เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย โดย ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย แถลงความเห็นของพรรคต่อจุดยืนการจัดตั้งรัฐบาลและการจัดการเลือกตั้ง โดยชี้ว่า ผลการเลือกตั้งสะท้อนให้เห็นถึงระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่จะทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาล ที่ทำให้ไม่มีพรรคการเมืองใดมีเสียงข้างมากเพียงพอที่จะตั้งรัฐบาลได้เอง และผลที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือการเป็นรัฐบาลผสมที่จะทำให้ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเพื่อไทยได้เคยคัดค้านและแสดงความไม่เห็นด้วยมาแต่ต้นแล้ว
ชูศักดิ์ระบุว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีการแบ่งฝ่ายของประชาชนและพรรคการเมืองอย่างชัดเจน ระหว่างหนุนหัวหน้า คสช. สืบทอดอำนาจต่อ โดยมีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นแกนนำ กับฝ่ายประชาธิปไตยที่คัดค้านการสืบทอดอำนาจดังกล่าว โดยมีเพื่อไทยและพรรคแนวร่วมอื่นๆ อีกหลายพรรค
“ผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการนับคะแนนได้ 95% ปรากฏว่า เพื่อไทยได้จำนวน ส.ส. มากที่สุด ประมาณ 137 คน ส่วน พปชร.ได้ ส.ส. ประมาณ 118 คน จึงต้องถือว่า เพื่อไทยได้รับฉันทามติจากประชาชนเข้ามาบริหารประเทศ แต่ พปชร.กลับอ้างคะแนนเสียงรวมของประชาชน ทั้งที่คะแนนเสียงดังกล่าวแปลงมาเป็นจำนวน ส.ส. แล้ว
นอกจากนี้เมื่อรวมจำนวน ส.ส. ของทุกพรรคที่ประกาศก่อนการเลือกตั้ง ว่าคัดค้านการสืบทอดอำนาจก็จะมีจำนวน ส.ส. มากกว่า 250 คน และมีคะแนนเสียงมากกว่าพรรคที่สนับสนุน ถึงกว่า 6 ล้านเสียง”
ชูศักดิ์ชี้ว่า ผลการเลือกตั้งเบื้องต้นสะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อไป การที่บางพรรคจะร่วมตั้งรัฐบาลและผลักดันให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อ น่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ จะไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน รัฐบาลที่ได้จะไร้เสถียรภาพ ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาอื่นๆ ได้ จึงอยากเรียกร้องให้คำนึงประโยชน์ประเทศ และประชาชน มากกว่าผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง ทั้งนี้ เพื่อไทยพร้อมทำหน้าที่พรรคการเมืองอย่างมีความรับผิดชอบและสร้างสรรค์
ส่วนการจัดการเลือกตั้งของ กกต.นั้น พรรคเพื่อไทย มองว่า มีปัญหามาตั้งแต่ต้น เริ่มจากการที่หัวหน้า คสช. ซึ่งมีส่วนได้เสียในการเลือกตั้ง มีอิทธิพลต่อการกำหนดกติกา กำหนดกรรมการ รวมทั้งใช้อำนาจตามมาตรา 44 เข้ามาแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้งหลายครั้ง และระหว่างการเลือกตั้งมีความไม่โปร่งใสในหลายขั้นตอน ทั้งกระบวนการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งที่ไม่ระบุจำนวนและสถานที่พิมพ์ ทำให้ตรวจสอบไม่ได้ การปล่อยปละละเลยให้ทุจริตอย่างแพร่หลาย ซื้อเสียง ใช้อำนาจรัฐ การใช้อิทธิพลข่มขู่คุกคามผู้สมัครและผู้สนับสนุนในหลายพื้นที่ดังที่ปรากฏเป็นข่าวโดยทั่วไป
จนถึงคะแนนรวมในหน่วยไม่ตรงกับที่มีการรายงานผล มีคะแนนมากกว่าผู้มาใช้สิทธิแสดงให้เห็นว่ามีการใช้อำนาจ รัฐเข้ามาแทรกแซงในกระบวนการจัดการเลือกตั้งอย่างเห็นได้ชัด จนเป็นที่มาของการเข้าชื่อถอดถอน กกต. กว่า 7 แสนคน
ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือใครเป็นเสียงข้างมากที่รวมได้ในสภา วันนี้ ฝ่ายรัฐบาลมีกลไกทุกอย่างในมือและเชื่อว่าตัวเองจะมีกลไก ส.ว. 250 คนที่จะสามารถเลือกนายกฯได้ แต่ที่สำคัญ คือต้องมี 251 เสียงในสภา ถึงจะบริหารประเทศได้ ส่วนตัวเชื่อว่าวันนี้ พปชร.ยังไม่ได้ 251 เสียง ไม่เช่นนั้นคงประกาศตั้งรัฐบาลแล้ว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ กกต. ทำหน้าที่อย่างรับผิดชอบ ทำให้การเลือกตั้งเป็นที่พอใจของสาธารณชนทั้งในและต่างประเทศที่กำลังจับตาดูอยู่
“ยากเกินไปไหมสำหรับการทำสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจน อย่างไรก็ต้องทำให้ชัดเจน กรณีมีคลิปว่ามีคนยืนคุมจริงหรือไม่ ถ้าจริง ทำได้ไหม ขนาด กกต.จัดคูหาหันหลังออกยังติดคุกไปแล้ว ครั้งนี้มีการขานคะแนนไม่ชัด รายละเอียดการเซ็นบัตร จะทำให้ชัดเจนอย่างไร เมื่อเข้าต่อสู้ก็ต้องการความชัดเจน ไม่ใช่เรื่องล้มเลือกตั้ง แต่ต้องการความยุติธรรม”
ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ภูมิธรรม ให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ทางช่องสปริงนิวส์ เรื่องการจับขั้วตั้งรัฐบาล โดยยืนยันว่า ส.ส. กว่า 300 เสียง เป็นพรรคที่ประกาศตัวก่อนที่ประชาชนจะหย่อนบัตรว่า อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงจากห้าปีที่ผ่านมา พร้อมยืนยันว่ารวมเสียงได้เกิน 250 เสียงแล้ว จึงมีความชอบธรรมในการบริหารสภาล่าง ยังเหลือพรรคใหญ่ๆ ซึ่งต้องรอความชัดเจนก่อน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าต้องยึดทางออกประเทศเป็นหลัก ให้บริหารได้และออกจากสภาพปัจจุบันได้
ทั้งนี้เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า จะบริหารแผ่นดินได้นั้น ต้องได้เสียงจากพรรคภูมิใจไทยด้วย ขณะนี้ภูมิใจไทยตอบรับหรือไม่ ภูมิธรรมตอบว่า ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการ ยังไม่มีการตอบรับหรือปฏิเสธ กำลังพิจารณาอยู่ แต่เชื่อมั่นว่าจะเป็นจริงได้
ส่วนคำถามว่าได้มีการเสนอเก้าอี้นายกฯ ให้ภูมิใจไทยและได้หารือกับพรรคอนาคตใหม่หรือยัง ภูมิธรรมตอบว่า ยังไม่ได้เสนอเก้าอี้นายกฯ ให้ใคร
“แต่เราไม่ยึดติดในกรอบอะไร ทั้งนี้ การตัดสินใจจะยึดเอาเจตนารมณ์ของประชาชนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงเป็นที่ตั้ง เชื่อว่าเรื่องหลักใหญ่คือ ทุกคนไม่อยากเห็นการสืบทอดอำนาจ และการวางกติกาเพื่อนำไปสู่การทะเยอทะยานอยากเป็นนายกฯ ขณะนี้ทุกฝ่ายยังอยู่ในหลักการ ไม่ได้เริ่มต้นว่าใครจะเป็นนายกฯ หรือรัฐมนตรีกระทรวงอะไร แต่เป็นการให้ประชาชนออกจากวิกฤต”
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า หากนาทีสุดท้ายถูกภูมิใจไทยปฏิเสธ การจับครั้งนี้จะเหลือ 249-250 เสียง เพื่อไทยจะถูกผลักเป็นฝ่ายค้าน จะกลายเป็นการนับถอยหลังสลายตัวของเพื่อไทยหรือไม่ ภูมิธรรมตอบว่า เชื่อมั่นใน ส.ส. ของเพื่อไทย เพราะการได้มาของ ส.ส. มาด้วยการฝ่าวิกฤตต่างๆ ที่กฎกติกาของผู้มีอำนาจวางไว้ และอยู่บนฐานของประชาชนสนับสนุน ดังนั้น จะทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้าโดยกลไกควรได้เป็น แล้วไม่สามารถ ก็จะทำหน้าที่ตรวจสอบรักษาผลประโยชน์ประชาชนอย่างเต็มที่
ส่วนจะเกิดกรณีงูเห่าขึ้นหรือไม่ เขาเชื่อว่า เจตนารมณ์ของประชาชนจะกำหนด ส.ส.ให้อยู่ในแถว หากเกิดกรณีงูเห่าขึ้น ส.ส.ก็จะไม่มีที่ยืนในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป
Tags: พรรคเพื่อไทย, ภูมิธรรม เวชยชัย, เลือกตั้ง62