“ผมคิดว่า เล็กซ์ ลูเทอร์ มองตัวเองเป็นผู้พิทักษ์มนุษยชาติ และอยากได้รับคำยกย่อง ชื่นชมเพราะเรื่องนี้ด้วย ฉะนั้นเวลาที่มีใครสักคนที่มีพรสวรรค์และพลังมากกว่าเขาปรากฏตัวขึ้นมาแย่งความสนใจไปจนหมด จึงเป็นเรื่องที่ทำให้เขารำคาญใจเอามากๆ”

  นิโคลัส โฮลต์ (Nicholas Hoult) อธิบายการตีความตัวละคร เล็กซ์ ลูเทอร์ วายร้ายจากหนังซูเปอร์ฮีโร่ลำดับล่าสุดอย่าง Superman (2025) ที่เขารับบทได้น่าสนใจสุดๆ จนเป็นจุดแข็งอีกประการของตัวหนัง ก่อนหน้านี้เขาเคยมาแคสติงบทซูเปอร์แมน แต่ลงเอยที่บทมหาเศรษฐีผู้พังเมืองทั้งเมืองราบเป็นหน้ากลอง เพื่อท้าชนกับยอดมนุษย์

  Superman หนังซูเปอร์ฮีโร่ลำดับล่าสุดที่กำกับโดย เจมส์ กันน์ (James Gunn) เล่าเรื่องของซูเปอร์แมน (เดวิด คอเรนสเว็ต) ที่กำลังเพลี่ยงพล้ำให้เล็กซ์ ลูเทอร์ (โฮลต์) มหาเศรษฐีผู้ควบคุมและบงการการเมืองสหรัฐฯ และการเมืองระหว่างประเทศได้ด้วยอำนาจเงิน ทั้งยังสร้างคุกลับใต้ดินเพื่อขังคนเห็นต่าง แถมยังสร้างกองทัพรองจำนวนมากเพื่อใช้ในสงครามไซเบอร์ด้วย 

“จริงๆ เล็กซ์น่ะเลวร้ายกว่านี้อีกมาก แต่เจมส์พยายามหาจุดสมดุลให้หนังเพื่อให้เหมาะสำหรับคนดูหลากหลายช่วงวัยน่ะ เราเลยลดความอำมหิตของเขาลง จึงได้เห็นความบ้าคลั่งและความเหี้ยมโหดของเขา แต่แค่ไม่ระห่ำเท่าที่เป็นจริงๆ” โฮลต์อธิบาย

  จะว่าไปแล้ว เส้นทางการแสดงของโฮลต์ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะเขาคือนักแสดงที่แจ้งเกิดจากบทเด็กชายใสๆ แล้วกระโจนไปรับบทเด็กหนุ่มหัวร้อน ข้ามไปเล่นละครเวทีและกลับมาเล่นหนังบล็อกบัสเตอร์ ก่อนจะหันไปรับบทในหนังรางวัลและหนังอิสระ ที่ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักแสดงแถวหน้าที่น่าจะเล่นหนังมาแล้วแทบทุกฌ็อง

สมัยยังเด็ก โฮลต์ปรากฏตัวในบทสมทบจากซีรีส์ที่ออกฉายในสหราชอาณาจักรเป็นหลัก และในวัยเพียง 13 ปี เขาก็ดังระเบิดจาก About a Boy (2002) หนังรอมคอมสุดน่ารักที่เล่าเรื่องของวิลล์ ฟรีแมน (ฮิวจ์ แกรนต์) ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอย่างสุขใจ หากแต่ชีวิตก็จับพลัดจับผลูให้เขาเจอมาร์คัส (โฮลต์) เด็กชายสุดวายป่วงที่ทำให้แผนการดำเนินชีวิตแบบวันต่อวันของวิลล์สะดุดไม่เป็นท่า แต่การได้อยู่กับมาร์คัสก็ทำให้วิลล์ได้เสแสร้งเป็น ‘คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว’ เพื่อเข้าหาสาวๆ ได้ และแผนการที่ฟังดูแสนจะไม่เข้าท่านี้ ด้านหนึ่งก็ทำให้ทั้งวิลล์และมาร์คัส ต่างเติบโตขึ้นมาในแบบของตัวเองด้วยเช่นกัน

โฮลต์ออดิชันหนังเรื่องนี้ตอนอายุ 11 ปี หลังจากลังเลอยู่นานเพราะเกรงว่า จะกระทบการเรียนของเขา หากแต่ถึงที่สุด เขาก็ได้รับเลือกให้รับบทเป็นเด็กชายจอมป่วนที่สวมหมวกประหลาดๆ ให้มาแสดงร่วมกันกับฮิวจ์ แกรนต์ เจ้าพ่อหนังรอมคอมชาวอังกฤษ ตัวหนังประสบความสำเร็จสุดขีดด้วยการทำเงิน 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากทุนสร้าง 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แจ้งเกิดเจ้าหนูนักแสดงกับเอกลักษณ์ ‘คิ้วชี้’ โฮลต์เต็มตัว (อย่างไรก็ดีโฮลต์เล่าว่า หลังแสดงหนังจบ เขาได้รางวัลเป็นเพลย์สเตชันใหม่เอี่ยมด้วยนะ)

  เมื่อปี 2024 ทั้งโฮลต์และแกรนต์กลับมาเจอกันอีกครั้ง โฮลต์เล่าความหลังของการแสดง About a Boy กับแกรนต์ว่า “มันเป็นจุดเริ่มต้นการแสดงที่ดีมากๆ แต่ตอนนั้นผมก็รู้สึกเสมอว่า นักแสดงเด็กไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่านักแสดงที่เป็นผู้ใหญ่ เพราะงั้นลึกๆ เลยคิดตลอดว่า ‘งานนี้มันอาจไม่รอดก็ได้นะ’ ซึ่งว่าไปก็เป็นเรื่องประหลาดอยู่ที่รู้สึกอะไรแบบนี้ตั้งแต่ยังเด็กขนาดนั้น” โฮลต์เล่า “แต่ผมว่ามันส่งอิทธิพลต่อตัวตนและการเป็นนักแสดงของผมด้วย”

  ความไม่แน่ใจเรื่องความสำเร็จในหน้าที่การงานของตัวเองนั้น ทำให้โฮลต์ลาออกจากสถาบันการแสดงซิลเวีย ยังในลอนดอน และเข้าเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วไปแทน โดยยังรับงานแสดงอยู่บ้าง และขณะที่คนดูยังจำเขาจากบทเด็กชายน่ารักๆ ในหนังทั้งหลายอยู่นั้น โฮลต์ในวัย 17 ปีก็ตัดสินใจฉีกภาพจำด้วยการรับบทนำใน Skins (2007-2013) ซีรีส์วัยรุ่นสุดดาร์กสัญชาติอังกฤษ

โดยเขารับบทเป็น โทนี หนุ่มจากครอบครัวชนชั้นกลางมีฐานะ รูปหล่อ ที่ทั้งเอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว และเอาแน่เอานอนไม่ได้ โดย 2 ซีซันแรกของ Skins เล่าผ่านเส้นเรื่องของโทนีเป็นหลัก กับเพื่อนฝูงและคนรักที่เต็มไปด้วยบาดแผลทางใจ อาศัยในครอบครัวที่ไม่อาจเป็นที่พึ่งพิงได้ ทั้งยังใช้ชีวิตอยู่ในวังวนแห่งเหล้า ยา เซ็กซ์ และการกลั่นแกล้งรังแกกันทุกรูปแบบ โทนีเป็นทั้งที่รักและที่ชังของหลายๆ คน เขามีเสน่ห์เฉพาะตัวบางอย่าง (อันจะเห็นได้จากฉากแรกๆ ที่สาวๆ ยืนกรี๊ดเขาที่ยืนร้องเพลงเขินๆ) พร้อมกันนั้น ภาวะขึ้นๆ ลงๆ และความเป็นจอมบงการก็มักทำให้เขาพาตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อนอยู่หลายครั้ง

  โฮลต์ขยับไปแสดงในหนังบล็อกบัสเตอร์ด้วยการรับบทสมทบใน Clash of the Titans (2010) ที่แม้ตัวหนังจะได้รับคำวิจารณ์ทางลบ หากแต่มันก็กวาดรายได้เป็นกระบุงโกยที่ 493 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากทุนสร้าง 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งในปีต่อมาโฮลต์ยังปรากฏตัวในบท แฮงก์ นักวิทยาศาสตร์หนุ่มหัวดี อีกด้านก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยการเป็นบีสต์ ซึ่งทำให้เขามีพลังกำลังมหาศาล เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วกว่ามนุษย์ทั่วไปในแฟรนไชส์ X-Men: First Class (2011)

  โฮลต์เองเป็นแฟนตัวยงของ X-Men มาตั้งแต่สมัยเป็นคอมิก ก่อนหน้ามารับบทเป็นบีสต์ เขาจึงตะลุยอ่านคอมิกทั้งของ X-Men และ The Avengers “คนชอบถามผมว่า ถ้าผมมีพลังวิเศษจริงๆ ผมจะเลือกอะไร ผมก็ตอบทุกทีไปว่าผมเลือกทั้งหมดแหละ” เขาหัวเราะ “แต่ถ้าให้เลือกจริงๆ ก็อาจเป็นโทรจิตหรืออะไรทำนองนั้น”

  ในลำดับถัดมา โฮลต์รับบทนำใน Warm Bodies (2013) หนังโรแมนติก (?) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันในปี 2011 พูดถึงช่วงเวลา 8 ปีหลังเกิดภัยพิบัติทำให้เกิดคนเป็นซอมบี้ อาร์ (โฮลต์) ซอมบี้หนุ่มที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าชื่อจริงๆ ของเขาคืออะไร แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าขึ้นด้วยตัว ‘R’ แกร่งไปมาในสนามบินร้าง เขาโหยหาการกินสมองมนุษย์อยู่เนืองๆ เพราะการได้กินสมองเหยื่อ ทำให้เขาได้รับความทรงจำของเหยื่อที่ทำให้เขารู้สึกหวนกลับไปเป็นมนุษย์อีกครั้ง เรื่องชวนเหวอคือ เขาดันไปกินสมองของหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่มีคนรักคือ จูลี (เทเรซา พัลเมอร์) อาร์เลยมีสำนึกรักหญิงสาวที่เขาไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวในฐานะซอมบี้ และเรื่องประหลาดคือ ดูเหมือนความรู้สึกนี้จะทำให้เขากลับไปเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง

Warm Bodies ถือเป็นหนังที่ได้รับคำวิจารณ์กลางๆ ตัวหนังทำเงินไปได้ถึง 117 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากทุนสร้าง 35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ “ผมว่าบทหนังมันกึ่งกลางระหว่างเฮอร์เรอร์กับโรแมนติก แต่มันก็ไม่ได้วางตัวเป็นหนังจริงจังอะไรขนาดนั้นแต่แรกอยู่แล้ว” โฮลต์บอก “ผมว่ามันไปทางตลกดีด้วย แต่เป็นตลกที่มีหัวใจ ว่าด้วยคน 2 คนที่เชื่อมร้อยหัวใจต่อกัน และเห็นส่วนที่ดีที่สุดของอีกฝ่าย ผมว่ามันดีออกนะ”

และตามมาด้วยหนึ่งในบทโคตรจะเดือดอย่าง Mad Max: Fury Road (2015) ที่โฮลต์รับบทเป็นนักซ์ หนึ่งในกองทัพนักรบของอิมมอร์ตัน โจ (ฮิวจ์ คียส์-เบิร์น) จอมเผด็จการผู้ครอบครองทรัพยากรในทะเลทรายอันแห้งแล้ง พวกเขาออกไล่ล่าแม็กซ์​ (ทอม ฮาร์ดี) หนุ่มแปลกหน้าที่กระโจนขึ้นรถไปพร้อมฟูริโอซา​ (ชาร์ลิซ เธอรอน) หญิงแกร่งที่พาเมียทั้งห้าของอิมมอร์ตัน โจหนีออกมาจากอาณาจักรของเขาด้วย

  Mad Max: Fury Road เป็นหนึ่งในหนังจากแฟรนไชส์มหากาพย์ Mad Max ของ จอร์จ มิลเลอร์ คนทำหนังสัญชาติออสเตรเลีย ตัวหนังประสบความสำเร็จถล่มทลายและกวาดคำชมกลับมามหาศาล โดยเฉพาะฉากพุ่งรบกลางทะเลทรายสุดตระการตา (ใครจะไปลืมฉาก ‘ลั่นกลองรบ’ กับโซโลกีตาร์สุดแพรวพราวบนรถบรรทุกที่ขนคลังอาวุธได้ล่ะ!) และประเด็นที่พูดถึงการครอบครองทรัพยากร ความเป็นหญิง และการกัดฟันสู้ยิบตาของคนตัวเล็กตัวน้อยกับจอมเผด็จการ รวมทั้งตัวละครนักซ์และเหล่านักรบ ‘วอร์บอย’ ที่ชีวิตวาดหวังได้ตายในสงครามตามที่อิมมอร์ตัน โจสอนไว้

  “ผมไม่รู้เหมือนกันนะว่ามันดีหรือไม่ดี แต่ชีวิตผมไม่มีเรื่องที่ผมเชื่อมั่นขนาดพร้อมตายให้ได้” โฮลต์บอก “แล้วส่วนตัวก็ไม่ใช่คนเคร่งศาสนาอะไรด้วย จอร์จ มิลเลอร์จะบอกว่า ก็ได้ สำหรับนาย ภารกิจของนักซ์คือการยิงประตูให้ได้ตอนทีมไปถึงรอบสุดท้ายของ World Cup น่ะ ซึ่งพอเขาอธิบายแบบนี้ ผมก็บอกเขาไปว่า ขอบคุณที่พูดให้เห็นภาพนะฮะ” 

นับจากนั้น โฮลต์ก็สลับไปมาระหว่างการอยู่ในหนังฟอร์มยักษ์กับหนังดราม่าเล็กๆ เขารับบทนำใน Rebel in the Rye (2017) หนังชีวประวัติของ เจ.ดี.ซาลินเจอร์ ผู้เขียนนิยาย The Catcher in the Rye อันโด่งดัง โดยโฮลต์รับบทเป็นซาลินเจอร์ช่วงที่เขากระเสือกกระสนอยู่กลางสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกไม่นานหลังจากนั้น ซาลินเจอร์ก็ได้ให้กำเนิดนิยายเรื่องแรกที่พูดถึงคนหนุ่ม ความขบถและความเป็นอื่นในสังคม ที่คล้ายเป็นกระจกสะท้อนชีวิตเขาอย่าง The Catcher in the Rye และในอีกไม่กี่ปีต่อมา โฮลต์ยังรับบทเป็นนักเขียนในหนังชีวประวัติของ เจ.อาร์.อาร์ โทลคีน ผู้เขียนมหากาพย์ The Lord of the Rings ในหนัง Tolkien (2019) ซึ่งเล่าถึงช่วงชีวิตกับความรักของโทลคีนก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะระเบิดตัวขึ้น

ขณะที่รับบทนำในหนังหลายเรื่อง โฮลต์ก็พร้อมรับบทสมทบในหนังอีกหลายเรื่องเช่นกัน The Favourite (2018) หนังที่ส่ง โอลิเวีย โคลแมน คว้าออสการ์ได้เป็นครั้งแรกของ ยอร์กอส ลานธิมอส หนังเล่าถึงความสัมพันธ์ชวนปวดเศียรเวียนเกล้าระหว่าง พระนางเจ้าแอนน์ (โคลแมน) กับสาวคนสนิท ซาราห์ (เรเชล ไวสซ์) และอบิเกล (เอ็มมา สโตน) หญิงสาวที่เพิ่งเข้ามาในวัง

  อาจจะมองได้ว่า The Favourite เป็นหนังที่ตีแผ่ความเละของราชสำนักอังกฤษ​ (แต่หนังกำกับโดยคนกรีกนะ) อันชวนขันขื่นเรื่องหนึ่ง เพราะเรื่องราววนเวียนอยู่ภายในพระราชวัง โอนเอนไปตามความเจ้าอารมณ์ เอาแน่เอานอนไม่ได้ของพระนางเจ้าแอนน์ ข้ารับใช้ที่ต้องทุ่มทรัพยากรเพื่อปรนเปรอชนชั้นสูง ซึ่งวันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากจัดปาร์ตี้และตั้งวงซุบซิบนินทา มิหนำซ้ำสถานการณ์บ้านเมืองยังเดือดดาลสุดขีด เมื่ออังกฤษกำลังทำสงครามกับฝรั่งเศส เงินภาษีถูกนำไปใช้เพื่อการรบราจนประชาชนอดอยากและเริ่มไม่พอใจผู้นำขึ้นมา โรเบิร์ต (โฮลต์) ชนชั้นสูงเงินถุงเงินถังที่ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับสถานการณ์ ใช้ชีวิตลอยชายไปมา จนราชสำนักเริ่มมีดำริจะเก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้น เพื่อนำไปใช้จ่ายในการสงคราม ตอนนั้นเองที่โรเบิร์ตเริ่มเดือดดาลและคิดว่า ราชสำนักเป็นภัยต่อตัวเขา

“ผมว่าเขาเป็นจอมบงการแท้ๆ เลยล่ะ ฉลาดแถมยังอำมหิต” โฮลต์เล่าถึงตัวละครโรเบิร์ต “แต่สิ่งที่เขาทำมันก็มีเหตุมีผลรองรับหมดเลย คือเป็นคนประเภทที่จะใช้ทุกอย่างที่มีในมือเพื่อเอาชนะเรื่องทางการเมืองจนได้น่ะ”

  และปีที่ผ่านมาจนถึงปีนี้ ดูเหมือนจะเป็นปีที่โฮลต์โดดเด่นไม่น้อย เขารับบทนำในหนังที่ว่ากันว่าจะเป็นหนังทิ้งทวนของคุณปู่ คลินต์ อีสต์วูด ใน Juror #2 (2024) หนังดราม่าเข้มข้นที่โฮลต์รับบทเป็น จัสติน ที่ทำหน้าที่เป็นลูกขุนระหว่างการพิจารณาคดีฆาตกรรมคดีหนึ่ง และศีลธรรมกับความถูกต้องในหัวเกิดปะทะกันขึ้นมาจนกลายเป็นเรื่องยากที่เขาจะฟันธงได้ รวมทั้ง The Order (2024) หนังยาวลำดับล่าสุดของ จัสติน เคอร์เซล เล่าถึงกลุ่มอาชญากรที่ทั้งปล้น ฆ่าและสร้างความวุ่นวายในยุค 1980s โดยโฮลต์รับบทเป็นหัวหน้าแก๊งอาชญากรที่คลั่งลัทธิคนขาวและชาตินิยมเข้มข้น อีกด้านเขาก็ต้องปะทะกับ เทอร์รี (จูด ลอว์) เจ้าหน้าที่ FBI ที่กัดฟันตามล่าเขากับพรรคพวกอย่างไม่ลดละ

และที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นงานชิ้นใหญ่ของโฮลต์อีกชิ้นในปีที่ผ่านมาคือ Nosferatu (2024) หนังของ โรเบิร์ต เอ็กเกอร์ส ที่เขารับบทเป็น โทมัส ชายหนุ่มเพิ่งแต่งงานกับเมียรัก เอลเลน (ลิลี โรส-เด็ปป์) สุดหัวใจ หากแต่เขาไม่มีเงินนัก และการจะสร้างเนื้อสร้างตัวได้ก็มีแค่ต้องรับภารกิจทำสัญญากับ เคาต์ออร์ล็อก (บิลล์ สการ์สการ์ด) ชายสูงศักดิ์ลึกลับในทรานซิลเวเนีย ขณะที่เอลเลนพยายามทำทุกทางเพื่อไม่ให้เขาออกเดินทาง เนื่องจากเธอมีนิมิตว่า ชายลึกลับในทรานซิลเวเนียนั้นมีเจตนาร้าย และหมายปองอย่างอื่นนอกเหนือจากสัญญาที่ดิน

  “ผมว่าคนเข้าใจโทมัสผิดไปเยอะนะ เขารักเมียแน่ๆ แหละ แต่ไม่ได้รับฟังเธอเท่าที่ควรว่าเธอผ่านอะไรมา ผมว่าเขาไร้เดียงสามากทีเดียวที่คิดว่าถ้ามีเงินมากขึ้น ก็จะมีบ้านหลังใหญ่ขึ้น และจะแก้ปัญหาทุกอย่างที่มีได้” โฮลต์บอก “และก็อย่างที่เห็น เขาดันไปปล่อยวายร้ายเคาต์ออร์ล็อกออกมาได้ โรคร้ายระบาดฆ่าเพื่อนรักกับครอบครัวเขาทั้งบางจนได้

  “ผมคิดว่าโทมัสเรียนรู้ทุกอย่างช้าไปเสมอเลย ถ้าเขาเข้าใจความอับอายของเอลเลนได้เร็วกว่านี้ ได้สื่อสารกับเธอมากกว่านี้ตั้งแต่แรก เขาคงไม่ได้อยากได้บ้านหลังใหญ่หรืออยากร่ำรวยอะไรหรอก และก็ไม่ต้องไปทำภารกิจที่ว่านี่ด้วยน่ะ”

นอกเหนือจาก Superman โปรเจกต์ถัดไปของโฮลต์คือ How to Rob a Bank หนังที่ทำท่าจะวายป่วงแน่ๆ ของ เดวิด ลิตช์ ผู้กำกับ Bullet Train (2022) ที่นอกจากโฮลต์แล้ว ยังนำแสดงโดย โซอี คราวิตซ์ กับพีต เดวิดสัน เตรียมชมกันได้ในปี 2026

Tags: , , , , , , , , , ,