อาจเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ปี 2025 นี้ดูจะมีหนังและซีรีส์ Horror ที่เล่าเรื่องผ่าน ‘ตัวละครเด็ก’ เยอะเหลือเกิน

เด็กกับความสยองขวัญดูจะเป็นขั้วตรงข้ามกัน อย่างน้อยในโลกของวรรณกรรมและเรื่องเล่า เด็กเป็นสัญลักษณ์ของความเยาว์วัย ความบริสุทธิ์ และเป็นผู้ที่สมควรได้รับการปกป้องอย่างถึงที่สุด 

ถ้ามองย้อนกลับไปยังเรื่องเล่าปรัมปรา ตำนาน และนิทานหลายๆ เรื่องจากหลายๆ พื้นที่ มากต่อมาก เราคงพบว่าเรื่องราวเหล่านั้นเล่าผ่านชะตากรรมชวนขนหัวลุกที่เด็กเผชิญ ซึ่งก็อาจจะเพื่อเป็น ‘ตัวอย่างสอนใจ’ ให้แก่เด็กๆ ที่กินอิ่มนอนอุ่นบนเตียง นับตั้งแต่ หนูน้อยหมวกแดง ที่เรื่องเล่าต้นทางจากภาษาฝรั่งเศสนั้น แม่หนูน้อยถูกหมาป่าจับกินไปพร้อมคุณยาย หรือนักเป่าปี่แห่งฮาเมลิน ที่ถูกว่าจ้างให้เป่าปี่วิเศษเพื่อไล่หนูออกจากเมืองแต่ถูกชาวเมืองหักหลัง เขาจึงตอบแทนด้วยการเป่าปี่พาเด็กๆ ออกจากเมือง หายลับไปตลอดกาล

  บทวิจัย Don’t Look Now: The Child in Horror Cinema and Media โดย ฮานส์ สตาตส์ จาก Stony Brook University สำรวจประเด็นนี้อย่างแหลมคม โดยสตาตส์ชี้ว่า ในเรื่องเล่าหรือภาพยนตร์กระแสหลัก บางครั้งเด็กก็ถูกนำเสนอในขั้วตรงข้ามกับการเป็นผู้บริสุทธิ์หรือการเป็นผ้าขาว แต่ความสยดสยอง ซึ่งบางคราวแนบมากับความโหดร้ายนั้น เป็นภาพแทนของการต่อต้าน การขบถต่อบรรทัดฐานทางสังคมและความไม่ปลอดภัยบางอย่าง การนำเสนอภาพเด็กในแวดล้อมของความอันตราย หรือกระทั่งเป็นต้นธารของความอันตรายนั้นเสียเอง จึงสร้างความรู้สึกข้ามเส้นทางศีลธรรมและความเคยชินบางอย่างในตัวคนดู

  หนัง Horror ที่มีเด็กเป็นเรือธงสำคัญที่เข้าฉายตั้งแต่ต้นปีคือ Bring Her Back (2025) ของพี่น้องฟิลิปปู คนทำหนังจากออสเตรเลียที่เคยเขย่าขวัญคนดูมาแล้วจาก Talk to Me (2022) หนังที่ว่าด้วยคนเป็นสื่อสารกับคนตายผ่านมือของร่างทรง และใน Bring Her Back ก็ยังเต็มไปด้วยส่วนผสมเดิมจากหนังเรื่องก่อน กล่าวคือหนังสำรวจเรื่องความตาย การรับมือกับความสูญเสีย ลัทธิประหลาด และที่สำคัญคือความรุนแรงที่กระทำต่อเด็กและเยาวชน

หากยังจำกันได้ ฉากที่ชวนสยดสยองและกระอักกระอ่วนฉากหนึ่งของ Talk to Me คือการที่ผีเข้าร่างหนุ่มน้อยที่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะคนเดียวในกลุ่ม และสั่งให้เขาทำร้ายตัวเองปางตายด้วยการเอาหัวบดของแข็ง ขณะที่ Bring Her Back เล่าเรื่องผ่านชะตากรรมของสองพี่น้องกำพร้า คนน้องสาวตาเกือบบอด พวกเขาต้องไปอยู่ในบ้านหญิงผู้อุปการะใจดี ที่เลี้ยงหลานชายซึ่งดูเป็นเด็กประหลาด 1 คน 

ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องกับผู้ดูแลหญิงเป็นไปด้วยดี เธอประคบประหงมน้องสาวตาไม่ดีของเขาอย่างใกล้ชิด แต่ยิ่งเวลาผ่านไป พี่ชายซึ่งมักถูกกีดกันออกจากวงสนทนาและไม่ค่อยได้รับการดูแลนัก เริ่มสังเกตเห็นความเพี้ยนประหลาดของหญิงเจ้าของบ้าน เช่นเดียวกับหลานชายซึ่งไม่เคยเอ่ยปากพูด และกระท่อมน้อยข้างบ้านซึ่งเธอห้ามไม่ให้พวกเขาเข้าไปใกล้

ตัวละครเด็กไม่เพียงแต่ทุกข์ทรมานจากการใช้ชีวิตอยู่ในแวดล้อมแห่งใหม่เท่านั้น แต่หนังพาเราสำรวจชีวิตแต่หนหลังของพวกเขา ซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลและความขมขื่น กล่าวอีกอย่างคือ ตัวละครเด็กในเรื่องแทบไม่มีจังหวะชีวิตที่ได้มีความสุขหรือเป็นที่รัก เขาโดนพ่อแท้ๆ ทุบทำลายจนบาดเจ็บ หรือแผลใจของเด็กหญิงที่พบว่า ต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องตาพิการอาจอยู่ใกล้ตัวเธอกว่าที่คิด ชีวิตของพวกเขาจึงห่มล้อมด้วยความสยดสยองตลอดเวลา

  แต่นั่นคงเทียบไม่ได้กับฉาก ‘กินผลไม้’ (หรือพูดให้ถูกคือ ควรจะกินผลไม้) กลางเรื่อง ที่หนังฉายภาพความรุนแรงแต่ตัวละครเด็กอย่างไม่บันยะบันยัง หรือการจับจ้องไปยังเรือนร่างโป่งพอง บิดเบี้ยวของเด็กชายที่ถูกบางอย่างสิงสู่และปรารถนาจะหาร่างใหม่เต็มที ถึงที่สุดมันกลายเป็นฉากจำของหนังที่ทำให้หนังถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง และทำเงินไปได้ทั้งสิ้น 39 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากทุนสร้างเพียง 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อีกเรื่องที่ว่าไปแล้วก็สร้างบาดแผลในใจให้เด็กๆ ไม่แพ้กันคือ Weapons (2025) หนังที่กวาดรายได้ไปทั้งสิ้น 269 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของ แซก เคร็กเกอร์ คนทำหนังที่แจ้งเกิดจาก Barbarian (2022) โดยหนังเล่าถึงช่วงเวลาขนหัวลุกเมื่อเด็ก 17 คน หายตัวไปจากเมืองพร้อมกัน สิ่งเดียวที่ทิ้งร่องรอยไว้คือ ภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าบ้านที่จับภาพพวกเขาวิ่งออกไปจากบ้านพร้อมกันตอน 02.17 น. ความซวยหล่นมาตกที่ครูสาวประจำชั้นที่ตอบไม่ได้ว่า ทำไมเด็กจึงหายไป ท่ามกลางความเคียดแค้นชิงชังที่เหล่าผู้ปกครองปาใส่เธอ เด็กชายคนเดียวของชั้นที่ยังไม่หายไปคือ อเล็กซ์ เธอพยายามติดตามเขากลับไปยังบ้าน และพบว่าบ้านที่ปิดประตูหน้าต่างจนสนิทของอเล็กซ์นั้น มีบางอย่างลึกลับซุกซ่อนอยู่

  อันที่จริง หนังเล่าความหายนะผ่านตัวละครผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ทั้งคุณครูที่เครียดจนสมองจะระเบิด ผู้ปกครองเด็กที่พร้อมพลิกแผ่นดิน ถล่มโลกทั้งใบเพื่อหาลูกกลับบ้าน หรือแม้แต่ครูใหญ่ที่ตกเป็นเหยื่อของสิ่งเลวร้ายอีกทีหนึ่ง และแม้หนังจะไม่ได้ฉายภาพความรุนแรงที่กระทำต่อเด็กโดยตรงแบบ Bring Her Back แต่มันก็ชวนสำรวจชะตากรรมของเด็กๆ ที่เติบโตขึ้นกับความรุนแรงและการชักจูงของผู้ใหญ่ พวกเขาอาจไม่ได้มีเจตนาทำลายล้างใคร หากแต่ถึงที่สุด มือที่เปื้อนเลือดก็ยังเป็นมือของพวกเขา และคนที่จะต้องแบกรับน้ำหนักของการประหัตประหารเรื่อยไปคือตัวเด็กๆ เหล่านี้

  อีกทั้งปีนี้ยังเป็นปีแห่งการกลับมาของ Stranger Things ซีซัน 5 ซึ่งเป็นซีซันสุดท้าย หลังออกฉายซีซันแรกเมื่อปี 2016 และกวาดคะแนนนิยมไปมหาศาล โดยคร่าวๆ ซีรีส์เล่าถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในสหรัฐฯ ยุค 80s เมื่อ วิลล์ เด็กชายผู้อ่อนโยนหายตัวไปอย่างลึกลับ เพื่อนๆ ของเขาและครอบครัว พยายามพลิกแผ่นดินเพื่อหาตัววิลล์ หากแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า กระทั่งเมื่อพวกเขาเริ่มปะติดปะต่อได้ว่า วิลล์อาจยังอยู่ในเมืองนี้ แค่ไม่ได้อยู่มิติเดียวกันกับพวกเขาเท่านั้น และสิ่งที่จะพาวิลล์กลับมาคือ อีเลเวน เด็กหญิงเจ้าของพลังจิตที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องทดลองลึกลับ

ซีซันที่ตามมาหลังจากนั้น คือการไขปริศนาต้นเหตุของการเปิดประตูมิติ การควบคุมพลังของอีเลเวน การเติบโตข้ามพ้นวัยของเหล่าเด็กชายที่เริ่มหยุดเล่นบอร์ดเกมด้วยกัน และการออกเดินทางผจญภัยไปยังแห่งหนอื่น ว่าไปแล้วก็อาจจะมีแค่วิลล์ที่ดูจะยังติดค้าง หรือเชื่อมโยงอยู่กับโลกกลับด้านอีกมิติ นับตั้งแต่วันที่เขาถูกลักพาตัวไปเมื่อหลายปีก่อน

ซีซันที่ 5 แบ่งฉายออกเป็น 2 ช่วงคือ ปลายเดือนพฤศจิกายน และปลายเดือนธันวาคมนี้ พาปิดฉากความลึกลับของโลกกลับด้าน เท่ากันกับที่มันยังเต็มไปด้วยความดิบโหดและความรุนแรงที่สัตว์ประหลาดกัดกินมนุษย์ และหากมองในภาพใหญ่ สิ่งที่เหล่าตัวละครเด็ก (จนเริ่มจะไม่เด็กแล้วในซีซันนี้) ต้องเผชิญ ล้วนเป็นเรื่องที่ทิ้งบาดแผลทางใจไว้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะวิลล์ที่เคยถูกล้อเลียนว่าเป็นซอมบี้เพราะหายไปในมิติอื่น, แนนซี เด็กสาวที่โทษตัวเองว่า เธอคือต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนสนิทต้องตายตั้งแต่ซีซันแรก และดัสติน ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังทำใจต่อการจากไปของรุ่นพี่จอมขบถเมื่อซีซันที่แล้วไม่ได้

  แต่หากเทียบเคียงกันกับซีรีส์อีกเรื่องที่เข้าฉายในเวลาไล่เลี่ยกันอย่าง IT: Welcome to Derry (2025) เราก็อาจพูดได้ว่า บรรดาสัตว์ประหลาดใน Stranger Things นั้นถือว่า ‘ประนีประนอม’ กับเหล่าเด็กๆ มากแล้ว เพราะในซีรีส์ซึ่งสร้างเป็นเส้นเรื่องต่อขยายมาจาก IT (2017) และ IT Chapter Two (2019) ซึ่งดัดแปลงมาจากงานเขียนของ สตีเฟน คิง ต้องใช้คำว่าโหดอำมหิตต่อเด็กๆ ในเรื่องโดยไม่บันยะบันยัง

  ทั้งนี้ซีรีส์จับจ้องไปยังเหตุประหลาดในเมืองเดอร์รี รัฐเมนในช่วงปี 60s ที่เด็กคนหนึ่งในเมืองหายตัวไปอย่างลึกลับ จะมีก็เพียงเด็กบางคนที่ได้ยินเสียงของเขากระซิบลอดท่อน้ำมา พวกเขาจึงรวมตัวกันเพื่อตามหาเพื่อนที่หายตัวไป เพื่อจะพบว่า พวกเขาเผชิญหน้ากับสิ่งที่ใหญ่โต ลึกลับและอันตรายยิ่งกว่าความลี้ลับไหนๆ เพราะสิ่งที่ปรากฏกายตรงหน้าพวกเขา และเป็นต้นเหตุของการหายตัวไปของเด็กๆ คือ เพนนีไวส์ ตัวตลกเต้นรำจอมอำมหิตที่โผล่มาทุก 27 ปี

  สิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหมัดตรงของ It: Welcome to Derry คือมันแทบไม่ประนีประนอมภาพความโหดที่เกิดขึ้นกับเด็ก อันจะเห็นได้ตั้งแต่ตอนแรกๆ ที่ทารกผี (หากจะเรียก) ลากเด็กขึ้นไปกัดกินอย่างตะกละตะกลามกลางอากาศ หรือกล้องจับภาพไปยังเศษซากอวัยวะที่เหลือตกอยู่ ตลอดจนการฉายภาพร่างบิดเบี้ยวของเด็กๆ ที่ถูกเพนนีไวส์จับไป 

เด็กในซีรีส์จึงเป็นเหยื่อโดยสมบูรณ์แบบ พวกเขาถูกทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจ อันเห็นได้จากหลายจังหวะที่พวกเขาต้องรับมือกับภาพหลอนหลอกที่เกิดขึ้นในหัว ทั้งเด็กหญิงที่มีแผลฝังใจที่พ่อตายในอุตสาหกรรมผลิตผักดอง และเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ร่างของพ่อถูกแบ่งไปอยู่ในขวดโหลซึ่งถูกส่งไปทั่วเมือง, ความชิงชังของเด็กชายต่อพ่อและบ้านเกิด จนปรารถนาจะหนีไปจากเมือง แต่ก็ถูกหญิงท้องแก่ ‘เบ่ง’ ทารกใส่ต่อหน้าต่อตา รวมทั้งสาวน้อยสวมแว่นที่ดันเห็นตาตัวเองบวมปูด จนเธอวิ่งคลำหาของมีคมมาหั่นลูกตาอย่างมืดบอด ฯลฯ

  ความหลอนหลอกของความเป็นเด็กใน IT: Welcome to Derry ยังแนบชิดมาเป็นเนื้อเดียวกันกับประเด็นการเมือง เมื่อสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่เพนนีไวส์ หากแต่เป็นการเข้ามาของกองทัพอเมริกัน ภายใต้บริบทของสงครามเวียดนาม เด็กๆ เหล่านี้จึงเติบโตขึ้นภายใต้บรรยากาศแปลกแยก เครียดเขม็ง และห่มคลุมด้วยอันตรายตลอดเวลา มิหนำซ้ำหากจะว่ากันอย่างที่สุด ซีรีส์ยังชวนครุ่นคิดถึงต้นธารที่แท้จริงของความหายนะทั้งหลายว่า พ้นไปจากตัวเพนนีไวส์แล้วนั้น กลุ่มคนที่กระหายอำนาจและปรารถนาจะเป็นผู้ควบคุมเบ็ดเสร็จ ก็อาจเป็นกองทัพสหรัฐฯ ในโมงยามแห่งความอ่อนไหวเมื่อสงครามใกล้เข้ามานี่เอง

  อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่ปี 2025 นี้มีหนัง Horror ที่พูดถึงตัวละครเด็กหลายเรื่อง แต่มันคงพอสะท้อนภาพความไม่แน่นอนบางอย่างในโลกแห่งความเป็นจริง ที่เหล่าเด็กๆ หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นภาพแทนของอนาคตเหล่านี้กำลังเผชิญอยู่ ในโลกซึ่งเต็มไปด้วยความเครียด ความรุนแรงและบรรยากาศของความเขย่าขวัญอันคาดเดาไม่ได้เช่นนี้

Tags: , , , , , , , , , , ,