ฉากอันน่าจดจำในชีวิตแต่ละคนอาจมีทะเล ภูเขา สวนสาธารณะ ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า หรือแม้กระทั่งบันไดหนีไฟ เป็นฉากหลัง
ในภาพยนตร์ นอกจากฉากจบและจุดหักมุม ก็อาจมีบางฉากบางตอนที่ทำให้เราจดจำภาพยนตร์เรื่องนั้นได้ดียิ่งๆ ขึ้น อย่างเช่นฉากฝนตก ซึ่งแม้หม่นหมองแต่ก็ชุ่มฉ่ำ ทึมเทาแต่ก็เหมือนได้ชำระล้าง
ฝนที่ตกลงมาอาจมีนัยมากกว่าเป็นแค่ฝน นั่นก็แล้วแต่ภาพยนตร์เผยให้เราตีความแบบไหน
Breakfast at Tiffany’s (1961)
ฉากคลาสสิกของภาพยนตร์เรื่อง Breakfast at Tiffany’s คงเป็นฉากที่ ออเดรย์ เฮปเบิร์น ในบทฮอลลี โกไลต์ลี ยืนอยู่หน้าร้านร้านทิฟฟานีในกรุงนิวยอร์ก เธอยืนจดจ้องแววตาเป็นประกายมองเครื่องประดับภายในร้านอย่างไม่รู้เบื่อ พร้อมกันนั้นก็กินขนมปังในมือไปด้วยคนเดียวเงียบๆ ฉากที่ว่านี้ไม่มีอยู่ในหนังสือ แต่กลับทำให้ผู้คนตราตรึงกับออเดรย์ไม่ลืมเลือน
Breakfast at Tiffany’s ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายในชื่อเดียวกันของทรูแมน คาโพที เป็นเรื่องราวของสาวทรงเสน่ห์ที่หมายมั่นว่าจะแต่งงานกับมหาเศรษฐีเพื่อความเป็นอยู่และฐานะของตนเอง เธอชื่อฮอลลี โกไลต์ลี สาวสังคมผู้รักสนุก เป็นที่รัก และหน้าตาสะสวย แต่ถึงจะอยากแต่งงานมากเท่าไร เธอก็รักความเป็นอิสระมากพอๆ กัน ฮอลลีโดดเดี่ยวในโลกกว้าง เธอเดินทางและเที่ยวเล่นไปทุกแห่งหนเพื่อหาตัวตนของตัวเอง โดยหวังว่าสักวันเธอคงเจอที่ที่เหมาะสมกับตัวเอง
ท้ายที่สุด ก่อนเธอจะออกเดินทางอีกครั้ง ฮอลลีกลับพบว่าตัวเธอหลงรักเพื่อนบ้านที่เป็นนักเขียนหนุ่มไส้แห้งเสียแล้ว และคำตอบของหัวใจก็ทำให้เธอออกวิ่งไปท่ามกลางสายฝนเพื่อค้นหาสิ่งสำคัญอันมีความหมายกับเธอมากที่สุด ความหมายของรักและชีวิต ฝนนั้นได้พัดพาคุณค่าของคำว่าอิสรภาพในมุมใหม่มาให้เธอ
The Shawshank Redemption (1994)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของราชานิยายสยองขวัญ สตีเวน คิง ซึ่งนำแสดงโดยทิม ร็อบบินส์และมอร์แกน ฟรีแมน แม้ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึงเจ็ดสาขา แต่กลับไม่สามารถคว้ารางวัลมาได้เลยสักสาขาเดียว ถึงอย่างนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในเว็บไซต์ชั้นนำอย่าง imdb มาอย่างยาวนาน ด้วยคะแนนรีวิว 9.3
ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวเกือบสองทศวรรษของการจองจำแอนดี้ ดูเฟรนส์ ในเรือนจำชอว์แชงค์ นายธนาคารหนุ่มที่ถูกจับในข้อหาฆาตกรรมภรรยาและชู้รักของเธอ เขาถูกจับโดยที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนลงมือ แต่หลักฐานทั้งหมดกลับบ่งชี้มาที่เขา ดังนั้นเขาจึงถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต
ภายในคุกนั้นมีเรื่องราวมากมาย ทั้งมิตรภาพ การแก่งแย่งชิงดี การติดสินบน การต่อสู้กับทั้งภายในและภายนอกของตัวเอง อิสระภาพที่มีอยู่อย่างจำกัดทำให้ทุกคนต้องปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่รอดให้ได้
แต่ความสิ้นหวังนี้ไม่ได้ทำให้ประกายแห่งความหวังอันเล็กจ้อยของแอนดี้ดับลงเลย โดยที่ไม่มีใครรู้ วันหนึ่งแอนดี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยจากเรือนจำชอว์แชงค์ ในคืนวันที่ฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตา แอนดี้กลับสู่อิสรภาพอีกครั้ง เขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝนราวกับว่ามันจะช่วยชำระล้างอดีตอันเลวร้ายที่ผ่านมาได้ มันทั้งปัดเป่าตัวเขาเอง รวมถึงปัดเป่าความโสมมของสิ่งชั่วร้ายในคราบความดีของเรือนจำแห่งนี้ด้วย
Blade Runner (1982)
ภาพยนตร์ขึ้นหิ้ง ดัดแปลงมาจากนิยายของ ฟิลิป เค. ดิก เรื่อง Do Androids Dream of Electric Sheep? ที่ออกจำหน่ายในปี 1968 กำกับโดยผู้กำกับฝีมือดี ริดลีย์ สก็อตต์ แต่ก็กลับเป็นภาพยนตร์ที่ล้มเหลวด้านรายได้ที่สุดเรื่องหนึ่ง เนื่องจากเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่น-ไซไฟที่ไม่ได้มีเนื้อหาแบบที่ผู้คนชอบ และช่วงปีนั้น ผู้ชมอาจจะติดอยู่กับภาพยนตร์อย่าง Star Wars มากกว่า
เรื่องราวของ Blade Runner เกิดขึ้นในปี 2019 ในเมืองลอสแองเจลิส โลกได้ถูกพัฒนาไปไกลจนเกือบถึงขีดสุด รถราวิ่งบนอากาศ หุ่นยนต์ทำงานแทนมนุษย์ และหุ่นยนต์บางรุ่นก็ใกล้เคียงกับมนุษย์มาก นั่นจึงทำให้ รีพลิแคนต์ (หุ่นยนต์รุ่นเน็กซัส 6) ต้องการจะเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
ในฉากสุดท้ายซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างรีพลิแคนต์ชื่อ ‘รอย แบ็ตตี้’ กับเบลดรันเนอร์ (นักสืบผู้มีหน้าที่ปลดประจำการมนุษย์เทียม) ‘เด็คการ์ด’ ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย เมื่อเด็คการ์ดเสียท่า เขากลับได้รอยช่วยไว้ มนุษย์เทียมที่เขาตามฆ่า มนุษย์เทียมที่มีอายุขัยเพียงสี่ปี กลับมีอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อนไม่ต่างจากมนุษย์ เขาจึงตั้งคำถามต่อการดำรงอยู่ของตัวเอง ตั้งคำถามต่อความเป็นมนุษย์ของผู้สร้าง
การเผชิญหน้ากันระหว่างรอยและเด็คการ์ดท่ามกลางฝนกระหน่ำ ถือเป็นช่วงสุดท้ายของการเผชิญหน้ากับความตาย
“ช่วงเวลาทั้งหมดนี้จะเลือนหายไปในกาลเวลา ดุจดั่งน้ำตาในสายฝน”
In the Mood for Love (2000)
คงไม่มีใครปฏิเสธว่าผลงานของผู้กำกับหว่อง กาไว นั้นเหงาขนาดไหน และ In the Mood for Love ก็เรียกว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงของเขาเลยก็ว่าได้ ทั้งบรรยากาศ ดนตรี และองค์ประกอบฉากต่างๆ นั้นล้วนแล้วแต่สอดประสานกันเป็นอย่างดี
เรื่องราวเกิดขึ้นในฮ่องกง ปี 1962 ประชากรที่นั่นเริ่มหนาแน่น ส่งผลให้การอยู่อาศัยเป็นไปอย่างแออัดในบางพื้นที่ และในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ครอบครัวของโจวหมู่หวันกับซูวไหล่เจินก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่อาศัยเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงของกันและกัน
ซูวไหล่เจินมีสามีที่ทำธุรกิจจึงต้องเดินทางบ่อยครั้ง ส่วนโจวหมู่หวัน มีภรรยาเป็นพนักงานต้อนรับที่มักจะทำงานกะดึกเป็นประจำ
จากเดิมที่ทั้งสองต่างก็รักคู่ครองของตนอย่างไม่มีข้อสงสัย แต่วันหนึ่งความเชื่อนั้นก็สั่นคลอนจนทำให้ปักใจเชื่อไปว่าคู่รักของตนมีคนอื่น ความเจ็บปวดนี่เองที่ดึงคนทั้งคู่เข้าหากัน กลายเป็นความรักที่ผิดที่ผิดเวลา พวกเขาไม่อาจรักกันได้อย่างเปิดเผย ซ้ำในสายตาคนนอก พวกเขาคือคนที่มีครอบครัวอยู่แล้วด้วย
ในบรรดาหลายฉากหลายตอนที่ซูวไหล่เจินได้พบกับโจวหมู่หวัน หนึ่งในนั้นมีฉากที่ทั้งสองต้องติดฝนอยู่ด้วยกัน ความสัมพันธ์อันอึมครึมยิ่งมืดหม่นภายใต้ท้องฟ้าสีดำ สายฝนที่ตกลงมากักขังพวกเขาไว้ ณ ที่นั้น ในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ต่างจากการติดอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางไปไหนได้ไกล
เมื่อเวลาที่ฝนหยุดลง ก็คงไม่ต่างจากเวลาที่พวกเขาต้องแยกย้าย กลับไปสู่ที่ทางอันเจ็บช้ำของตัวเอง
Himizu (2011)
Himizu เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากมังงะของมิโนรุ ฟุรุยะ แต่เนื้อเรื่องในต้นฉบับไม่มีความเกี่ยวข้องกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ ผู้กำกับชิออน โซโนะก็ได้ตัดสินใจเพิ่มเติมรายละเอียดในส่วนนี้ลงไปในบทภาพยนตร์ด้วย
ชีวิตแต่ละคนนั้นล้วนมีบาดแผล และบ่อยครั้งที่บาดแผลร่วมจากเหตุการณ์อันเลวร้ายครั้งใหญ่ก็ได้เข้าไปกัดกินทุกชีวิตเกินกว่าที่ใครจะคาดเดาผลที่จะตามมา
หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรง สึนามิได้กวาดเอาชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนไปเป็นจำนวนมาก หลายครอบครัวตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ครอบครัวของสึมิดะ ยูอิจิ และชาซาวะ เคย์โกะ ก็เช่นกัน ครอบครัวหนึ่งแยกแตกจนไม่มีใครลงรอยกับใคร ซ้ำยังตบตีลูกอย่างไม่ยั้งมือ อีกครอบครัวหนึ่งก็สาปแช่งให้ลูกตายไปให้พ้นๆ เพื่อที่ชีวิตคนที่เหลือจะได้สุขสบาย
เมื่อเด็กทั้งสองต้องมาอยู่ด้วยกัน มันจึงทำให้การแสดงออกของทั้งคู่ดูผิดเพี้ยนไปเสียหมด
ความกดดันและความเจ็บปวดก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมที่ซ้ำเติมเรื่องราวให้ยิ่งแย่ บรรยากาศทั้งเรื่องอึดอัด ทึมเทา และชื้นแฉะ ยิ่งฝนตกเท่าไร ราวกับว่าความอัดอั้นนั้นได้ถูกปลดปล่อยออกมามากเท่ากัน ความรุนแรงที่เก็บงำไว้ลึกๆ ภายใน ถูกระเบิดออกจนทุกอย่างพังพินาศ รวมถึงตัวตนของตัวเอง
สายฝนและสายน้ำกลืนกินจิตวิญญาณของคนไปครึ่งหนึ่ง พร้อมทิ้งความสิ้นหวังไว้แทนที่และให้แต่ละคนเผชิญหน้ากับมันต่อไป และถ้าหากว่าแพ้ก็มีแต่ต้องเสียใจเองฝ่ายเดียว
Tags: ฝน, ภาพยนตร์, Blade Runner, Breakfast at Tiffany’s