วันนี้ (12 กรกฎาคม 2566) ที่สกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน กลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกันตามการนัดหมายของ อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนและแกนนำกลุ่มราษฎร โดยอานนท์ขึ้นปราศรัยเวลา 19.45 น. และปราศรัยตอนหนึ่งว่า ครั้งนี้เสียงของประชาชน ‘ชัดเจน’ กว่า 25 ล้านเสียงที่เลือกรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยมาเป็นสิ่งที่เป็นประชามติและเอกฉันท์มาก แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นการวางยาทางการเมืองผ่านทายาทอย่างสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ฝ่ายเผด็จการวางหมากเอาไว้
“เมื่อคนตื่นจากหลับกันแล้ว ไม่ใช่แค่คนรุ่นใหม่ เขาไว้ใจให้ฝ่ายประชาธิปไตยจับมือกัน แต่ 26 จังหวัดที่เลือกเพื่อไทยเขาไว้ใจว่า จะไม่มีใครจับมือกับ 3 ป.แน่นอน”
อานนท์กล่าวอีกว่า จากการกระทำของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เร่งรีบเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้เอาผิด พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลในวันนี้ ถือเป็นการทำผิดกฎของ กกต.เองด้วย ทั้งการเลือกโจมตีพิธาก่อนวันเลือกนายกรัฐมนตรี รวมถึงการเร่งรีบรับเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญที่เตรียมเอาผิดพิธาและพรรคก้าวไกล กรณีแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าอาจผิดรัฐธรรมนูญซึ่งทั้งหมดคือความผิดปกติ
“วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเสนอให้แก้ไข ม.112 ว่าเป็นการล้มล้าง อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ คือมีคำสั่งให้พรรคที่โดนกล่าวหายุติการกระทำ หมายความว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งพรรคก้าวไกลให้ยุตินโยบายนี้ คือยุติการแก้ไขมาตรา 112 ถ้าสั่งเรื่องนโยบายได้ แปลว่าศาลกำลังบริหารประเทศผ่านคำสั่งศาล ซึ่งไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแน่นอน
“ศาลที่ใช้อำนาจตุลาการจะมาก้าวก่ายอำนาจบริหารไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเราจะมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่บริหารโดยศาลรัฐธรรมนูญ นี่คือสิ่งที่จะต้องยืนยัน คุณต้องไม่ปิดประตูการเอากฎหมายทั้งหมดไปเถียงในสภาฯ เพื่อเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้คนเห็นต่างจากประชาชน”
นอกจากนี้ อานนท์ยังปลุกใจเชิญชวนให้ประชาชนเข้าชุมนุมและจับตามองการเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ที่รัฐสภาในวันพรุ่งนี้ พร้อมกับขอแรงเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อส่งเสียงของประชาชน อีกทั้งยังกล่าวว่า หากการจัดตั้งรัฐบาลยังมีความฉ้อฉล จะมีการเคลื่อนไหวก้าวต่อมาของประชาชนแน่นอน
“ถ้าพรุ่งนี้เราถูกหักหลัง เราถูกปิดประตูการเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากจากประชาชน การลุกขึ้นสู้ของประชาชนทั่วประเทศสัปดาห์หน้าเกิดขึ้นแน่นอน พวกคุณจะดูถูกเหยียดหยามอย่างไรก็ได้ แต่เสียง 25 ล้านเสียง กำหนดอนาคตประเทศไว้แล้ว จะเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ไม่ได้
“นี่เป็นสัญญาณการดิ้นครั้งสุดท้ายของฝ่ายอนุรักษนิยม และการดิ้นครั้งสุดท้ายมักแสดงความหน้าด้านมากที่สุด เราอาจได้เห็นเรื่องแปลกๆ ในวันพรุ่งนี้ เช่น ส.ว.ติดโควิด ส.ว.ไม่อยากเข้าสภา ส.ว.กลัวม็อบ พรุ่งนี้เราจะได้เห็น จำชื่ออย่างเดียวไม่พอ จำนามสกุลด้วยว่าคนเหล่านี้เป็นปฏิปักษ์กับการปกครองอย่างแท้จริง การเลือกตั้งที่ผ่านมานั้นสมบูรณ์แล้ว เพราะพวกเราชนะ ต่อให้พวกเขาเขย่งยังไงก็สู้ไม่ได้ นับใหม่ก็สู้ไม่ได้ เพราะคนในสังคมเลือกแล้วว่า จะให้ฝ่ายประชาธิปไตยได้บริหารประเทศ”
ขณะเดียวกัน อานนท์ยังได้ให้กำลังใจพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 8 พรรค ให้เกาะกันให้เหนียวแน่น แล้วผู้ชุมนุมทุกคนจะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ พร้อมกับกล่าวชื่นชม นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ที่เดินทางมาให้กำลังใจผู้ชุมนุม
“พรุ่งนี้เลิกงาน ถนนทุกสายจะมุ่งสู่รัฐสภา ถ้าโหวตแล้วหักหลังประชาชน สัปดาห์หน้าเจอกันทั้งแผ่นดิน ให้พรุ่งนี้เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ “