เมื่อหลายปีก่อน เกาะปีนังเคยเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ฮิตติดกระแสคนไทยอยู่ช่วงหนึ่ง ปัจจุบันนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก ที่พักดัง ๆ ก็มีห้องว่างให้เลือกมากมาย โปรโมชั่นสายการบินก็ลดราคากันต่อเนื่อง แต่เรายังไม่เคยไปเยี่ยมเยือนเมืองแห่ง Street Art และ Hawker Food แห่งนี้สักครั้งเลย

เมื่อถามแม่ ไปปีนังกันไหม และคำตอบที่ได้คือไม่ไป เพราะน่าจะร้อนและต้องเดินเยอะ เราจึงชักชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่งไปด้วยกัน โดยบอกว่า “ไปถ่ายรูป ลองเลนส์ใหม่กัน น่าจะมีมุมสวย ๆ เยอะนะ” เธอก็หลงกลและยอมไปด้วยกัน

เราตัดสินใจบินตรงจากดอนเมืองไปลงเกาะปีนังเพื่อความสะดวกสบาย ทันทีที่ก้าวออกจากสนามบินก็รับรู้ได้ถึงอากาศที่ร้อนอบอ้าวและชื้นมาก เราเลือกที่พักอยู่กลางเมืองจอร์จทาวน์ (George Town) เป็นบูทีค โฮเทล ซึ่งนำบ้านเศรษฐีจีนเก่ามาปรับปรุงให้เป็นโรงแรมแบบร่วมสมัย มีพื้นที่เปิดโล่งตรงกลางและตกแต่งแบบจีน ใช้สีสันฉูดฉาดตัดกับสีไม้ธรรมชาติในบางจุด โรงแรมประเภทนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไป เพราะเมืองจอร์จทาวน์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกด้านวัฒนธรรมในปี 2008 (UNESCO World Cultural Heritage Site) จึงมีการอนุรักษ์อาคารสถานที่เก่าๆ ไว้เป็นจำนวนมาก

ตัวเมืองจอร์จทาวน์ เมืองหลวงของรัฐปีนัง

จุดหมายแรกในวันนี้ยังไม่ใช่ Street Art ที่เรามาตามหา แต่คือการขึ้นไป ปีนังฮิลล์ (Penang Hill คนที่นี่เรียก Bukit Bendera) เราได้รับคำแนะนำจากพนักงานของโรงแรมว่า ที่ปีนังนี้หากเราใช้แอปพลิเคชั่น GRAB ในการเดินทางจะสะดวกมาก เราปักหมุดและเช็คราคา สนนราคาคือ 11 ริงกิต หรือประมาณ 80 บาทไทยเท่านั้น (และหลังจากนั้น GRAB ก็เป็นทางเลือกเดียวที่เราใช้เดินทาง จนกระทั้งขากลับไปสนามบินปีนัง ในราคา 19 ริงกิตหรือเพียง 150 บาท)

รางรถไฟที่พาเราขึ้นไปยังปีนังฮิลล์

ไม่นานเราก็มาถึงสถานีรถราง รถรางขึ้นเขาที่นี่เป็นแบบใช้เชือกลาก และมีป้ายบอกว่าอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก (The World’s Oldest Funicular Railway System) เริ่มสร้างในระหว่างปี ค.ศ. 1920-1923 และมีการปรับปรุงเรื่อยมา รางรถยาว 1,996 เมตร ใช้เวลาไปถึงบนยอดเขาราว 10-15 นาที

The Habitat ป่าดิบชื้นอายุกว่า 130 ปี

จุดหมายหลักที่ขึ้นมาบนปีนังฮิลล์ คือมาดูวิวเมือง และสถานที่ที่เรียกว่า The Habitat เราไม่รู้รายละเอียดของที่นี่เลย จึงซื้อตั๋วเข้ามาโดยไม่มีอะไรในหัว และมาได้รับข้อมูลตอนขากลับจากเจ้าหน้าที่ว่า ในส่วน The Habitat นี้ถือว่าเป็นป่าดิบชื้น (Rainforest) ที่มีสภาพสมบูรณ์มากอายุกว่า 130 ล้านปี ค้นพบและบุกเบิกโดยชาวอังกฤษเมื่อประมาณปี ค.ศ.1800 ต่อมาทางรัฐบาลได้มาฟื้นฟูและทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และศึกษาเชิงนิเวศน์ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา

จุดชมวิวบน The Habitat

ค่าผ่านทางที่ The Habitat มีสองราคา คือช่วงกลางวันและหลัง 17.30 น.ราคาจะเพิ่มขึ้นราวเท่าตัว แต่เราจะได้ดูพระอาทิตย์ตกพร้อมมีเจ้าหน้าที่ให้ความรู้และนำทางตอนออกมา สิ่งที่เราสัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวผ่านประตู The Habitat คือ ความเป็นป่า มีต้นไม้ใหญ่ใบแปลกตาปกคลุมพื้นที่ อากาศชื้นมาก สิ่งเดียวที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรายังไม่หลงป่าจริง ๆ คือทางเดินลาดปูน เราเดินตามทางเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านหมอก ผ่านน้ำค้าง ผ่านละอองฝน ได้ยินเสียงสัตว์มาจากที่ไกลๆ จนบางครั้งรู้สึกว่า เราอยู่กลางเมืองปีนังจริงๆ นะหรือ

เมื่อเดินผ่านไปสักระยะ จะพบเจ้าหน้าที่ประจำจุดคอยแนะนำให้เราเดินไปตามทาง จนเดินมาถึงสะพานยาวข้ามเหว (Langur Way Canopy Walk) ที่มีความยาว 230 เมตร อยู่กลางป่า เมื่อไปยืนกลางสะพาน ด้านหนึ่งจะมองไปเห็นท้องทะเลส่วนที่เป็นช่องแคบมะละกา อีกด้านจะเป็นต้นไม้สูงใหญ่และป่าทึบ ส่วนด้านล่างนั้นใครกลัวความสูงแนะนำว่าอย่ามองลงไปเพราะสูงขนาดไม่เห็นพื้นล่างเลยทีเดียว บางจุดจะมีชิงช้าใหญ่โหนไว้กับต้นไม้ยักษ์ ให้เรานั่งพักผ่อนและเก็บภาพสวยๆ ได้

สะพานยาวข้ามเหว (Langur Way Canopy Walk) ความยาว 230 เมตร

เราเดินมาราวกิโลเมตรกว่าๆ ก็มาถึงไฮไลท์ของที่นี่ นั่นคือจุดชมวิวบนยอดไม้ (Curtis Crest Tree Top Walk) ซึ่งสูง 13 เมตร สร้างเป็นทางเดินวนรอบสำหรับชมวิวได้ 360 องศา เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบตั้งแต่แรกว่า ถ้าเราโชคดีก็จะได้เห็นวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดบนนี้ และเราก็โชคดีจริงๆ เพราะช่วงเวลา 18.30 น. พระอาทิตย์สีแดงดวงโตเริ่มหลบหายเข้าไปหลังภูเขา ท้องฟ้ารอบตัวกลายเป็นสีส้ม เราวนถ่ายรูปกันจนฟ้าเริ่มมืด เจ้าหน้าที่สาวสามคนเชิญชวนให้เราเดินออกไปด้วยกัน เขาจะอธิบายสภาพแวดล้อมและประวัติให้ฟังโดยสังเขป

เมื่อตอนที่เราเดินเข้ามารู้สึกว่าทางไกลมาก ไม่ถึงจุดหมายสักที แต่ตอนเดินออกไปพร้อมคณะ เจ้าหน้าที่อธิบายด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว ชี้ชวนดูสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ไม่ว่าจะในซอกหิน ใต้ขอนไม้ หรือแม้กระทั่งบนยอดไม้ เงี่ยหูฟังเสียงลิงลมที่เรียกฝูงผสมกับเสียงหัวเราะ เราแลกเปลี่ยนภาษาพื้นฐานง่ายๆ กัน ก่อเกิดมิตรภาพที่ไม่ได้คาดหมายในป่าแห่งนี้

พอลงจากเขา เรารู้สึกว่าได้เวลาอาหารเย็นแล้ว จุดหมายต่อไปคือ Chulia Street Night Hawker Stalls ตลาดอาหารริมทางที่มีชื่อเสียงของปีนัง ที่ละลานตาไปด้วยร้านข้างทาง ร้านรถเข็น และหาบเร่ เราเลือกร้านที่คนเยอะที่สุด หาที่นั่งโดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืออาหารอะไร เรายกนิ้วบอกไปว่าขอสองที่ ไม่นานอาหารก็ถูกวางและขอเก็บเงินทันที ราคาจานละ 4 ริงกิต หน้าตาเหมือนบะหมี่แห้งหมูแดงมีซีอิ๊วราดและมีพริกดองอยู่เคียงข้าง ส่วนรสชาตินั้นดีที่เดียว ไม่ต้องปรุงรสเพิ่มเลย หมูแดงนุ่ม เส้นบะหมี่หนึบใช้ได้

หลังจากบะหมี่จานนี้เกลี้ยงในพริบตา เราเดินมาดูที่หน้าร้านเลยรู้ว่าเมนูที่เรากินเมื่อครู่นั่นเรียกว่า Wanton Mee อีกหนึ่งเมนูที่เราได้ลองแล้วชอบมากคือ Char Kway Teow ลักษณะเหมือนผัดซีอิ๊วบ้านเรา แต่เส้นจะไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ใส่หอยแครงตัวจิ๋ว กุ้ง หรือซีฟู้ดอื่นๆ หอมกลิ่นไหม้ของกระทะซึ่งเป็นเสน่ห์ของอาหารแบบใช้กระทะก้นลึก (WOK) รสชาติแตกต่างจากผัดซิ๊วแต่รับรองว่าถูกปากคนไทยแน่นอน

สตรีทอาร์ตที่เห็นได้ทั่วเมืองจอร์จทาวน์ผลงานของ Ernest Zacharevic

สองวันถัดมา เราใช้เวลาหมดไปกับการตามหารูปภาพบนกำแพงของคุณ Ernest Zacharevic ที่ซ่อนอยู่ทั่วเมืองจอร์จทาวน์ ให้ความรู้สึกเหมือนเล่นแรลลี่และตามเก็บ RC เช็คพอยท์ไปเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ก็ลบเลือนและผุพังไปตามกาลเวลา

ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าว เราจึงสลับด้วยการแวะพักหาร้านอาหารอร่อยและร้านคาเฟ่เก๋ๆ ที่มีอยู่โดยรอบ รวมถึงเยี่ยมชมสถานที่ ที่ทางการท่องเที่ยวของประเทศมาเลเซียแนะนำไว้ตามแผ่นพับที่หยิบจากสนามบิน ทั้งคฤหาสน์สีฟ้าของเฉิงฟัตเจ๋อ (Cheong Fatt Tze’s Blue Mansion) จนได้รับรางวัล UNESCO’s Most Excellent Project in the Asia Pacific Heritage Award ด้านการอนุรักษ์ในปี 2000 และคฤหาสน์เปรานากัน (Pinang Peranakan Mansion) ที่รวมรวมของสะสมมากมายของเศรษฐีเก่าหลายตระกูล หลายยุคหลายสมัย จนสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาแต่ของค่อนข้างมากจนถึงมากเกินไป เราจึงดูไปแบบผ่านๆ

ถึงแม้ว่าจุดประสงค์หลักของเราคือการมาถ่ายรูป Street Art ในเมืองจอร์จทาวน์ และเราก็เก็บภาพวาดได้เกือบครบทุกจุด แต่สิ่งที่ประทับใจเรากลับเป็น ณ ขณะที่พระอาทิตย์กำลังตกและเรายืนอยู่บนจุดชมวิวยอดไม้ที่ The Habitat บางทีการออกเดินทางตามหาอะไรบางอย่าง แต่กลับได้พบอะไรบางสิ่งที่สวยงามกว่า มันทำให้เรามีแรงจูงใจที่จะออกเดินทางครั้งต่อไปโดยที่ไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก ปล่อยให้มันดำเนินไปในรูปแบบที่เราไม่ได้วางแผนไว้บ้าง

มันก็สนุกดีนะ…ว่าไหม?

เกาะปีนัง, รัฐปีนัง, ประเทศมาเลเซีย 

พฤศจิกายน 2018

บันทึกภาพโดย Olympus Pen F (17mm f1.8, 45mm f1.8) , Sony RX-100M5, Fuji Instax mini90

Fact Box

  • เราสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเกาะปีนังได้ทั้งทางอากาศและทางบก โดยบินตรงได้จากสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองขึ้นอยู่กับสายการบิน หรือนั่งรถไฟจากหัวลำโพง-ปาดังเบซาร์-บัตเตอร์เวิร์ธ และแบบผสมผสานคือบินไปลงหาดใหญ่ นั่งรถบัสต่อไปบัตเตอร์เวิร์ธและนั่งเรือข้ามฟากไปเกาะปีนัง
  • คนไทยสามารถมาท่องเที่ยวประเทศมาเลเซียได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า อยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน
Tags: ,