ต่อจากบทความที่แล้วที่ผู้เขียนได้ไปเยือนเมืองรองของเม็กซิโกอย่างเมืองตาซโก (Taxco) เมื่อกลับมาถึงที่พักในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง ยังไม่ทันได้นั่งพักจิบน้ำให้หายเหนื่อยดี เพื่อนชาวเม็กซิกันคนเดิมก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีอีกครั้งด้วยการเอ่ยชื่อเมืองแปลกหูขึ้นมา

“พรุ่งนี้เช้าไปปูเอบลากันมั้ย?”

แม้ส่วนตัวจะใจร้อนอยากเที่ยวมหานครเม็กซิโกซิตี้แบบที่ตั้งใจไว้ไวๆ แต่อีกใจก็รู้ดีว่าโอกาสแบบนี้ไม่ได้มาบ่อยๆ จึงรับคำตกลงไปทันที ก่อนจะรีบอาบน้ำ เข้านอน เตรียมพร้อมสำหรับทริปใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

ปูเอบลา (Puebla) เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของเม็กซิโก ดินแดนเก่าแก่ที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ทางประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ปูเอบลายังเป็นเมืองแรกที่สเปนสร้างขึ้นหลังยึดเม็กซิโกเป็นประเทศในอาณานิคม จึงไม่น่าแปลกใจที่การจัดผังเมืองและสถาปัตยกรรมต่างๆ ในปูเอบลานั้นมีความคลาสสิกงดงามสไตล์ยุโรป มีจัตุรัสตั้งอยู่ใจกลางเมืองและโบสถ์คาทอลิกจำนวนมากมายร่วมร้อยกว่าแห่ง

หากใครพอจะคุ้นชื่อเมืองปูเอบลาอยู่บ้าง คงเพราะดินแดนแห่งนี้คือต้นกำเนิดของเทศกาลซินโค เด มาโย (Cinco de Mayo) ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองและรำลึกเหตุการณ์ ‘สมรภูมิปูเอบลา’ (Battle of Puebla) วันที่ 5 พฤษภาคม 1862 ที่กองทัพเม็กซิกันสามารถรบชนะกองทัพฝรั่งเศสด้วยกำลังพลที่น้อยกว่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ จะเห็นได้ว่าในวันที่ 5 พฤษภาคมของทุกปี ร้านอาหารเม็กซิกันหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา (หรือแม้แต่ในบ้านเราเอง) จัดปาร์ตี้หรือเสนอโปรโมชั่นเมนูอาหาร-เครื่องดื่มเพื่อร่วมฉลองโอกาสดังกล่าว

เราออกเดินทางกันในเวลาเช้าตรู่ ใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ผ่านเส้นทางหุบเขาอันคดเคี้ยวก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง เพื่อนแนะนำให้เราขับหาโรงจอดรถแบบเต็มวัน เนื่องจากปูเอบลาเป็นเมืองท่องเที่ยวและมีการจราจรค่อนข้างหนาแน่น ยิ่งเป็นวันสุดสัปดาห์ด้วยแล้ว การเดินเท้าหรือการนั่งรถโดยสารสาธารณะจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

โชคดีที่ตอน 8 โมงเช้าวันเสาร์ รถรายังไม่มากนัก เราพบอาคารจอดรถราคาประหยัดใกล้จัตุรัสใจกลางเมืองจึงเลี้ยวเข้าไปใช้บริการทันที จากนั้นเราจึงเดินมุ่งหน้าไปยังจุดหมายแห่งแรกนั่นคือ Cathedral de Puebla โบสถ์ประจำเมืองที่ตั้งตระหง่านอย่างสง่างามอยู่ใจกลางเมือง ศูนย์รวมจิตใจชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบผสมระหว่างบาโรก เรเนสซองส์และนีโอคลาสสิก มีโดมที่ละม้ายคล้ายคลึงกับวิหารเซนต์ปีเตอร์ในนครรัฐวาติกัน ส่วนหอระฆังนั้นก็เป็นหอระฆังที่สูงที่สุดในประเทศเม็กซิโกด้วยความสูง 226 ฟุต (หรือ 69 เมตร) ผู้ชมสามารถเดินขึ้นบันไดไปยังหอระฆังเพื่อชมวิวเมืองปูเอบลาจากมุมสูง และหากโชคดีในวันที่ฟ้าเป็นใจก็จะเห็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับสนิทอย่างภูเขาไฟโปโปคาเตเปตีล์ (Popocatepetl Volcano) 

ภายใน Cathedral de Puebla

หลังจากเดินชมโบสถ์และชักภาพเป็นที่ระลึกจนหนำใจ เราก็เดินต่อมาที่อาคารด้านหลังของโบสถ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญ

Biblioteca Palafoxiana คือหอสมุดสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศเม็กซิโก (บางตำราบอกว่าเก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกาทั้งเหนือและใต้อีกด้วย) ตั้งแต่ปีที่ก่อตั้ง (ค.ศ. 1646) จนถึงปัจจุบัน หอสมุดแห่งนี้ก็ยังคงได้รับการดูแลรักษาอย่างดีให้เป็นโบราณสถานอันทรงคุณค่า โดยบรรจุหนังสือและเอกสารสำคัญในอดีตไว้จำนวนมากถึง 40,000 กว่าเล่มอยู่บนชั้นไม้มันวาวที่ยิ่งช่วยขับมนต์ขลังให้เพิ่มขึ้นไปอีก ในปี 2005 หอสมุดแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก (The Memory of the World) เช่นเดียวกับศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงของไทยนั่นเอง

หอสมุด Palafoxiana เปิดตั้งแต่เวลา 10:00 – 18:00 น. ทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ โดยมีค่าเข้าชมคนละ 40 เปโซ (60 บาท) สำหรับผู้ใหญ่ และ 20 เปโซ (30 บาท) สำหรับเด็ก โดยผู้เข้าชมสามารถเดินถ่ายรูปได้ตามอัธยาศัย มีเพียงข้อแม้เดียวคือห้ามหยิบจับหนังสือเป็นอันขาด ส่วนใครที่อยากเห็นหน้าค่าตาของหนังสือเก่าแก่ ก็สามารถชมได้ผ่านสื่อดิจิทัลบนเว็บไซต์ของหอสมุด

หอสมุด Biblioteca Palafoxiana

อีกสถานที่ที่เพื่อนภูมิใจนำเสนออย่างมากคือ Rosary Chapel ซึ่งได้รับการขนานนามจากชาวเม็กซิกันให้เป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับที่ 8 ของโลก” เลยทีเดียว เราเดินผ่านย่านตลาดร้านค้าอันพลุกพล่านจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าโบสถ์อิฐสีเทาเข้ม เมื่อก้าวไปข้างใน บรรยากาศก็พลันสงบเงียบ บนม้านั่งยาวสองฟากฝั่งมีชาวคริสต์ผู้เลื่อมใสกำลังสวดมนต์ภาวนา เราเดินผ่านพวกเขาไปจนสุดทางเดินจึงสามารถยลโฉมอันงดงามอลังการของ Rosary Chapel ได้อย่างเต็มตา แท่นบูชาตรงหน้านั้นทำมาจากทองคำ 23 กะรัตทั้งหมด เช่นเดียวกันกับลวดลายประดับฝาผนังและเพดานที่เปล่งประกายสีเหลืองทองอร่าม วิจิตรสวยงามทุกมุมมองสมคำร่ำลือ หากจะใช้วลี ‘สวยจนตกตะลึง’ ก็คงไม่เป็นการกล่าวจนเกินไปนัก 

Rosary Chapel

น่าเสียดาย เราเดินชมโบสถ์ได้เพียงไม่กี่นาทีก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาขอความร่วมมือให้ออกจากสถานที่ เนื่องจากพิธีมิสซาในภาคเช้ากำลังจะเริ่มขึ้น

พิธีมิสซาใน Rosary Chapel

แม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยง แต่เราก็ไม่ยอมเสียเวลาหยุดแวะทานอะไรนอกจากกาแฟหนึ่งแก้วถ้วน เราเดินถ่ายรูปตึกอาคารสไตล์โคโลเนียลที่ตั้งอยู่เรียงรายริมถนน แม้แต่ร้านรวงเล็กๆ น่ารักๆ ตามตรอกซอกซอยก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่เสพได้ไม่รู้เบื่อ 

และแล้วเราก็เดินมาถึงตรอกชื่อ Callejon de los Sapos หรือ Alley of the Frogs มีพ่อค้าแม่ค้าปูเสื่อ-กางร่มขายสินค้าเรียงรายตั้งแต่ต้นไปจนสุดซอย มีตั้งแต่งานศิลปะทำมือ เสื้อผ้ามือสองไปจนถึงของเก่าสไตล์วินเทจ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวสายช้อปที่หาของติดไม้ติดมือกลับบ้าน

ระหว่างที่เพื่อนเดินเลือกของฝากและต่อราคากับพ่อค้า (ซึ่งดูท่าจะอีกนาน) นักท่องเที่ยวสายแบ็กแพ็กที่ยัดของลงเป้มาแบบพอดิบพอดีอย่างเราจึงขอตัวไปนั่งพักอยู่ข้างๆ รถเข็นขายไอศกรีมของคุณลุงคนหนึ่งที่จอดไว้อยู่สุดซอย ไล่สายตาดูเมนูอยู่ครู่เดียวก็รู้ว่าไม่มีภาษาอังกฤษแน่ๆ จึงทำได้แต่ชี้โบ๊ชี้เบ๊เลือกถังไอศกรีมให้ลุงตักให้ จนได้ถ้วยใส่น้ำแข็งใสสีแดงสดรสสุดแปลกมา รสชาติหวานชื่นใจคล้ายผลไม้อะไรซักอย่าง แต่เดาเท่าไรก็เดาไม่ถูก สุดท้ายลุงก็ยอมเฉลยว่ามันคือไอศกรีมที่ทำมาจาก Nopales พืชในตระกูลกระบองเพชร (!) ผลของมันคล้ายลูกแพร์และมีหลากสีสันขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ รสหวานอร่อย สามารถนำมาคั้นสดๆ เพื่อกินน้ำหรือแปรรูปได้

ไอศกรีมของคุณลุง

ห่างจากตลาดนัดไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตร เราก็ได้ยินเสียงดนตรีละตินและบทสนทนาโหวกเหวกดังออกมาซักที่ หันไปมองตามเสียงก็เห็นร้านที่มีลูกค้าเดินเข้าเดินออกแทบจะตลอดเวลา เราจึงลองเบียดเสียดคนเข้าไปดูด้วยความสงสัย จึงได้ทราบว่าร้านตรงหน้านั้นคือ La Pasita บาร์ที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองปูเอบลา เปิดมายาวนานมากกว่า 100 ปีแล้ว คุณลุงหลังบาร์ที่กำลังรินเครื่องดื่มคือเจ้าของบาร์รุ่นที่ 2 เครื่องดื่มยอดนิยมของร้านก็ไม่พ้นค็อกเทล Pasita ที่ตั้งชื่อตามชื่อร้าน เป็นเหล้าหวานที่ทำมาจากลูกเกด ใส่ก้อนชีสที่ทำจากนมแพะ เสิร์ฟในแก้วเตกีล่าทรงสูง ก่อนจะประดับด้านบนด้วยลูกเกดเสียบไม้จิ้มฟัน คงจะถูกใจสายค็อกเทลอยู่ไม่น้อย

หน้าร้าน La Pasita

เป็นช่วงบ่ายคล้อยเข้าไปแล้วตอนที่เราตัดสินใจกดเรียกอูเบอร์เพื่อเดินทางไปยัง the Great Pyramid of Cholula ซึ่งเป็นพีระมิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ใช่แล้ว อ่านไม่ผิดหรอก ตอนแรกก็ประหลาดใจไม่ต่างกันตอนที่ได้รู้ข้อเท็จจริงนี้ เพราะเข้าใจมาตลอดว่าพีระมิดหมายเลขหนึ่งคือมหาพีระมิดกิซ่าในประเทศอียิปต์ แต่หากเราวัด ‘ความใหญ่’ กันที่ฐานและปริมาตรแล้วล่ะก็ พีระมิดกิซ่าต้องยอมแพ้และยกตำแหน่งให้พีระมิดแห่งโชลูล่าไป เพราะพีระมิดโชลูล่ามีฐานกว้างด้านละ 450 เมตร และปริมาตรมากถึง 4.45 ล้านลูกบาศก์เมตร! (มากเกือบ 2 เท่าของพีระมิดกิซ่าที่มีฐานกว้าง 230 เมตรและปริมาตรเพียง 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร)

ด้านหน้าของพีระมิดแห่งโชลูล่า

พีระมิดโชลูล่าเพิ่งจะถูกค้นพบในปีค.ศ. 1910 โดยรูปทรงของพีระมิดนั้นเป็นแบบขั้นบันได เมื่อเดินขึ้นไปถึงยอดจะพบที่ตั้งวิหารบูชาเทพเจ้าชื่อ Quetzalcoatl ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่มีส่วนผสมระหว่างงูหางกระดิ่งกับนก และเป็นที่นับถือมากที่สุดองค์หนึ่งในอารยธรรมอเมริกากลางโบราณ โดยเฉพาะกลุ่มชาวแอซเท็ก

ณ วิหารนั้นเอง นักท่องเที่ยวสามารถมองชมวิวเมืองโชลูล่าได้แบบเต็มอิ่ม 360 องศา น่าเสียดายที่ทัศนวิสัยในวันนั้นไม่ดีนัก ตอนแรกเข้าใจว่าท้องฟ้ามืดครึ้มเป็นเพราะฤดูกาล แต่ชาวบ้านแถวนั้นบอกว่าความจริงแล้วเป็นเพราะภูเขาไฟโปโปคาเตเปตีล์ที่พ่นเขม่าควันออกมาปกคลุมเมืองอย่างต่อเนื่องแล้วหลายสัปดาห์ จะว่าไปแล้วก็น่าหวาดเสียวอยู่เหมือนกันว่าภูเขาไฟดังกล่าวจะปะทุรุนแรงขึ้นมาอีกเมื่อไร

หวังว่าจะได้มาเยือนอีก ปูเอบลา

Fact Box

  • ปูเอบลาตั้งอยู่ห่างจากเม็กซิโกซิตี้ออกไปด้านตะวันออกประมาณ 140 กิโลเมตร นอกจากรถยนต์ส่วนตัวแล้ว สามารถเดินทางไปปูเอบลาได้ด้วยรถบัส (ราคาประมาณ 300 บาทต่อเที่ยว) 

 

Tags: ,