“ผมรอเวลาแบบนี้มานานแล้ว” เรย์ แมคโดนัลด์ หนึ่งในตำนานแห่งยุค ’90s เล่าด้วยดวงตาเป็นประกาย และในช่วงอายุ 40 ปีของเขา ก็เต็มไปด้วยเรื่องราวชุดใหม่ๆ ที่เราอยากชวนให้คุณฟัง
หลายคนอาจจดจำเขาในฐานะนักแสดงวัยรุ่น พิธีกร หรือนักเดินทาง ทุกวันนี้เขาก็ยังคงมีแพสชั่นในสองสิ่งหลัง ทำรายการที่เดินทางไปสู่โลกที่ไกลสายตาคนทั่วไป บุกป่าฝ่าดงไปหากลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก หลายชนเผ่ายังคงวัฒนธรรมชนเผ่าเอาไว้อย่างหวงแหน บางเผ่ายังคงล่า เร่ร่อน กิน ดื่ม และเชือด อย่างที่ชาวโลกศิวิไลซ์บางคนอาจจะเบือนหน้าหนี ขณะที่บางชนเผ่าก็อยู่ร่วมกับเทคโนโลยีอย่างกลมกลืน แล้วมีวัฒนธรรมชนเผ่าเป็นจุดขายด้านการท่องเที่ยว
จนถึงตอนนี้ที่รายการท่องเที่ยวในเมืองไทยมีออกมาแล้วไม่รู้กี่รูปแบบ รายการ ‘FOOD TRIBE ไป-ล่า-กิน’ ของเรย์ แม็กโดนัลด์ โดดเด่นในด้านความดิบดุที่พาเราไปพบเห็นความแตกต่างหลากหลายบนโลกใบนี้ ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความน่าค้นหาของวัฒนธรรมชนเผ่า กับความเป็นชายขอบที่โดนโลกยุคใหม่ทิ้งเอาไว้ข้างหลัง แถมยังจำกัดกรอบเขาไว้ในพื้นที่เล็กๆ นี่คือช่วงเวลาที่พวกเขาต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น หรืออาจจะไม่ —ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เรย์อยากบันทึกเอาไว้ในรายการ และเป็นรายการที่เขารอจะทำมาตั้งแต่วัยรุ่น
จากการพูดคุย เราพบว่าสายตาที่เรย์มองเข้าไปยังชนเผ่าต่างๆ เป็นมากกว่าสายตาของนักท่องเที่ยวที่อยากเห็นอะไร exotic สักประเดี๋ยวประด๋าวแล้วกลับบ้านทานสเต็ก เขาลงลึกและจริงจังกว่านั้น สิ่งที่ไปสัมผัสยังคงตกตะกอนอยู่ในตัว แม้เขาจะออกตัวไว้แต่เนิ่นๆ ว่า “ไม่อยากจะการเมืองมากหรอกนะ” ก็เถอะ
รายการ FOOD TRIBE ไป-ล่า-กิน เกิดขึ้นได้อย่างไร
ในแง่รูปแบบรายการ เราพอจะมีไอเดียอยู่ในหัวนานแล้ว ที่เคยคุยกันเล่นๆ กับทีม ว่าถ้าทำได้ก็สนุกดีนะ แต่คงทำไม่ได้หรอก ใครจะซื้อวะ จะไปฉายทางไหน เราว่ามันน่าสนใจทั้งในแง่วิถีชีวิตของชนเผ่า แล้วก็เรื่องอาหารที่เราไม่ค่อยได้โฟกัสเท่าไหร่นักในโปรเจ็กต์ก่อนๆ
เราอยากรู้ว่า กว่าจะได้อาหารจานหนึ่ง เขาได้วัตถุดิบมาจากไหนบ้าง ทำอะไรกับมัน และกินมันอย่างไร บางอย่างอาจจะดูแปลกตาหรือดูโหดร้าย แต่ทั้งในขั้นตอนทั้งหมดและความเชื่อที่อยู่เบื้องหลังการกินอย่างนั้น สำหรับผมนะ ก็ไม่รู้ว่าคนดูเขาคิดยังไง …บอกกันได้นะ (ถามจริงจัง)
มีฉากที่ดูไม่ไหวอยู่เหมือนกันนะคะ เช่นตอนที่เชือดคอแพะของเผ่าคาซัค ในมองโกเลีย
ใช่ ว่าจะขึ้นคำเตือนอันใหม่อยู่เหมือนกัน ว่าควรเป็นคนที่อายุเกิน 45 (หัวเราะ) หรือกดข้ามวินาทีที่เท่านี้ไปเลยได้ คือเราก็ไม่ได้อยากใช้คำว่า ‘วิถี’ มาเป็นเกราะกำบังในการเสนอภาพความรุนแรงหรอกนะ แต่นี่มันก็เป็นโลกของความเป็นจริง มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น
อย่างเทปล่าสุดเกี่ยวกับชนเผ่าในอินโดนีเซีย เผ่าเขาจะแบ่งชนชั้นวรรณะอย่างชัดเจน แล้วพอมีคนตาย ยิ่งวรรณะสูงเท่าไหร่ ก็ต้องเชือดควายในพิธีศพมากเท่านั้น เพราะสำหรับพวกเขา ควายเป็นทั้งอาหาร เป็นเพื่อน แล้วก็เป็นพาหนะที่จะพาวิญญาณไปสู่อีกภพภูมิ แล้วตอนที่เราไปถ่ายทำ คนตายเป็นบุคคลสำคัญของเมือง แล้วในครอบครัวเขาตายใกล้ๆ กัน 2 คน ทุกอย่างก็ต้องคูณสอง ก็เลยมีควาย 50 ตัวตายไปต่อหน้าต่อตาเรา เขาใช้มีดเล็กๆ เชือดที่คอ ควายก็ล้มลงไป
คือเวลามีคนตาย เขาจะเก็บศพไว้ก่อน 3 เดือน หรือ 1 ปีก็ตามแต่วรรณะ แต่ด้วยความเชื่อ เมื่อคนตายไปเขายังถือว่าแค่ป่วยเฉยๆ พอเข้าพิธีแล้วจะมีการล้มควายตัวแรกก่อน เลือดควายหยดลงถึงพื้นเมื่อไร นั่นแหละ ถึงจะเป็นการตายอย่างเป็นทางการ พร้อมที่จะเดินทางไปกับน้องควาย คือถ้าเทปนั้นดูไม่ไหว เทปนี้ก็อย่าดูเลย ถามว่ามันโหดไปไหม อืม โลกเรามันโหดนะ
ทำไมคุณถึงไม่อยากใช้คำว่า ‘วิถี’ มาเป็นเกราะกำบัง ในเมื่อมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ใช่ คือมันก็เป็นสิ่งที่เขาทำกันมา ถ้าถามว่าถูกต้องไหม เราจะใช้อะไรวัดล่ะ ในหนึ่งวัฒนธรรมที่เรามองเข้าไปจากที่ไกลๆ ที่เรามองว่าที่เขาทำมันโหดร้าย ในทางกลับกันเขาก็อาจจะมองว่าบางอย่างที่เราทำกันมันก็โหดเหมือนกัน คิดได้ไง ทำกันไปได้ยังไง
แล้วเวลาที่เขาเชือด เขารู้สึกขอบคุณสัตว์เหล่านั้นด้วยซ้ำ มันเป็นความจำเป็นที่จะต้องเอาทุกชิ้นส่วนของคุณมาบริโภคหรือเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มหรืออะไรก็แล้วแต่ เราว่ามันก็มีความสวยงามอยู่ในนั้น เขาไม่ได้ล้มสนุกๆ แต่เขาคิดแล้ว เขาพยายาม เขาใช้ทุกชิ้นส่วนจริงๆ เพื่อให้เกิดคุณค่ากับคนที่ยังมีชีวิตอยู่
อีกอย่างหนึ่ง การล้ม หรือการเชือด มันก็เกิดขึ้นในบ้านเราเหมือนกัน เราอาจจะลืมหรือไม่ได้เห็น คนเมืองที่กินเนื้อกันอยู่ อย่าลืมว่าเนื้อเหล่านั้นก็คงจะต้องโดนใครสักคนหรือเครื่องมืออะไรสักอย่างในการฆ่ามาเหมือนกัน เพียงแต่เราเห็นที่มันออกมาเป็นก้อนเนื้อแดงๆ แล้วรู้สึกว่า โอ้โห เนื้อชิ้นนี้คัทสวยจังเลย มีมาร์เบิ้ลว่ะ แต่สุดท้ายมันก็เป็นสิ่งที่เคยมีชีวิตอยู่ แล้วเราก็ทำมันเป็นอุตสาหกรรมเลยนะ แค่พอเห็นกันโต้งๆ มันช็อก ตอนทำรายการนี้ก็เป็นครั้งแรกๆ ของเราเหมือนกัน
คุณทำการบ้านเยอะแค่ไหน ก่อนจะเดินทางเข้าไปหาแต่ละชนเผ่า
คนดูอาจจะถามว่านี่ทำแล้วเหรอ (หัวเราะ) แต่ทำเยอะกว่าปกตินะ ในการเดินทางเข้าไปแต่ละที่ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะเข้าไปได้ ก็ต้องติดต่อพูดคุย พอเข้าไปแล้วเราจะทำยังไงให้ทลายกำแพง ไม่ว่าจะเรื่องภาษาหรือใดๆ ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วก็ใช้คอนเซปต์ของรายการเลย คืออาหารมันสามารถทลายกำแพงได้จริงๆ ถ้าเราไปร่วมกินกับเขา มันก็เหมือนการยอมรับในวิถีของเขา
แล้วเราก็ต้องมาคุยกันว่าสิ่งที่เรารีเสิร์ชมา ยังเป็นอยู่ไหม ยังมีอยู่ไหม ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ไม่ต้องแกล้งแต่งตัวเป็นคนป่า ทั้งที่วิถีคุณได้เจือจางหรือเปลี่ยนไปแล้ว เราอยากให้มันเป็นบันทึกของปีนี้ ถ้าพิธีกรรมมันถูกมิกซ์หรือเปลี่ยนแปลง ก็เป็นอย่างนั้นไป มันจะมีบางเผ่าที่พอเราหยิบกล้องขึ้นมา เขาก็จะไปเปลี่ยนชุดให้ดูเป็นชนเผ่า เราก็บอกว่าไม่ต้อง ถ้าคุณใส่มันแค่ในพิธีกรรมก็ใส่แค่ในพิธีกรรม คือภาพมันออกมาสวยกว่าอยู่แล้วถ้าเขามาเต็ม แต่อย่าไปฝืนทำเพียงเพื่อจะแสดงเลย
คิดว่าอะไรที่ทำให้วัฒนธรรมชนเผ่ายังมีอยู่ในปี 2018 นี้
อยู่ที่ความแข็งแกร่งของผู้นำ แล้วมันก็แล้วแต่เผ่าด้วย หลายเผ่าก็เปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่บางเผ่าอาจจะเปลี่ยนไปยาก ด้วยภูมิประเทศที่เขาอาศัยอยู่ เช่นเผ่าคาซัคในมองโกเลีย เขาก็ยังอยู่ในกระโจม ในทุ่งหญ้าสเต็ปบนที่ราบสูง วิถีแบบนั้นมันเข้ากับพื้นที่ที่เขาอยู่ การต้อนสัตว์แล้วย้ายที่อยู่ในทุกๆ 3 หรือ 6 เดือน เพื่อจะหาหญ้าที่ดีที่สุดให้กับสัตว์เลี้ยงที่มีค่ามากที่สุดสำหรับเขา มันเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถอยู่รอดในพื้นที่แบบนั้นได้ แต่มันก็มีอะไรเข้ามาเจือปนนะ ไม่ได้เหมือนเมื่อสองพันปีที่แล้วร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก
แล้วเราก็เจอบางเผ่าที่เขาก็ยังมีความภาคภูมิใจในความเป็นชนเผ่าของตัวเอง เขาก็จะเรียกตัวเองว่าฉันเป็นคนของเผ่านี้ ไม่ใช่คนของประเทศนี้ และนี่คือดินแดนของเรา นี่คือความเชื่อของเราที่จะส่งต่อไปรุ่นสู่รุ่น แต่ก็มีบางเผ่าที่เราเห็นแล้วรู้สึกว่ารุ่นนี้น่าจะเป็นรุ่นสุดท้ายที่ยังทำกันอยู่ อีกไม่เกิน 5 ปีแน่ๆ น่าจะหมดไป มันได้ถูกผลักดันให้กลายเป็นไฮไลต์ของการท่องเที่ยว ขณะที่คนในเผ่าเขาก็ต้องการสิ่งที่จะทำให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น เขาไม่ได้อยากติดอยู่กับป่าไม้ที่มีสัตว์ร่อยหรอเต็มที แล้วก็ยังมีกฎระเบียบมากมายของประเทศนั้นๆ ที่คอยบังคับเขาอยู่ แต่เราก็ไม่ได้เล่าในรายการ ไม่อยากให้มัน politic มากไป
แต่บางกรณีการเข้าไปของนักท่องเที่ยวมันก็มีทั้งข้อดีด้วยนะ ในบางเผ่า มันทำให้คนในเผ่าเขาเห็นคุณค่าในสิ่งที่โลกอาจจะมองว่าล้าหลัง เด็กรุ่นใหม่ในเผ่าได้เห็นว่ามีหลายคนที่เดินทางมาไกลมาก เพื่อจะมาดูสิ่งนี้มันเท่นะเว่ย มันก็มีมุมนี้ที่ทำให้วัฒนธรรมชนเผ่าของเขายังมีอยู่ต่อไป
ระหว่างทำรายการนี้ พบเรื่องน่าเศร้าบ้างไหม
มันจะมีบางเผ่าเป็นเผ่าเร่ร่อนหรือกึ่งเร่ร่อน แล้วทีนี้ การแบ่งพื้นที่ประเทศด้วยเส้นสมมติที่คนขีดขึ้นมา มันทำให้พื้นที่เขาถูกจำกัด เขาต้องถูกบังคับให้อยู่เป็นหลักแหล่ง ถูกกำหนดให้ทำการเกษตรในพื้นที่ที่แม่ง ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น เหมือนการติดคุกกลายๆ ทั้งที่เขาก็ใช้พื้นที่หนึ่งๆ โดยไม่ได้ปู้ยี่ปู้ยำจนพังเละเทะ เขาใช้อย่างพอประมาณแล้วเขาก็ย้าย เพื่อจะวนกลับมาที่นี่อีกครั้งในฤดูกาลของมัน แต่เส้นสมมติเหล่านั้นทำให้พวกเขาทำไม่ได้อีกแล้ว
มันก็น่าเศร้านะ ถ้ามองว่าคนที่เขาเคยร่อนเร่พเนจรไปไหนก็ได้ ล่องเรือไปเกาะไหนก็ได้ ซึ่งมันอาจจะมีบางเกาะที่เขาแวะเพื่อหลบมรสุม หรือแวะพักก็ตาม เขาไม่ได้มองว่ามันเป็นเกาะของเขาหรือของใครด้วยซ้ำ เขามองว่าเป็นพื้นที่ที่ต้องแชร์กัน แต่มันกลายเป็นที่ที่เขาถูกห้ามเข้าไป เหมือนวันดีคืนดีก็มีใครไม่รู้มาบอกเขาว่า เอ็งอยู่ได้แค่ตรงนี้ ไปได้ถึงตรงนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็เข้าใจเรื่องความมั่นคงน่ะนะ มันก็จำเป็นต้องมีกฎระเบียบเหล่านี้ แล้ววิถีแบบชนเผ่ามันก็อาจจะต้องตาย และหายไป จะเร็วช้าก็สุดแท้แต่
น่าเสียดายไหม หากวัฒนธรรมชนเผ่าจะหายไปกับกาลเวลา หรือก็เป็นธรรมดาของการเปลี่ยนแปลง
มันก็น่าเสียดายแหละ เราชอบวิถีแบบนี้ คิดคำอื่นไม่ออกแล้ว แต่เรารู้สึกว่ามันเท่ดี มันดูมีความสมดุลและผูกพันระหว่างคนกับดินแดนที่เขาอยู่ เราว่ามนุษย์นี่ไม่ธรรมดา เรามีความสามารถในการปรับตัวเองให้อยู่ได้ตั้งแต่อุณหภูมิ 50-60 องศา หรือติดลบ 50 องศาก็ยังมีคนอยู่ได้ ถามว่ามันเปลี่ยนแปลงไหม เราว่ามันเปลี่ยนแปลงมาตลอด อาจจะช้าบ้างหรือเร็วบ้างในแต่ละพื้นที่ นี่จึงเป็นสิ่งที่เราอยากบันทึกไว้ ถ้ากลับมาดูในอีกหลายปีข้างหน้า มันอาจจะมีอยู่หรือไม่มีแล้วก็ได้ แต่ตอนนี้ ปี 2018 มันเป็นแบบนี้
คุณมองตัวเองเป็นคนเมืองมากน้อยแค่ไหน
ก็น่าจะใช่นะ คนเมืองประมาณหนึ่งเลยล่ะมั้ง แต่เราก็โหยหาวิถีที่ไม่ต้องอยู่นิ่ง ที่เราชอบมากที่สุดอาจเป็นการบาลานซ์ระหว่างเมืองกับอะไรที่มันตรงข้ามกัน เท่าที่เราสัมผัสมา พบว่าเมืองใหญ่ๆ มันเริ่มเหมือนกันไปหมด ทุกคนเสพอะไรคล้ายๆ กัน ทำอะไรคล้ายๆ กัน สุดท้ายเมืองใหญ่ก็เหมือนสลัมยักษ์ที่ต้องเร่งรีบแล้วคนก็กลายเป็นหุ่นยนต์ไปหมด แล้วสภาพแวดล้อมก็อาจจะทำให้เรากลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่รู้สิ สิ่งนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นกับเรามั้ง และเราก็กลับมาถามตัวเองว่าฉันต้องการเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ พูดไปก็อาจจะมีคนเข้าใจเราประมาณคนหนึ่ง แต่เราถามตัวเองบ่อยว่าฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ถ้าไม่มีครอบครัวอยู่ที่นี่ ฉันจะยังอยู่แบบนี้ไหม
แต่สุดท้ายแล้วคุณก็เลือกมีครอบครัวที่นี่ ซึ่งเมื่อมีลูกแล้ว ชีวิตคุณอาจจะต้องช้าลงด้วยไหม
อันนั้นยังไม่รู้ แต่เราจะรู้เร็วๆ นี้ แล้วก็หวังว่าการมีครอบครัวจะไม่ทำให้เราช้าลง แต่จะทำให้เราทำอะไรมากขึ้นด้วยซ้ำ เรากับภรรยาก็ยังชอบเที่ยวอยู่ เพียงแต่จะมีอีกชีวิตหนึ่งไปกับเราแค่นั้นเอง เราวางแผนกันได้ ลูกเราก็เป็นลูกฮิปปี้ได้ แล้วเราก็ขอเชิดชูทุกคนที่ยอมอุทิศชีวิตให้ครอบครัว ยอมทำงานที่ตัวเองไม่รัก ทำสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ ซึ่งผมว่าบางคนสามารถเห็นแก่ตัวได้ แต่เขาไม่ทำ
ยังมีพื้นที่ไหนบนโลกอีกบ้างที่คุณอยากไป
เยอะมาก แอฟริกาเกือบทั้งทวีป อเมริกาใต้… คือมันมีทั้งที่ที่เราไม่เคยไปแล้วอยากไปสัมผัส รวมถึงที่ที่เคยไปแล้วเราอยากกลับไปอีก บางที่เราไปตอน 20 กว่า เราเห็นแค่มุมเดียว แล้วรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเลย พอผ่านไปสัก 15 ปีเรากลับไป ก็พบว่าเราเจอสิ่งที่มันมีอยู่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ที่เมื่อก่อนเราไม่เห็น แล้วถ้าเราอยู่ได้อีกสัก 20 ปี เราก็อยากกลับมาตอนอายุ 60 กว่า ว่าตอนนั้นเราจะเห็นอะไรเพิ่มอีกไหน อยากทำเป็นรายการมาก แต่มันคงเป็นอะไรที่ส่วนตัวเกินไป
ชีวิตที่เดินทางเยอะๆ มีสิ่งที่ต้องแลกไหม
มันก็มีบางทีที่เราคิดว่าเราต้องมาเสี่ยงขนาดนี้เลยเหรอ เราพยายามพิสูจน์อะไรวะ แต่ว่าไอ้ประเทศแบบนี้ มันจะมีบางอย่างในอากาศ หลายครั้งที่ตั้งคำถามแบบนั้น ผ่านไปสักห้าวันเจ็ดวันก็จะอยากไปอีก เพราะประเทศที่ทุกอย่างเพอร์เฟ็กต์ไปหมดมันน่าเบื่อ ไม่มีเขี้ยวเล็บ ไม่เซ็กซี่ มันต้องอันตรายหน่อยๆ ดิ …แต่แบบเบาๆ ก็พอนะ ไม่ต้องเยอะมากก็ได้ (หัวเราะ)
คุณมองว่าตัวเองเกิดช้าหรือเร็วไปไหม อยากอยู่ในยุคสมัยแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า
เราไม่อยากอยู่ในยุคไหนเลย เคยแต่ได้ยินนะ ว่ายุคโน้นมันสนุกอย่างนั้น ยุคนั้นมันอย่างนี้ ก็ดีนะ แต่เราขอฟังอย่างเดียวดีกว่า ซึ่งในยุคที่เราได้สัมผัสมามันก็สนุก เราเองดีใจที่ได้สัมผัสยุคต่างๆ มาประมาณหนึ่ง ซึ่งก็รู้สึกว่ายุคนี้ตอนนี้มันมันมาก เรารอเวลาแบบนี้มาเป็นสิบปีแล้ว
ยกตัวอย่างเรื่องของคอนเทนต์ ถ้าเราคิดรายการแบบนี้ขึ้นมา ไม่ต้องถึงสิบปีที่แล้วหรอก แค่ห้าปีที่แล้ว ใครจะเอา ใครจะทำ เราก็ต้องเดินไปหาไดโนเสาร์ที่ไหนไม่รู้ที่คุมบังเหียนอยู่ประมาณสี่พันปีแล้ว แล้วไม่ยอมลุกไปไหนสักที เด็กใหม่ๆ ก็ไม่ได้ขึ้นมา แต่ในตอนนี้ใครจะทำคอนเทนต์ก็ได้ แพลตฟอร์มเจ๋งๆ ก็พร้อมจะรองรับคุณ มันเหมือนช่วงเวลาที่จุกขวดไวน์ได้ระเบิดออกมาแล้ว มีทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่และคนที่พร้อมจะลุยกับคอนเทนต์ใหม่ๆ เราชอบมาก ทุกอย่างถูก disrupt ไปหมด เรารอมานานแล้ว ไม่ใช่แค่สำหรับตัวเราเอง แต่สำหรับคนอื่นด้วย
พื้นที่มันมากขึ้น สุดท้ายการแข่งขันจะแรงขึ้น แล้วมันก็จะเป็นตัวผลักดันให้คอนเทนต์ไปไกลขึ้น คนกล้าขึ้น ฝากถึงพี่ๆ น้องๆ ก็จงสู้ต่อไป มันอาจจะง่ายขึ้นหรือยากขึ้น แต่อย่างน้อยไอเดียที่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ มันอาจจะเป็นไปได้ขึ้นมา สนุกจะตาย ทุกวงการเลย
เราเองก็อยากทำที่ทำอยู่ให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ มันคือการกลับไปหาอะไรที่เราเคยคิดไว้เมื่อตอนอายุ 20 ต้นๆ เราต้องกลับไปสู่ไดอารี่เล่มนั้นว่าฉันอยากทำอะไร ซึ่งตอนนั้นมีหลายๆ ปัจจัยที่ทำให้มันไม่ได้เกิดขึ้นสักที เช่นตัวเองในวัยเยาว์เราอาจจะยังไม่พร้อม ซึ่งก็ไม่ได้พร้อมจริงๆ นั่นแหละ การจะทำรายการรายการหนึ่งมันเหมือนเกมของคนมีเงิน ซึ่งเราก็ไม่ได้มีมากขนาดนั้น เรามีแต่ไอเดียที่มองว่าเป็นบิ๊กไอเดีย พออายุมากขึ้นเราพร้อมขึ้น เลยอยากกลับไปทำมัน
ขณะที่หลายคนกังวลเรื่องอายุที่มากขึ้น คุณเองกลัวความแก่ไหม
เรารู้สึกว่ายังไม่แก่มาก อีกแค่ 8-9 ปีเราก็ 50 เท่านั้นเอง (หัวเราะ) แต่เราจะชอบนับเป็นโอลิมปิกมากกว่า คืออีกแค่สองโอลิมปิกเราก็จะถูกจัดไปอยู่อีกประเภทหนึ่งแล้ว เพียงแต่เรายังมีสิ่งที่อยากทำอยู่ เรารู้สึกว่ายังไม่พอใจกับงานที่ทำมา ถ้าเรารื้อได้ทั้งหมดก็อยากจะรื้อ แต่ถ้าพูดถึงงานวงการบันเทิงในความหมายที่คนอื่นมอง เราไม่ได้รู้สึกว่าอยากทำให้มันดีขึ้นแล้วนะ เราวางไว้ดีกว่า แล้วคนก็คงไม่ได้ต้องการเราในพาร์ตนั้นแล้ว ซึ่งนั่นไม่เป็นไร
แต่สำหรับรายการกินเที่ยวนี่ที่มันบันเทิงบ้างไม่บันเทิงบ้าง เราอยากทำให้มันไปถึงจุดนั้นให้ได้ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ซึ่งจุดนั้น เราก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่ก็จะพยายามผลักดันให้มันถึงให้ได้ เมื่อไรที่เราพอใจแล้วก็คงหยุด ไปปลูกผักดีกว่า
Fact Box
- เรย์ แมคโดนัลด์ เกิดเมื่อปี 2520 เป็นลูกครึ่ง ไทย-สก็อตแลนด์ เรียนจบชั้นมัธยมที่สหราชอาณาจักร ก่อนจะย้ายมาที่เมืองไทย เขาเคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลทีมยุวชนสมาคมธำรงไทยสโมสร และเป็นกับตันทีมในชุดรองแชมป์โลก 11 ปี ฟุตบอล GOTOOEA CUP ประเทศสวีเดน
- เขาคือบุคคลบนปกนิตยสาร a day เล่มแรก ร่วมกับ วนิดา เฟเวอร์ ธนกร ฮุนตระกูล และปราบดา หยุ่น ในฐานะนักแสดงและพิธีกรรายการวัยรุ่นที่น่าจับตามอง มีใจรักการผจญภัย และสนใจวัฒนธรรมอาหาร
- ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาคือ ฝันบ้าคาราโอเกะ (2540) โดยเป็นเอก รัตนเรือง ซึ่งได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ในปีนั้น เขายังได้รับรางวัลคมชัดลึกอวอร์ด สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง หนีตามกาลิเลโอ (2552)
- เรย์ แมคโดนัลด์แต่งงานกับ แหม่ม สริญญา จินตนาวรารักษ์ และลูกชายคนแรกเพิ่งออกมาลืมตาดูโลกเมื่อ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา