ดูเหมือนปี 2025 จะยังคงเป็นปีที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับคอหนัง เพราะหากกวาดตาไล่ดู มีทั้งหนังที่เป็นภาคต่อของแฟรนไชส์ใหญ่ๆ รอฉาย, หนังจากสตูดิโอใหญ่ยักษ์ที่อาจเป็นหมุดหมายใหญ่ที่จะเป็นตัวทำเงินแห่งปี, หนังจากผู้กำกับรุ่นเก๋า รวมทั้งหนังรีเมก และอื่นๆ อีกหลายเรื่องก็เป็นข่าวให้ได้ตั้งตารอกันมาตั้งแต่ประกาศเริ่มโปรเจกต์

อย่างหนึ่งที่น่าจะเห็นเค้าลางกันได้ชัดๆ คือมันน่าจะเป็นปีอันยิ่งใหญ่ของหนังแฟรนไชส์ ทั้งการกลับมาของเหล่าสัตว์ดึกดำบรรพ์ใน Jurassic World Rebirth (2025) โดย กาเร็ต เอ็ดวาร์ด (Gareth Edwards), Captain America: Brave New World (2025) จากจักรวาลมาร์เวล และการรับบทนำเต็มตัวของ แอนโธนี แม็กกี (Anthony Mackie), Avatar: Fire And Ash (2025) หนังภาคต่อทุนสร้าง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของ เจมส์ แคเมอรอน (James Cameron), Ballerina (2025) หนังภาคแยกในจักรวาลจอห์น วิก รวมทั้ง Mission: Impossible-The Final Reckoning (2025) ภาคล่าสุดของแฟรนไชส์ยักษ์ใหญ่โดย คริสโตเฟอร์ แม็กควอร์รี (Christopher McQuarrie)กับบทบาทที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของ ทอม ครูซ (Tom Cruise) ไปแล้ว

Mickey 17 (2025) หนังร่วมทุนสร้าง 2 สัญชาติ (เกาหลีใต้-สหรัฐฯ) ที่น่าจะเป็นหนึ่งในหนังที่หลายคนตั้งตาคอยมากที่สุด หลังจากปล่อยภาพ โรเบิร์ต แพตตินสัน (Robert Pattinson) นักแสดงนำของเรื่องออกมาภาพเดียวอยู่เป็นปี กระทั่งกลางปี 2024 ที่ผ่านมาจึงทยอยปล่อยโปสเตอร์, เรื่องย่อและตัวอย่างหนังในที่สุด โดยถือเป็นหนังลำดับล่าสุดของ บอง จุนโฮ (Bong Joon Ho) ดัดแปลงมาจากนิยาย Mickey7 ของ เอ็ดวาร์ด แอชตัน (Edward Ashton) ว่าด้วยเรื่องวายป่วงของ มิกกี (แพตตินสัน) ที่หวังอยากออกเดินทางไปนอกโลก เงื่อนไขคือเขาต้องเข้ารับโปรแกรมประหลาดที่จะทำให้เขา ‘งอก’ ร่างกายขึ้นมาใหม่ได้ โดยยังมีความทรงจำเดิมทุกประการ ปัญหาคือเขาดันไปเจอมิกกีคนหนึ่งที่ไม่ตาย แถมยังมีความทรงจำเหมือนกันกับเขาอีกด้วย 

“การมีชีวิตเป็นนิรันดร์ในหนังไซ-ไฟกับหนังแฟนตาซีส่วนใหญ่ มักถูกถ่ายทอดในแง่ของการเป็นสิ่งที่สูงส่ง เปี่ยมจิตวิญญาณและล้ำค่ามากๆ

“ผมสนใจแนวคิดที่ว่า การสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่เป็นการกระทำที่ปราศจากความเคารพต่อชีวิต มันเหมือนคุณกำลังสร้างมนุษย์ขึ้นมาด้วยเครื่องจักร ถึงที่สุดแล้วหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องแค่ว่า มนุษย์น่าสมเพชได้ถึงขนาดไหน เอาเป็นว่ามันทำให้คุณเกือบๆ จะได้กลิ่นของตัวละครทุกตัวผ่านจอภาพยนตร์เลยล่ะ ไม่ว่าจะกลิ่นจากคราบปัสสาวะหรือกลิ่นถุงเท้าเหม็นๆ ของพวกเขา” บองบอก 

อีกเรื่องที่เป็นที่ตั้งตารอนับตั้งแต่ประกาศสร้างโปรเจกต์จนถึงปล่อยตัวอย่างคือ 28 Years Later (2025) ที่ แดนนี บอยล์ (Daniel Boyle) หวนกลับมากำกับอีกครั้งหลังเคยให้กำเนิดปฐมบทอย่าง 28 Days Later (2002) ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนังเรื่องแรกๆ ที่ทำให้ซอมบี้ไม่ได้เป็นแค่ซากศพเดินได้ แต่มีลักษณะเป็นเครื่องจักรสังหารคนเป็น ด้วยความสามารถอย่างวิ่งเร็ว, ไม่มีอาการเหนื่อยล้างและตะบี้ตะบันไล่ล่าสังหารไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดหลงเหลืออยู่อีก

อย่างไรก็ดี สตูดิโอวางแผนจะสร้าง 28 Years Later มาตั้งแต่ราวๆ ปี 2010 หากแต่มันเป็นหนึ่งในหนังที่เกิดความวินาศสันตะโร ตั้งแต่กระบวนการก่อนการถ่ายทำ การหารือเรื่องทิศทางหนัง คนเขียนบท ไปจนถึงธีมเรื่อง ถึงที่สุดบอยล์หันกลับไปจับโปรเจกต์หนังเรื่องอื่นๆ ก่อน ปล่อยให้หนังภาคต่อที่ว่าด้วยไวรัสล้างโลกและซอมบี้ เป็นโปรเจกต์หนังในฝันร่วม 10 ปี ก่อนจะหวนกลับมาพิจารณาโปรเจกต์นี้อีกครั้งราวๆ ปี 2022 และเริ่มเดินหน้าเขียนบทหนังขึ้นใหม่ ว่าด้วยโลกหลังจากเกิดไวรัสระบาดเกือบ 3 ทศวรรษ กับมนุษยชาติที่ใช้ชีวิตอยู่ในเกาะเล็กๆ ด้วยความหวั่นกลัวการติดเชื้อจากโลกนอกเกาะ

นอกจากนี้อีกเรื่องที่กลายเป็นไวรัลตั้งแต่ปล่อยโปสเตอร์กับตัวอย่างหนังคือ Superman (2025) หนังยาวลำดับล่าสุดจาก เจมส์ กันน์ (James Gunn) ที่ว่าไปโปรเจกต์การทำหนังก็เริ่มขึ้นมานานหลายปี กันน์เริ่มเข้ามาในกระบวนการตั้งแต่ปี 2018 โดยที่ก็ยังไม่แน่ชัดนักว่า จะเบนเข็มเล่าเรื่องในทิศทางไหน เพราะโจทย์ยากสำหรับกันน์คือการหาเหลี่ยมมุมเล่าเรื่องซูเปอร์แมน ซึ่งเป็นตัวละครที่คนรู้จักดีอยู่แล้ว ขณะที่ที่ผ่านมานั้น เขามักเล่าตัวละครหรือหนังที่ ‘ภาพจำ’ ยังไม่ชัดเจนมากนักจนประสบความสำเร็จอย่าง Guardians of the Galaxy (2014) ถึงที่สุด เขาจึงหันไปกำกับ The Suicide Squad (2021) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์ใหญ่ยักษ์แทน 

กว่าจะได้เริ่มขับเคลื่อนโปรเจกต์อย่างเป็นจริงเป็นจังก็ล่วงเข้าปี 2022 ที่สตูดิโอประกาศว่า หนังซูเปอร์แมนที่กำลังจะสร้างนี้ จะมุ่งสำรวจตัวตนของยอดมนุษย์ในวัยที่เด็กลงกว่าที่เคยเห็น นำแสดงโดย เดวิด คอเรนสเว็ต (David Corenswet) ที่ปีนี้เพิ่งรับบทสมทบใน Twisters (2024) และก่อนหน้านั้นคือ Pearl (2022) จุดเด่นอีกอย่างของซูเปอร์แมนเวอร์ชันนี้คือ ตัวละครหวนกลับมาใส่กางเกงสีแดงด้านนอกอีกครั้ง หลังเวอร์ชันก่อนหน้าอย่าง Man of Steel (2013) ที่ตัวละครใส่บอดี้สูทแนบเนื้อสีเดียวกันเกือบทั้งตัว “ผมไม่รู้เรื่องกางเกงสีแดงหรอก แต่อยากใช้มันในหนังมากๆ แค่ว่ามันออกมาดูไม่ค่อยได้เรื่องเลย เอาไปวางบนคอสตูมทีไรก็ต้องดึงออกทุกที คือสีมันสดใสมาก จนผมต้องพูดว่า ‘พระเจ้า ไม่รู้แล้วล่ะ สีมันสดจริงๆ เดวิดนายว่าไง’ แล้วเขาบอกแค่ว่า ‘ผมชอบนะ’ ผมเลยบอกเขาไปว่า ‘ก็นั่นน่ะสิ แต่สีมันสดมากเลย’”

สุดท้ายซูเปอร์แมนของกันน์ ก็ใส่กางเกงสีแดงสดไว้ด้านนอกอย่างที่เห็นในตัวอย่างหนัง และคาดการณ์กันว่า มันจะเป็นหนึ่งในหนังบล็อกบัสเตอร์ (Blockbuster) ที่ทำรายได้สูงที่สุดเรื่องหนึ่งของปี 2025 นี้ด้วย

ฝั่งหนังจากยุโรป ปีนี้ยังเป็นปีแห่งการกลับมาของ ลินน์ แรมซีย์ (Lynne Ramsay) คนทำหนังชาวสกอตแลนด์ที่หนังเรื่องล่าสุดของเธออย่าง You Were Never Really Here (2017) ส่งเธอชิงรางวัลปาล์มทองจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ และคว้ารางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมกลับมาได้ โดยปี 2025 เธอกลับมาพร้อม Die, My Love (2025) หนังร่วมทุนสร้าง 2 สัญชาติ (สหราชอาณาจักร-สหรัฐฯ) ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ อาเรียนา ฮาร์วิกซ์ (Ariana Harwicz) นักเขียนชาวอาร์เจนตินาว่าด้วยเรื่องแม่มือใหม่ที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด หนังนำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) กับแพตตินสัน 

“หนังมันพูดถึงสุขภาพจิต การพังทลายของชีวิตแต่งงาน แต่บอกได้เลยว่าแม่งโคตรตลก” แรมซีย์บอก “อย่างน้อยฉันก็คิดว่ามันตลกนะ แต่นั่นแหละ ฉันมันคนกลาสโกลว ฉันชอบมุกตลกขันขื่นอยู่แล้ว”

Nouvelle Vague (2025) หนังสัญชาติฝรั่งเศสของ ริชาร์ด ลิงก์เลเตอร์ (Richard Linklater) เล่าถึงช่วงเวลาการถือกำเนิดของกลุ่มหนังคลื่นลูกใหม่ฝรั่งเศส (French New Wave) ช่วงยุค 60s ที่ส่งผลสะเทือนต่อโลกภาพยนตร์ทั้งองคาพยพ โดยจับจ้องไปยังช่วงเวลาที่ ฌ็อง-ลุก โกดาร์ด (Jean-Luc Godard) ในวัยหนุ่มกำลังถ่ายทำหนังเรื่อง Breathless (1960) อีกเรื่องที่น่าจับตาของทางฝั่งฝรั่งเศสคือ The Magnificent Life of Marcel Pagnol (2025) ที่เป็นการหวนกลับมาทำหนังยาวในรอบทศวรรษของ ซิลเวียน โกเมต์ (Sylvain Chomet) ผู้กำกับและนักเขียนบทละครชาวฝรั่งเศสที่หนังเรื่องล่าสุดของเขาคือ Attila Marcel (2013) โดยโกเมต์เล่าชีวิตของ มาร์แซล ปาญอล นักเขียนนิยายและนักเขียนบทละครเวทีชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นที่รู้จักจาก My Father’s Glory (1990) และ The Time of Secrets (2022) เขาถูกพินิจว่า เป็นหนึ่งในศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 ทั้งนี้ The Magnificent Life of Marcel Pagnol ยังเป็นการกลับมาทำแอนิเมชันอันเป็นแนวถนัดของโกเมต์ด้วย หลังจาก The Triplets of Belleville (2003) กับ The Illusionist (2010) เคยส่งเขาเข้าชิงออสการ์สาขาแอนิเมชันยอดเยี่ยมมาแล้ว

และปีนี้ยังเป็นปีที่น่าตื่นเต้นสำหรับแฟนหนังสายเข้มข้นหนักมือ เพราะ แอ็กนีสกา ฮอลแลนด์ (Agnieszka Holland) คนทำหนังชาวโปแลนด์เตรียมปล่อย Franz (2025) หลังจากที่เมื่อปีก่อนเพิ่งทำหนังที่วิพากษ์นโยบายเปิดรับผู้ลี้ภัยของยุโรปตะวันออกสุดหนักไม้หนักมืออย่าง Green Border (2023) โดย Franz เป็นหนังจากสาธารณรัฐเช็ก จับจ้องไปยังช่วงชีวิตอันแสนเปราะบางและเครียดเขม็งของ ฟรันซ์ คาฟกา (Franz Kafka) นักเขียนชาวยิวที่ได้รับการยกย่องว่า งานของเขาส่งอิทธิพลต่อวรรณกรรมตะวันตกมากที่สุด 

เช่นเดียวกับการกลับมาของ ทอม ทีกเวอร์ (Tom Tykwer) คนทำหนังชาวเยอรมันที่หายหน้าหายตาไปกำกับซีรีส์อยู่นานหลายปีหลังจาก A Hologram for the King (2016) หลายๆ คนอาจตกหลุมรักงานของเขาจาก Run Lola Run (1998) ที่ฝากลายเซ็นการทำหนังอันฉูดฉาดไว้ ตลอดจน Perfume: The Story of a Murderer (2006) และการร่วมกำกับในหนังเชิงปรัชญาอย่าง Cloud Atlas (2012)

ทีกเวอร์กลับมาอีกครั้งใน The Light (2025) จับจ้องไปยังครอบครัวชนชั้นกลางแสนวายป่วงครอบครัวหนึ่งในเยอรมนี ว่าด้วยเหล่าฝาแฝดที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ความว้าวุ่นระเบิดตัวขึ้นเมื่อแม่บ้านลึกลับจากซีเรียเข้ามาทำงานในบ้าน ที่เป็นเงื่อนปมสำคัญให้เหล่าฝาแฝดและสมาชิกครอบครัวอื่นๆ คลี่คลายความลับบางอย่างที่พวกเขาต่างเก็บงำไว้ โดยหนังเตรียมเข้าฉายรอบปฐมทัศน์ที่งานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินในเดือนกุมภาพันธ์นี้ 

ปิดท้ายด้วยหนังที่อาจไม่ใช่หนังปี 2025 เสียทีเดียว เพราะออกฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปีที่แล้ว โดยนิยามแล้ว The Shrouds (2024) จึงเป็นหนังของปีก่อน หากแต่มันเตรียมฉายทั่วโลกในปีนี้ 

The Shrouds (2025) หนังยาวเรื่องล่าสุดของบิดาหนังแนว Body Horror อย่าง เดวิด โครเนนเบิร์ก (David Cronenberg) ที่ปีก่อนโน้นเพิ่งจะช็อกคนดูด้วยหนังสำรวจโลกอนาคต ผ่านความบิดเบี้ยว-บิดเบือนของเรือนร่างใน Crimes of the Future (2022) โครเนนเบิร์กหวนกลับมาร่วมงานกับ วินเซ็นต์ แคสเซล (Vincent Cassel) ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน Eastern Promises (2007) เขารับบทเป็นชายที่ทำใจต่อการจากไปของภรรยาไม่ได้ จึงสร้างนวัตกรรม ‘ผ้าห่อศพ’ ที่ช่วยให้คนเป็นสื่อสารกับร่างคนตายได้ กระทั่งเมื่อเขาพบว่าหลุมศพของภรรยาถูกทำลายลงด้วยใครคนหนึ่ง

นับเป็นอีกหนึ่งผลงานที่น่าจับตาของโครเนนเบิร์ก โดยเฉพาะเมื่อเขาฟิตกลับมาทำหนังในเวลาห่างกันไม่มากทั้งที่ Crimes of the Future ห่างจาก Maps to the Stars (2014) ร่วม 8 ปีและหากพินิจกันในระยะหลัง หนังของเขามักมีกลิ่นอายความเป็นปรัชญาที่ยังผสมผสานกับความเป็น Body Horror เข้มข้นหนักหน่วง ก็น่าสนใจว่า The Shrouds จะพาคนดูสำรวจประเด็นเรือนร่างและความเป็นมนุษย์ในแง่มุมใดอีกบ้าง

ว่าไปปี 2025 ก็นับเป็นปีที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับคอหนังโลก เชื่อเหลือเกินว่า เมื่อถึงฤดูหนังซัมเมอร์และฤดูประกาศรางวัล อุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งหลายจะคึกคักไม่ต่างจากปีนี้ หรืออาจจะมากกว่าเป็นแน่แท้ 

Tags: , , , , , , , , , ,