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นอภิปรายตอนหนึ่งถึงคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี โดยกล่าวถึง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ว่ามีใจมุ่งมั่นในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พร้อมกับระบุว่า พรรคก้าวไกลมีเจตนาชัดเจนในการยกเลิกกฎหมายดังกล่าว พร้อมกับลดโทษให้ผู้ที่หมิ่นพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน

“ท่านจะแก้ทั้งมาตราหรือจะทำอะไรก็ได้ แต่ท่านคิดไหมว่า ถ้าท่านแก้ ม.112 บ้านเมืองนี้จะสงบ บ้านเมืองนี้จะสงบ วันนี้ท่านรับเลือกตั้งมาแล้ว ท่านเก็บเรื่องนี้ไว้ในกระเป๋าให้ได้ ถ้าแก้ 112 จะล่มจม ท่านมีนโยบาย 200-300 ข้อ ท่านลดข้อนี้ไว้ข้อเดียว ท่านยังไม่ยอมเลย” ชาดาระบุตอนหนึ่ง

นอกจากนี้ ชาดายังยกคำพูดของ ‘ผู้นำจิตวิญญาณ’ ของพรรคก้าวไกลว่า ถ้าพิธาเป็นนายกฯ จะให้ไปลงนามในปฏิญญาศาลอาญาระหว่างประเทศกรุงโรม (ICC) ซึ่งมีความหมายโดยนัยว่า คนนอกประเทศฟ้องในหลวง ฟ้องพระมหากษัตริย์ได้ ซึ่งโดยส่วนตัวคงทำใจไม่ได้ เพราะการฟ้องประมุขของรัฐคือฟ้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ขณะเดียวกัน ชาดายังได้ตั้งคำถามถึงพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลว่า เกิดมาเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ และถ้าไม่แก้ไขแล้วประเทศนี้จะล่มจมหรือ โดยเชื่อว่า ประชาชน 14 ล้านเสียงที่เลือกพรรคก้าวไกล ‘ไม่รู้’ ว่าพรรคนี้จะมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 และเมื่อรู้ภายหลังก็คงไม่เห็นด้วย

“ท่านยืนอย่างเดียว กูไม่ยอม ทำให้ผมคิดอย่างเดียวว่า พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล เกิดมาเพื่อล้มล้าง เพื่อแก้กฎหมายตรงนี้หรือ แต่ท่านไม่ยอมอะไรเลย กูจะต้องถือ 112 ไว้ในกระเป๋า จะต้องทำลาย ผมไม่เข้าใจ วันนี้ไม่ต้องชี้ที่ ส.ว. ไม่ต้องชี้ที่ฝั่งนี้ ท่านชี้ที่ตัวท่านเอง ไม่ยุ่งกับ 112 ภูมิใจไทยจะลงให้ท่าน แล้วไม่ร่วมรัฐบาลด้วย แต่ท่านก็ไม่ยอม

“ถ้าท่านถือว่าการแก้ไข 112 เป็นพันธกิจของท่าน เป็นสิ่งที่ท่านต้องทำให้ได้ ผมและพรรคภูมิใจไทย และพี่น้องประชาชนหลายคนก็ถือว่า เป็นพันธกิจของเราทุกวันที่จะคัดค้านท่านทุกวินาที ทุกอย่าง ทุกทาง ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่

“14 ล้านเสียงไม่ใช่เทวดา เป็นเสียงของประชาชน แต่ก็ไม่ถึง 20% มันเป็นอย่างไร ผมไม่เข้าใจ ผมดูข่าวมา 3-4 เดือน เขาบอกว่าฝั่งนู้นเป็นประชาธิปไตย แล้วผมเป็นฝั่งไหนวะเนี่ย

“ผมก็หาเสียงท่อมๆๆ กลัวสอบตกเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าลุงตู่แต่งตั้ง หรือ คสช.แต่งตั้งมา ผมก็เลือกตั้งมา ไม่ใช่ฝั่งประชาธิปไตย แล้วฝั่งไหน ฝั่งโจรเหรอ ให้ผมเป็นโจรก็ยอม เป็นโจรที่รักชาติ รักสถาบันฯ เป็นโจรที่ปกป้องบ้านเมืองนี้ และปกป้องสถาบันฯ ด้วยหัวใจ ด้วยเลือดเนื้อของผม”

ชาดายังกล่าวด้วยว่า โดยส่วนตัวเป็นคนชาติพันธุ์ ปู่เดินทางมาจากต่างประเทศ ตามาจากต่างประเทศ ยายเป็นไทยแท้ และย่าเป็นคนไทยเชื้อสายมอญ ไม่ได้มีเสื่อผืนหมอนใบเหมือนคนจีน หากแต่มีโสร่งผืนเดียว ได้มาอยู่จังหวัดอุทัยธานี และได้พึ่งบรมโพธิสมภารของในหลวง จากนั้น ชาวบ้านได้ให้เครดิตในการทำธุรกิจส่งควายออกไปต่างประเทศ

“ผมเรียนด้วยความเคารพ ผมอยู่ดีกินดีกว่าคนไทยแท้ๆ อีกเป็นล้านคน ดีกว่าคนไทยแท้ๆ อีกล้านคน ถ้าผมไม่สำนึกต่อแผ่นดินนี้ ก็ไม่สมควรเป็นคน

“ผมเรียนว่าบ้านเรามีเจ้าของ สิ่งที่บรรพบุรุษทำเรามากมายเหลือเกิน เราอาศัยเขาอยู่ มาขอเขาอยู่ ว่าสงครามมันวุ่นวาย เมื่อปี 2310 พม่ามันตี ก็เข้ามาอยู่ แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นอยู่ไปอยู่มาลูกหลานคนอาศัย จะไล่เจ้าของบ้าน ถ้าไม่ได้ด้วยเมตตาของพระมหากษัตริย์

“ผมบอกตามตรง ท่านไม่ได้เลือกตั้งหรอก ถ้าไม่มีพระมหากษัตริย์ ท่านไม่ได้ 140 ที่นั่งหรอก ท่านลองไปพม่า อเมริกาช่วยอะไรได้ ทหารมันยิงดิ้นหมด วันนี้เหมือนกัน ถ้าไม่มีในหลวง ไม่มีสถาบันฯ ลุงตู่ ลุงป้อม ไม่กลับบ้านง่ายๆ หรอก มีแต่จะลากเอ็ม 16 มาเล่นกับพวกคุณ”

ชาดายังระบุด้วยว่า หากปล่อยให้คนด่าพระมหากษัตริย์แล้วไม่มีความผิด ประเทศจะยิงกันวุ่นวายไปหมด และหากเป็นเช่นนั้น ก็จะขอออกกฎหมายใหม่บ้างว่า “ยิงคนหมิ่นสถาบันฯ แล้วไม่ติดคุก” จะเอาอย่างนั้นหรือไม่

Tags: , ,