จิม จาร์มุช (Jim Jarmusch) เพิ่งคว้ารางวัลสิงโตทองคำจากเทศกาลหนังนานาชาติเวนิสได้เป็นครั้งแรกจาก Father Mother Sister Brother (2025) หนังยาวลำดับล่าสุดของเขา ว่าด้วยเรื่องของพี่น้องที่หวนกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ในชายคาเดียวกันกับพ่อแม่ผู้เหินห่าง
จาร์มุชถือเป็นหนึ่งในเจ้าพ่อหนังอิสระ เขามักทำหนังฟอร์มเล็ก ทุนสร้างต่ำ และมักเล่าเรื่องที่ว่าด้วยการเติบโต การสำรวจเนื้อในตัวละคร กับอารมณ์ขันแบบตลกร้ายฝืดเฝื่อน (ที่บ่อยครั้งก็เรียกเสียงฮาได้จริง) เขาเติบโตในรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยอยู่กับแม่ที่เป็นนักวิจารณ์หนังให้หนังสือพิมพ์ Akron Beacon Journal และมีส่วนมหาศาลในการพาเขาไปรู้จักกับโลกภาพยนตร์ ทั้งหนังในกระแส หนังนอกกระแส ไปจนถึงหนังเกรดบีและสารพัดหนังทุนต่ำ
พ้นไปจากหนังเกรดบี หนังนอกกระแสและหนังจากตะวันออกกับหนังยุโรปมากมายแล้ว จาร์มุชยังได้หนังโป๊มาช่วยเปิดโลกภาพยนตร์อีกแรง โดยเฉพาะเมื่อเขายังอยู่ที่โอไฮโอและเข้าไปหย่อนใจในโรงภาพยนตร์ท้องถิ่น ซึ่งนอกจากจะฉายหนังวับๆ แวมๆ แล้ว ยังฉายหนังใต้ดินสารพัดรูปแบบ เช่น Putney Swope (1969) ของผู้กำกับ โรเบิร์ต ดาวนีย์ ซีเนียร์ (พ่อแท้ๆ ของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ นักแสดงดัง) และ Chelsea Girls (1966) หนังสุดเก๋ของ แอนดี วอร์ฮอล เจ้าพ่ออาร์ตป็อป
“ตอนอยู่ที่โอไฮโอ ผมดูหนังเรื่อง Attack of the Crab Monsters (1957)” เขาเล่าถึงหนังเกรดบีสุดสยิว ว่าด้วยปูยักษ์ออกมาไล่ล่าคน “ผมชอบหนังเรื่องนั้นมาก กระทั่งตอนผมอายุสัก 20 ปีแล้วต้องย้ายไปอยู่ที่ปารีส ตอนนั้นแหละที่ผมรู้สึกว่าตัวเองรักภาพยนตร์เข้าอย่างจังเลย
“ผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ต้องไปอยู่ที่ปารีส 9 เดือน แล้วเข้าเรียนแบบกะพร่องกะแพร่งมาก เพราะมัวแต่ไปขลุกอยู่ในโรงหนังทุกวัน ผมอยู่ที่นั่นทั้งวันทั้งคืน ดูหนังจากอินเดีย ญี่ปุ่น หนังจากฮอลลีวูดที่ผมไม่เคยรู้ว่ามีด้วยซ้ำ ได้รู้จักผู้กำกับอย่าง เอ็ดวาร์ด ดมีทริก, ยาสุจิโร โอสุ, เคนจิ มิโซกุจิ รู้จักคลื่นคนทำหนังรุ่นใหม่ในบราซิล ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าภาพยนตร์มันเป็นไปได้มากมายถึงเพียงนี้”
หลังสำเร็จการศึกษา จาร์มุชก็ถังแตก เขาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักดนตรี (ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาขาอาชีพที่เขาสนใจมาก และเป็นเหตุผลให้หนังหลายๆ เรื่องของเขา มีนักดนตรีมาร่วมเข้าฉากด้วย) แล้วเข้าเรียนด้านภาพยนตร์ที่ New York University ซึ่งถือเป็นจุดตั้งต้นเส้นทางของการเป็นคนทำหนังของเขา โดยเฉพาะการที่เขาได้เป็นผู้ช่วย นิโคลัส เรย์ เจ้าพ่อหนังฟิล์มนัวร์ ที่หิ้วจาร์มุชวัยหนุ่มไปทุกหนทุกแห่ง รวมทั้ง Lightning Over Water (1980) หนังเรื่องสุดท้ายที่เรย์ตั้งใจทำก่อนหน้าจะจากไปด้วยโรคมะเร็ง ว่าด้วยมิตรภาพระหว่างเขากับ วิม เวนเดอร์ คนทำหนังชาวเยอรมัน และหลังจากเรย์เสียชีวิตไม่กี่วัน จาร์มุชก็กัดฟันผลักดันหนังที่เขาทำมาหลายปีออกมาได้ในที่สุด
Permanent Vacation (1980) คือหนังยาวเรื่องแรกอย่างเป็นทางการของจาร์มุช ถ่ายด้วยฟิล์ม 16 มม. และมันก็สำแดงลายเส้นแบบจาร์มุชสุดๆ เพราะเป็นหนังทุนต่ำ ฟอร์มเล็ก จับจ้องไปยังตัวละครเพียงคนเดียวคือ แอลลี (คริส พาเกอร์) ชายหนุ่มวัย 20 ปี หนังเล่าคร่าวๆ ว่าพ่อทิ้งเขาไปและแม่ก็ป่วยหนัก ตัวเขาเป็นแฟนตัวยงของนักแสดงคอเมดี คริส พาเกอร์ (ที่รับบทเป็นตัวละครนี้) หนังทั้งเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรมากมายไปกว่าตามติดชายหนุ่มแกร่วไปทั่วเมืองแมนฮัตตัน
ตัวหนังเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม No Wave อันเป็นคลื่นกระแสทำหนังในปี 1976-1985 ที่มักถ่ายทำแบบกองโจร ไม่มีแบบแผนตายตัว ใช้กองถ่ายขนาดเล็กและสำรวจเรื่องราวหม่นหมองของชีวิตประจำวัน และตัวหนัง Permanent Vacation ก็เป็นภาพแทนของคลื่นกระแส No Wave ได้ชัดเจนที่สุดเรื่องหนึ่ง
ทว่าหนังที่ส่งให้จาร์มุชมีชื่อเสียงในกลุ่มคนดูหนังอเมริกันอยู่บ้าง หากแต่ที่เปรี้ยงสุดๆ คือ Down by Law (1986) โดยได้เข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์เป็นครั้งแรก หนังตลกร้ายวายป่วงที่ว่าด้วยมิตรภาพของนักโทษ 3 ราย แซ็ก (ทอม เวตส์) นักจัดรายการวิทยุดวงตก ที่จับพลัดจับผลูมาติดคุกเพราะถูกจัดฉาก, แจ็ก (จอห์น ลอรี) ชายที่ถูกตำรวจล่อซื้อระหว่างเข้าซ่อง และโรแบร์โต (โรแบร์โต เบนิญญี) นักท่องเที่ยวชาวอิตาลีที่ดันไปพลั้งมือฆ่าคนตาย และทั้งเรื่องก็หาได้มีอะไรมากมายไปกว่าชายทั้ง 3 คนต่อยตี แลกหมัดกันอยู่ในเรือนจำ แต่ความเกลียดขี้หน้ากลับค่อยๆ กลายเป็นมิตรภาพ เมื่อพวกเขาต่างเห็นชะตากรรม ‘ความซวย’ แบบถึงลูกถึงคน ลงเอยด้วยการผูกมิตร พากันแหกห้องขังออกไปสู่อิสรภาพ
นอกเหนือไปจากการที่หนังได้รับคำวิจารณ์ยอดเยี่ยม ในแง่การสำรวจความแปลกแยกของตัวละคร เส้นเรื่องหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก และสไตล์แบบหนังฟอร์มเล็ก แต่เล่าเรื่องคมกริบ Down by Law ยังชวนวิพากษ์ข้อกฎหมายและการกลายเป็นจำเลยในกรอบกรงของความยุติธรรมได้อย่างแหลมคมด้วย
หนังสร้างด้วยทุนเพียง 4 แสนเหรียญสหรัฐฯ และสร้างรายได้กลับมาที่ 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นับว่าทำเงินได้ไม่น้อย ทั้งยังทำให้จาร์มุชถูกนับเป็นหนึ่งในคนทำหนังฟอร์มเล็กที่น่าจับตาในเวลานั้นด้วย “แต่ผมไม่มีปัญหานะ ถ้าใครสักคนจะบอกว่า ‘มาทำหนังฮอลลีวูดเพราะเงินดี’ ผมว่าเจ๋งออก แต่ถ้ามาบอกว่า ‘มาทำหนังฮอลลีวูดเพราะอยากให้งานศิลปะที่ทำกระจายไปเป็นวงกว้าง แล้วถึงตอนนั้นค่อยให้นักธุรกิจมาบอกว่าต้องทำหนังยังไง’ อันนี้แหละเพ้อเจ้อ” จาร์มุชบอกไว้ในปี 1996 “ผมนับถือคนที่ตรงไปตรงมากับตัวเองนะ ถ้ามีคนตรงมาชวนผมไปทำหนังฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์ แบบให้ผมคุมทุกอย่างได้เองเลย ผมก็คงกลับไปคิดหนักและอาจจะตอบตกลงก็ได้นะ
“ที่ผมต่อต้านคือแนวคิดว่า หนังเป็นสินค้าและศิลปะเป็นคำหยาบคาย ผมถูกจัดให้เป็นคนทำหนังอาร์ต เพราะเงินไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนในการทำหนังของผมคือ ผมเดินออกจากห้องนี้ไป แล้วไม่ทำหนังออกมาอีกเลยก็ได้ ชีวิตผมไม่จบลงแค่ตรงนั้นหรอก เวลาคนมาต่อรองเรื่องเงินกับการทำหนังกับผม ผมก็มักคิดแบบนี้แหละ ถ้าทำแบบที่ตัวเองต้องการไม่ได้ ผมก็เดินออกไปเลยแค่นั้นเอง และอะไรแบบนี้ทำคนตกใจจนตาตั้งมาแล้วเพราะพวกเขาไม่ชินน่ะ ก็แหงแหละ ฮอลลีวูดเป็นพื้นที่ของอำนาจ เงินและสถานะนี่นา”
จาร์มุชถือเป็นหนึ่งในคนทำหนังที่เข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำบ่อย หากแต่ยังไม่เคยคว้าชัยได้ มีเพียง Coffee and Cigarettes III (1993) หนังสั้นความยาว 12 นาทีที่ได้รางวัลปาล์มทองสาขาหนังสั้นยอดเยี่ยม โดยอีกเรื่องหนึ่งที่ส่งเขาเข้าชิงคือ Paterson (2016) หนังร่วมทุนสร้าง 3 สัญชาติ (ฝรั่งเศส-เยอรมนี-สหรัฐอเมริกา) เล่าถึงชีวิตอันเรียบง่ายของ พาเตอร์สัน (อดัม ไดรเวอร์ ที่ในเวลาต่อมากลายเป็นหนึ่งในนักแสดงคู่บุญของจาร์มุช) คนขับรถประจำทางที่อยู่กินกันคนรัก ชีวิตของเขาไม่มีอะไรมาก นอกจากขับรถตระเวนไปในเมืองที่ชื่อเดียวกันกับเขา พาเตอร์สัน รัฐนิวเจอร์ซี เมื่อมีเวลาว่าง พาเตอร์สันจะเขียนกวีลงสมุดจดของเขา ที่คนรักคะยั้นคะยอให้เขารวมเล่มเพื่อจำหน่าย
หนังฉายให้เห็นชีวิตใน 1 สัปดาห์ของพาเตอร์สัน กิจวัตรของเขาไม่ต่างจากเดิมมักนัก ตื่นเช้า สนทนากับ ลอรา (โกลชิฟเตห์ ฟาราฮานี) แฟนสาวสุดขยันที่ฝันอยากทำนั่นทำนี่อยู่เรื่อยๆ ขณะที่ตัวของพาเตอร์สันเองไม่ทะเยอทะยานอะไรมากนัก เขาออกไปทำงาน รับฟังเรื่องราวของผู้คนมากมายที่ขึ้นมาโดยสาร ผ่านมาและจากไป ตกเย็น เขาจะพาหมาออกไปเดินเล่น แวะดื่มเบียร์และกลับบ้าน หากมีเวลา เขาจะเขียนบทกวี ร้อยเรียงสิ่งที่เขาเจอแต่ละวันลงในสมุดจดเล็กๆ เล่มนั้น
“ผมเขียนบทกวีอยู่เรื่อยๆ เมื่อก่อนเขียน ตอนนี้ก็เขียน แค่ไม่ค่อยเอาออกมาให้คนอื่นเห็นน่ะ” จาร์มุชบอก “เคยตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ New Yorker มาเมื่อหลายปีก่อน ถ้าผมตายไป และมีคนพิจารณาว่า หนังของผมเป็นส่วนต่อขยายจากบทกวีที่ไม่ได้จริงจังเกินไปนัก และลองเขียนกวีถึงคนอื่นดูบ้าง ผมก็จะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พวกเขานึกถึงหนังของผมในลักษณะนั้น
“แต่นั่นแหละ การจะบอกว่าตัวเองเป็นกวีหรือศิลปินก็ออกจะเกินไปหน่อย ผมแค่พยายามเรียนรู้การแสดงออกสิ่งที่ตัวเองรู้สึกผ่านรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะดนตรี ภาพยนตร์ หรืองานเขียนน่ะ”
อย่างไรก็ดี แม้ Paterson จะไม่ได้ปาล์มทอง แต่น้องหมาในเรื่องก็โดดเด่นจนได้รางวัลปาล์มด็อก ที่มอบให้นักแสดงหมายอดเยี่ยมในหนังด้วยจ้า
หนังลำดับล่าสุดที่ส่งจาร์มุชชิงปาล์มทองคำคือ The Dead Don’t Die (2019) หนังซอมบี้น่ารักน่าชัง (!!) ที่รวมดาวนักแสดงเบอร์ใหญ่มาบันเทิงกัน โดยหนังเล่าถึงวันที่โลกวิปริตสุดขีด เนื่องจากโครงการขุดเจาะน้ำมันของรัฐบาลดันไปทำให้แกนโลกเปลี่ยนทิศ ยังผลให้กลางวันยาวนานขึ้น โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ โทรทัศน์ติดๆ ดับๆ แต่ไม่มีอะไรชวนหลอนไปกว่าการเปลี่ยนแปลงของโลกนี้จะทำให้ ‘ศพ’ ขุดตัวเองขึ้นมาจากหลุมด้วย!
หนังตามติดชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โรเบิร์ตสัน (บิลล์ มัวร์เรย์) กับปีเตอร์สัน (อดัม ไดร์เวอร์) ที่ออกปฏิบัติหน้าที่อย่างเหนื่อยหน่าย หนังได้รับแจ้งจากชาวไร่ว่าไก่หาย พวกเขาเดาว่า คงเป็นฝีมือของใครสักคนในหมู่บ้านมาเล่นเพี้ยนๆ ก่อนที่ในเวลาต่อมา พวกเขาจะพบว่า วิทยุสื่อสารไม่ได้ คนในหมู่บ้านก็เริ่มมีปัญหากับนาฬิกาที่หยุดเดินกะทันหัน หรือสัตว์เลี้ยงออกอาการดุดัน หนีหายออกจากบ้านแบบไม่ทราบสาเหตุ
และหลังจากกลางวันอันยาวนานกว่าปกติผ่านพ้น ตกค่ำ ศพก็ฟื้นคืนชีพออกล่าคนเป็น นายตำรวจที่ใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยมาตลอดจึงต้องปฏิบัติการออกปราบผีดิบ โดยได้รับความช่วยเหลือจาก เซลดา (ทิลดา สวินตัน) หญิงลึกลับในหมู่บ้านที่เหมือนจะรู้วิธีปราบผีดิบพวกนี้
ลืมหนังซอมบี้สุดระห่ำที่คนตายวิ่งเร็วจี๋กัดคนเป็นได้เลย เพราะหนังของจาร์มุช หวนกลับไปคารวะหนังซอมบี้บุคเก่าๆ ที่เคลื่อนไหวช้าเชือน งุ่มง่าม ทั้งยังกลับไปสำรวจต้นธารใหญ่ของหนังตระกูลซอมบี้อย่างลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งสะท้อนผ่านโครงการขุดเจาะน้ำมันอันบ้าระห่ำของรัฐ ที่สะเทือนถึงแกนโลกและยังผลให้คนตายเหล่านี้ ลุกขึ้นมาจากหลุมอีกครั้งเพื่อกินคน
Father Mother Sister Brother นับเป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของจาร์มุชกับทอม เวตส์ และอดัม ไดรเวอร์ ทั้งยังทำท่าจะเป็นหนังรวมดาวอีกครั้งเพราะมีทั้ง เคต บลันเชตต์, ชาร์ลอตต์ แรมป์ลิง และวิกกี คริปส์
Tags: จิม จาร์มุช, Jim Jarmusch, Permanent Vacation, Down by Law, Paterson, The Dead Don't Die, ภาพยนตร์, People Also Watch