ถึงตอนนี้คงไม่ต้องบอกว่าการที่พวกเขามีอัลบั้มเต็มครั้งแรก มันดีแค่ไหน ได้ทัวร์คอนเสิร์ต เล่นเพลงของตัวเองได้มากพอ ได้ทยอยปล่อยเอ็มวีผ่านยูทูบ และได้บอกเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปของแต่ละเพลงผ่านสื่อต่างๆ อย่างไม่รู้เบื่อ

ปอ – กฤษสรัญ จ้องสุวรรณ (นักร้อง) และน้ำวน – วนนท์ กุลวรรธไพสิฐ (กีต้าร์) สองหนุ่มวง Whal & Dolph ที่หลายสื่อต่างเรียกว่าแก๊งปลาที่มีเอ็มวีเพี้ยนๆ แต่ก็สร้างการจดจำให้กับคนดูได้อย่างดี บอกกับเราหลังปล่อยอัลบั้มแรกในชีวิต ‘Rayon’ ออกมาเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ภายใต้สังกัด What The Duck ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีบนเส้นทางนักดนตรีอาชีพของทั้งคู่

ความเร็วขนาดใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน สามารถทำเพลงทั้ง 13 เพลง เพื่อให้เสร็จสิ้นในอัลบั้มนี้ ส่วนหนึ่งต้องยกให้ปอ – กฤษสรัญ ผู้แต่งเพลงเองทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ในการเขียนเนื้อเพลง ก็ต้องมาจากประสบการณ์ความรักที่มากพอดู

ขณะที่น้ำวนก็อาจคิดไลน์กีต้าร์เพื่อให้เข้ากับเพลงที่ปอเขียน โดยไม่ต้องอธิบายว่ามันคือเพลงป็อปแบบไหน เพราะเพลงป็อปมันก็คือเพลงป็อป

ปอ – กฤษสรัญ จ้องสุวรรณ (นักร้อง) และน้ำวน – วนนท์ กุลวรรธไพสิฐ (กีต้าร์)

พวกเขามีเพลง ‘หากมันจะสายเกินไป’ ที่เคยขึ้นไปอยู่อันดับ 1 ของคลื่น Cat Radio พร้อมกับเอ็มวีที่ทำออกมาได้สร้างสรรค์เอามากๆ

Rayon อาจดูเหมือนอัลบั้มเพลงป็อปทั่วไปที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักหนุ่มสาว แต่หากพิจารณาอย่างดีแล้ว จะเห็นว่าแต่ละเพลงมีความหลากหลายทางดนตรีหากแต่อยู่บนพื้นฐานของเพลงป็อปที่ฟังง่าย ซึ่งแนะนำว่าให้หยิบอัลบั้มนี้มาฟังในช่วงหน้าร้อน เพราะเสียงกีต้าร์ของน้ำวนที่ฟังดูเบาสบายจะพาเราผ่านหน้าร้อนนี้ไปด้วยกัน

ทราบมาว่าทั้งคู่ต่างมีวงดนตรีของตัวเอง ก่อนจะมาเป็น Whal & Dolph

ปอ: ผมเริ่มทำวงดนตรีกับเพื่อนๆ ตั้งแต่อยู่ ม. 6 ก็ผ่านมาหลายเพลง ส่วนใหญ่เป็นแนวร็อกอัลเทอร์เนทีฟ แต่พอทำมาสักพักหนึ่งรู้สึกว่าถึงทางตันของเราที่จะทำได้ พอดีเราเป็นเพื่อนกับน้ำวนอยู่ เขาก็ลองชวนมาทำ Side Project เล่นๆ กันไหม ก็เลยมาทำเพลงป็อปซึ่งเราไม่เคยทำมาก่อนเลยในชีวิตนี้ เลยเกิดเป็นเพลงแรกชื่อว่าเพลง ‘ยิ้ม’ ปล่อยออกมาตั้งแต่ก่อนยังไม่มีค่าย นั่นคือจุดเริ่มต้นของ Whal & Dolph  

น้ำวน: ผมทำดนตรีตั้งแต่เรียนที่ดุริยางคศาสตร์ ม.ศิลปกร ผมก็เล่นเพลงคนอื่นเนี่ยแหละ แล้ววันหนึ่งก็อยากมีเพลงเป็นของตัวเอง ก็เลยฟอร์มวงกับเพื่อนตั้งแต่สมัยนั้น เราปล่อยเพลงออกมาก็ได้รับความนิยมประมาณหนึ่ง มีงานเล่นบ้างประปราย แต่เป็นงานอินดี้ที่ไม่ค่อยมีคนมาดูเท่าไหร่ หรือไม่ก็เทศกาลดนตรีตามมหา’ลัยที่คนไปกันอยู่แล้ว ซึ่งเราก็เล่นสนุกๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก สุดท้ายวงของเราก็แยกย้ายกันไปหลังเรียนจบ

ผมรู้จักกับปอตอนเล่นคอนเสิร์ต คือจะไปงานเดียวกันบ่อยมาก เพราะวงการเพลงอินดี้มันเล็ก แล้วเพื่อนของปอก็เป็นเพื่อนผมด้วย มันก็เลยต่อติดกันง่าย แล้วพอเราคิดจะทำวงด้วยกัน มีวันหนึ่งผมคิดไลน์กีต้าร์เพลง ‘ยิ้ม’ แล้วก็ส่งให้ปอฟัง ปอก็บอกว่าชอบนะ ก็เลยแต่งเพลงมาท่อนหนึ่ง แล้วก็หยุดแค่นั้น ไม่ได้ทำอะไรต่อ พอเวลาผ่านไปปีหนึ่ง เขาก็เหมือนจะคิดเพลงได้แล้ว ก็เลยแต่งเนื้อให้เสร็จ คือว่าวงนี้จริงๆ มีอายุเพียงแค่ 2 ปีเอง

ปอ: เหมือนเราเป็นเพื่อนกัน แล้วคุยกันถูกคอเรื่องดนตรี รู้สึกว่าต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง มีจุดมุ่งหมายไปในทางเดียวกัน ก็เลยเข้ากันได้ดี

คิดว่าจากวงร็อกอัลเทอเนทีฟ แล้วต้องมาทำเพลงป็อป พวกคุณต้องปรับตัวมากน้อยแค่ไหน

ปอ: จริงๆ แล้วเรามีความชอบเพลงป็อปอยู่แล้ว เราฟังเบเกอรี่มิวสิค, Sqweez Animal, Scrubb, Armchair  เราชอบหมด แต่ไม่เคยได้มีโอกาสทำเลย เพราะจริงๆ ช่วงนั้นมันคือยุคเพลงร็อกอัลเทอร์เนทีฟแบบเท่ๆ อย่างพวก Radiohead, Sonic Youth เราอยากทำดนตรีแนวนี้บ้าง สุดท้ายเรารู้ว่ามีพรสวรรค์ด้านเพลงป็อป เพราะเราฟังตั้งแต่เด็ก พอได้มาทำกับน้ำวนก็รู้ว่ามันเข้าทางเรามากกว่า

น้ำวน: เวลาทำวงมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียว มีปัจจัยหลายอย่าง เหมือนเราโตขึ้นแล้วคิดว่าถ้าอยากจะไปให้ไกลกว่านี้ แนวร็อกอัลเทอร์เนทีฟไม่รอดแน่นอน อันนี้พูดจากสถานการณ์ของวงเก่าผม ก็เลยหันมาทำเพลงป็อป ซึ่งจริงๆ แล้วก็รู้ว่ามันค่อนข้างยุ่งยากอยู่เหมือนกัน

ปอ: ตอนแรกเราเลือกเป็น Side Project เพราะมันคือส่วนหนึ่งที่เราชอบเหมือนกัน ถามว่ายังชอบฟังเพลงร็อกอยู่ไหม แน่นอน เราชอบ แต่เราก็ชอบเพลงป็อปด้วย และรู้สึกว่าเหมาะกับเรามากกว่า

น้ำวน: ผมชอบเล่นดนตรี ไม่ได้คิดว่าต้องร็อกหรือป็อป  

จุดไหนที่ทำให้รู้สึกว่าต้องทำวงกันอย่างจริงจัง

ปอ: ตอนที่เราทำเพลง ‘ยิ้ม’ เสร็จ เรารู้สึกว่าสนุกว่ะ ทำไมมันสนุกขนาดนี้ เลยคิดว่าควรทำเพลงต่อไปเรื่อยๆ ก็ทำไปอีก  3 – 4 เพลง ก็เข้าห้องอัด เริ่มจากเพลง ‘ยิ้ม’ เป็นเพลงเปิดตัว ปล่อยออกมาในช่วงเดือนธันวาคมในปี 2016 แต่ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นวงที่ไม่ได้เริ่มต้นแบบกราฟที่พุ่งทะยาน แต่เป็นแบบค่อยๆ ขึ้นมากกว่า กว่าที่คนฟังจะรู้จักเราจริงๆ ก็ปล่อยไปหลายเพลงอย่าง พ (Por), นานนาน และโอ๊ย

แล้วมาเข้าสังกัดค่ายเพลง What The Duck  ได้อย่างไร

ปอ: เริ่มจากพี่เมื่อย (ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ นักร้องนำวง Scrubb) ชวนไปเล่นงานของเขา เพราะได้ฟังเพลง ‘โอ๊ย’ ผ่านทาง Cat Radio พอเราไปเล่นแล้ว เขาก็บอกว่าพี่บอล (ต่อพงศ์ จันทบุบผา มือกีต้าร์วง Scrubb และผู้บริหารค่ายเพลง What The Duck) ก็สนใจนะ

น้ำวน: เหมือนจริงๆ รู้อยู่แล้วว่าพี่บอลน่าจะมาดู ก็คุยกันว่าถ้าเราเล่นดี เขาอาจะชวนเราไปอยู่ด้วยก็ได้นะ เพราะเขาก็สนใจเราอยู่แล้ว แต่คงอยากดูเราเล่นสดก่อน เหมือนเล่นเพื่อออดิชั่นอะไรแบบนี้ พอหลังเล่นเสร็จ ผมก็เจอพี่บอล เขาก็บอกว่าชอบเพลงนะ อยากร่วมงานด้วย ลองไปคุยกันที่ค่ายดูก่อนไหม ยังไม่ต้องเซ็นก็ได้ แค่อยากทำความรู้จักกันไว้ คือตอนแรกผมคิดว่าพอทำเพลงมาถึงจุดหนึ่ง ก็อยากเริ่มหาค่ายเพลงอยู่ แล้วที่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่ผมเล็งไว้ ตอนที่พี่บอลมาชวน ผมก็ลองไปดูโดยที่ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร แต่ดีใจมากแล้วที่มีคนสนใจ

ผมคุยกับปอว่าเราจะคุยอะไรกับเขาบ้าง เราก็เตรียมๆ ไปว่าขอทำอัลบั้มเลยได้ไหม พี่บอลเขาก็โอเค ขอเดโม่ไปฟัง แต่ไม่ได้ซีเรียส แค่อยากเห็นว่าเราพร้อมทำงานแล้วนะ ก็วางไทม์ไลน์กันว่าถ้าปล่อยช่วงนี้ทันไหม พอสรุปว่าทัน เขาก็ไฟเขียวให้เราเริ่มอัดเพลง แล้วเขาไม่ได้ดูเรื่องมากอะไรด้วย ก็ไม่ผิดหวังที่ได้ร่วมงานกัน สนุก และมีความสุขดีครับ

เขาให้เหตุผลไหมว่าทำไมชวนเรามาอยู่ค่าย?

น้ำวน: พี่บอลบอกว่าทุกวงที่ชวนมาอยู่ค่าย What The Duck เขาต้องเป็นแฟนเพลงวงนั้นก่อน อย่างวงเรา เขาบอกว่าฟังมาตั้งแต่เพลง ‘ยิ้ม’ เราก็ไม่รู้มาก่อน พอได้ทำงานกับวงที่เขาเป็นแฟนเพลงจะรู้สึกมีความสุขมากกว่า สามารถให้อิสระในการทำเพลงกับวงนั้นได้ เพราะรู้แนวทางอยู่แล้ว

ปอ: เขาคงรู้ว่าจะพาวงนี้ไปทางไหนดี

ดูเหมือนจะเป็นอัลบั้มที่พวกคุณรอคอยมานาน แถมมีถึง 13 เพลงในหนึ่งอัลบั้ม การทำงานต้องหนักแค่ไหน

ปอ: วงเราเริ่มมีแฟนเพลงในระดับหนึ่ง มีคนรอคอยจะซื้ออัลบั้มอยู่ ซึ่งเราก็สัญญากับแฟนเพลงว่าจะปล่อยอัลบั้มให้ได้ภายในปลายปี 2017 เราก็แพลนเอาไว้แล้ว พอได้มาอยู่ค่ายนี้ ทางเขาก็ไม่มีปัญหาอะไร กลับมาช่วยให้เร็วขึ้นด้วยซ้ำ

น้ำวน: เราก็คุยกับค่ายว่าวางไทม์ไลน์ไว้ประมาณนี้ เราต้องเตรียมอะไรบ้าง แล้วเราพร้อมแค่ไหน ถ้าโอเคก็ทำเลย เป็นช่วงเวลาที่เราทำงานหนักมากๆ

ปอ: เราแทบจะไม่ได้วางคอนเซ็ปต์อะไรเลย เหมือนรู้อยู่แล้วว่าเพลงที่ทำจะออกมาประมาณไหน มันพูดไม่ถูก น่าจะเป็นฟีลนี้ ดนตรีภาพรวมประมาณนี้

น้ำวน: มันมีเวลาของมันอยู่ครับ เพราะช่วงสิ้นปีที่ผ่านมามีงาน Cat Expo ซึ่งจะส่งผลมากที่สุดกับยอดขาย คือแฟนเพลงจะมางานนี้กันเยอะมาก แล้วถ้าเราปล่อยทางออนไลน์มีสิทธิ์ที่จะเงียบเหมือนกัน เราก็ยังไม่ใช่วงที่ดังอะไรมาก แล้วสี่เพลงแรกที่ปล่อยออกมาก่อนหน้าก็รวมอยู่ในอัลบั้มนี้ด้วย ส่วนอีกเก้าเพลงที่เหลือ เรายังไม่ได้อัด เรามีเวลาแค่ 2-3 เดือน  ก็ไปอัดช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม บางวันก็ต้องอัดถึงสามเพลง ก็สนุกดีครับ

เอ็มวีค่อนสร้างจะสร้างสรรค์ ถือเป็นความตั้งใจเลยหรือเปล่า

ปอ: มันเป็นความชอบของวง  พวกเรามีความคิดว่า ถ้าอยากฟังเพลงหรือดูอะไรก็ตาม ต้องเป็นสิ่งที่เราชอบด้วย แล้วเราจะทำสิ่งนั้นได้เรื่อยๆ เราให้น้ำหนักกับสิ่งที่เราชอบมากกว่าให้คนอื่นชอบ

น้ำวน: ความโชคดีคือเราสองคนเคยทำงานโปรดักชั่นมาก่อน ค่อนข้างจะรู้ขั้นตอนในการผลิตงานภาพออกมา เวลาเราคิดหรือมีไอเดียอะไร ก็สามารถทำเองได้เลย โดยที่ไม่ต้องโยนให้คนอื่นทำ นั่นคือเหตุผลที่เอ็มวีออกมาเป็นแบบนี้ เพราะว่าพวกผมคิดแล้วก็ทำกันเอง ก็เลยจะได้ภาพที่มันมีเอกลักษณ์หน่อย

รู้มาว่าปอเป็นคนเขียนเนื้อเพลงทั้งหมดในอัลบั้มนี้ มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร

ปอ: เนื้อเพลงก็เขียนจากที่เราเจอมารอบๆ ตัวเอง เป็นสิ่งที่เราคิด หรือจากหนังที่เราดู ทุกอย่างหยิบมาใช้ได้ แล้วตอนนี้ผมอายุ 27 ก็มีเรื่องราวในชีวิตเยอะพอควร คือเป็นคนใช้ชีวิตไม่ค่อยเซฟเท่าไร อย่างเรื่องความรัก ผมเป็นคนค่อนข้างลุย ไม่ได้ห่วงเจ็บ ถ้าชอบคนนี้ก็ลุยเลย ทำให้ผมเจอกับสภาวะความรักค่อนข้างเยอะ แต่เราไม่กลัว เพราะว่ามันคุ้มค่าที่ครั้งหนึ่งเราจะไปเจอกับคนคนหนึ่ง แม้ไม่สมหวัง แต่เอามาเล่าเป็นเพลงได้  เรียกว่าเป็นอัลบั้มเพลงรักเลยก็ว่าได้ คือรักสมหวังและไม่สมหวัง เป็นเรื่องเล่าของความสัมพันธ์และชีวิตรัก

แล้วการแต่งเพลงอยู่ที่จังหวะ บางเพลงเร็วมาก บางเพลงก็ช้ามากเช่นกัน งานพวกนี้ เราไม่สามารถไปเร่งรัดมันได้ เราจะรู้เองว่าสิ่งนี้ที่เสร็จแล้วมันดีหรือเปล่า ผมจะไม่ใช่คนที่ปล่อยผ่านอะไรโดยง่ายแน่นอน ผมจะดูแล้วดูอีก ว่ามันดีหรือยัง ถ้ายังไม่ดีผมจะไม่มีทางปล่อยผ่านออกไป เนื้อเพลงที่ยังไม่ดีจะไม่มีทางหลุดออกจากผมแน่นอน คือบางเพลงมันได้เร็วก็ดีแล้ว แต่บางเพลงไม่เสร็จสักทีก็แก้ไปเรื่อยๆ จนมันเสร็จ

การที่คุณมีอัลบั้มเป็นของตัวเองในช่วงที่ศิลปินคนอื่นอาจจะนิยมปล่อยเป็นซิงเกิ้ล คุณว่ามันดีอย่างไร

ปอ: คนที่มาดูเขาจะร้องเพลงเราได้เกือบทั้งหมด ทำให้เราไม่ต้องเล่น Cover อย่างไปเล่นที่ขอนแก่นมีคนดู 300-400 คน แล้วก็ร้องเพลงเราได้ ไปเล่น ม.ธรรมศาสตร์ ทุกคนร้องได้ แสดงว่าเราสามารถส่งเพลงของเราไปถึงพวกเขาได้ มันเป็นความประทับใจของเรากับแฟนเพลง

น้ำวน: ทุกครั้งที่ปล่อยเพลงโปรโมตในอัลบั้ม เวลาเล่นสด เพลงนั้นก็ไม่เหงาแล้ว ก็จะมีคนร้องตามได้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็อีกนั่นแหละ เป็นไปตามยุคสมัย ถ้ามีอัลบั้มแต่ไม่มีเอ็มวี มันก็เหมือนกับยังไม่ได้ปล่อยเพลงออกมา คนก็ยังไม่รู้จักอยู่ดี ทั้งๆ ที่หาฟังได้ตั้งนานแล้ว

แฟนเพลงที่มาดูเราคงไม่อยากดูเราเล่นเพลง Cover เขาอยากมาฟังเพลงของเราจริงๆ มันเป็นข้อดีที่เราได้เล่นเพลงตัวเองแล้วมีคนรู้จักด้วย

ปอ: จริงๆ ถ้าตอนนี้ผมอายุ 23 ผมจะมีความสุขมากเลยนะ

น้ำวน: แต่เหมือนอายุเยอะขึ้นมากกว่าตอนนั้น เราควรจะดีใจนะกับความสำเร็จที่มาในระยะเวลาอันรวดเร็ว

ปอ: เราเลยต้องทำในสิ่งที่เราฝัน เพราะเราเคยฝันอยู่แล้วว่าอยากมีสักอัลบั้มในชีวิต แต่มันไม่เคยทำได้เลยครับ เพราะหลายอย่างรอบตัว อันนี้มันคือความภูมิใจหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตผมกับน้ำวน เป็นอัลบั้มที่มาสเตอร์พีซจริงๆ ในชีวิตผม ลองคิดว่าเมื่อก่อนจะทำเพลงหนึ่งให้เป็นมาสเตอร์พีซจริงๆ ยังยากเลย การที่เราทำทั้ง 13 เพลงให้เป็นมาสเตอร์พีซ ผมเลยรู้สึกภูมิใจมากๆ แต่เราจะเดินต่อไปอีก อันนี้มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น

คิดว่าอยากจะพาวงไปถึงจุดไหนในเส้นทางดนตรี

ปอ: เราอยากไปไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้ อยู่ที่ว่าตอนนี้เราต้องสร้างผลงานออกมาเรื่อยๆ และดีที่สุดเท่าที่จะคิดได้ เราอยากไปไกลอยู่แล้ว แต่ก็อยู่ที่เราจะทำให้ทุกคนหันมามองเราได้มากน้อยแค่ไหน หรือในวันที่มีสปอตไลท์ส่องมาหาเรา คนรู้จักเรามากขึ้น ก็คงขึ้นอยู่กับหลายๆ องค์ประกอบ ตอนนี้คงทำให้ดี ได้ทำผลงานที่เรารู้สึกชอบมากๆ มันน่าจะเป็นจุดยืนที่ดี

 

5 เพลงที่ Whal & Dolph อยากให้เราฟังในอัลบั้มนี้

บอกฉันที

“ผมค่อนข้างชอบไลน์กีต้าร์ เพราะว่าเล่นแล้วสนุก อาจจะฟังยากนิดหนึ่ง แต่เพลงมีความน่ารัก จากเนื้อหาและเสียงเปียโน” น้ำวน

“เนื้อเพลงพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งบอกกับผู้หญิงว่าเราอยากจะเข้าใจเธอทุกๆ อย่าง แต่บางทีเราทำอะไรไปอาจไม่ถูกใจเธอบ้าง แต่ว่าเราทำเพราะอยากให้เธอมีความสุข เหมือนบอกฉันทีว่าเธอต้องการอะไร ฉันก็ทำให้เธอได้หมด เป็นเพลงผู้ชายแบบน่ารักๆ” ปอ

นานนาน

“เป็นเพลงโรแมนติก โดยบอกกับผู้หญิงคนหนึ่งว่าเรารู้สึกดีกับเธอมากเลยที่เธออยู่ตรงนี้ อยากจะเก็บความรู้สึกตรงนี้เอาไว้นานๆ ก่อนที่เธอจะไปจากเราตรงนี้ เป็นการขอให้คนคนหนึ่งยังอยู่ตรงนี้ ขอเก็บตรงนี้ไว้ก่อน” ปอ

ต่อไป

“เป็นเพลงที่ผมร้องเอง เนื้อหาประมาณว่าผู้ชายคนหนึ่งได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วชีวิตเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ในเพลงจะบอกว่าแสงของดวงดาวดูสวยขึ้น ดูก้อนเมฆอะไรก็มีความสุข” น้ำวน

“แล้วมันก็ตบด้วยว่าและเสียงของเธอก็ทำให้ฉันเปลี่ยนไป” ปอ

“เพราะแค่ได้ยินเสียงก็มีความสุขแล้ว” น้ำวน

ฉันยังเก็บไว้

“เป็นเพลงที่ร้องกับเอิร์ธ-ภัทรวี เรารู้สึกชอบเวลาที่คนสองคนเคยอยู่ด้วยกัน แม้จะไม่ได้จบสวย แต่ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่สวยงาม มันจะคล้ายๆ หนัง The Notebook ซึ่งพระเอกนางเอกรักกันมากๆ แต่สุดท้ายก็ต้องแยกจากกันไป แล้วสุดท้ายพอเขากลับมาเจอกันอีกทีก็เหมือนกับว่าคุณยังตกหลุมรักกันเหมือนเดิม” ปอ

เก็บเธอเอาไว้ดูก่อน

“เป็นเพลงเกือบสุดท้ายของอัลบั้มที่เขียนขึ้นมา เพลงนี้แต่งจากเรื่องจริงของผม คือเกิดความไม่มั่นใจบางอย่างในตัวเอง เพราะผมเคยคบกับคนๆ หนึ่ง แต่เราก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมไม่ขอเขาเป็นแฟนสักที ก็มานั่งทบทวนว่ายังไม่พร้อมหรือเปล่า ซึ่งมันเป็นการขอให้อีกคนหนึ่งรอ จริงๆ ค่อนข้างเห็นแก่ตัว แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ผิดต่อความรู้สึกของตัวเอง แค่บอกให้เขารอก่อน เป็นเพลงที่เขียนไปเองแล้วรู้สึกผิดไปด้วย” ปอ

Fact Box

Whal & Dolph วงน้องใหม่จากค่าย What The Duck  เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของน้ำวน – วนนท์ กุลวรรธไพสิฐ (Whal) และปอ – กฤษสรัญ จ้องสุวรรณ (Dolph) ที่ทำเพลงกันมาตั้งแต่ปี 2016 โดยมีเพลงเปิดตัวอย่าง ‘ยิ้ม’ จนเป็นที่รู้จักจากแฟนเพลงอินดี้ ก่อนจะมาทำอัลบั้มเต็มในชื่อ Rayon ซึ่งมีเพลง ‘หากมันจะสายเกินไป’ ขึ้นอันดับ 1 คลื่น Cat Radio มาแล้ว ติดตามพวกเขาได้ที่ www.facebook.com/whalanddolph/

Tags: , , , , ,