เมื่อได้จังหวะกลับไปเยี่ยมครอบครัวอุปถัมภ์ที่สหรัฐอเมริกาคราวนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่าน่าจะหาโอกาสเดินทางไปเที่ยวรัฐอื่นๆ หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโก (ที่ไม่รู้ว่าจะได้ไปอีกเมื่อไร) แม้จะพูดภาษาสเปนได้เพียงกระท่อนกระแท่น แต่ก็คิดว่าน่าจะพอถามทางหรือสั่งอาหารเอาตัวรอดได้อยู่บ้าง จึงจองเที่ยวบินลงใต้ไปเม็กซิโกซิตี้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเมืองหลวงของเม็กซิโก และหนึ่งในมหานครที่ใหญ่ที่สุดของโลก

จากการวางแผนไว้หลวมๆ ว่าจะนัดเจอเพื่อนเก่าชาวเม็กซิกันที่ไม่ได้เจอกันมาสิบปี และเที่ยวแค่ในเม็กซิโกซิตี้แบบสบายๆ ไม่รีบร้อน กลับกลายเป็นว่าในวันรุ่งขึ้น เพื่อนเอ่ยปากชวนขับรถไปเยือนเมือง Taxco (ออกเสียงว่า ตาซ-โก ไม่ใช่ แท็กซ์-โก) ที่อยู่ห่างเม็กซิโกซิตี้ออกไปอีกตั้งเกือบ 200 กิโลเมตร ด้วยชื่อที่ไม่คุ้นหูเลยแม้แต่น้อย ทำให้ต้องหยิบสมาร์ทโฟนมาเสิร์ชชื่อเมือง ดูรูปและอ่านรายละเอียดคร่าวๆ ในอีกไม่กี่อึดใจต่อมาก็ตอบตกลง

หลังจากขับรถร่วม 3 ชั่วโมงผ่านโค้งอันตรายมากมายบนเส้นทางหุบเขาอันคดเคี้ยว เราก็ได้เห็นเมืองตาซโกตั้งตระหง่านอยู่ที่ความสูงเกือบ 1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติและขุนเขา ระหว่างที่กำลังขับรถเลาะริมผามุ่งหน้าสู่ใจกลางเมือง เพื่อนจึงถือโอกาสเล่าเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ให้ฟัง ด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ เมืองตาซโกในปี 2002 ได้รับการขนานนามจากรัฐบาลเม็กซิโกให้เป็น ‘เมืองมหัศจรรย์’ (Pueblo Magico หรือ Magic Town) ซึ่งอารมณ์มันก็น่าจะคล้ายๆ โครงการ Unseen Thailand บ้านเรานี่ล่ะ

นอกจากนี้ ตาซโกในอดีตเคยเป็นเหมืองเงินและแหล่งผลิตเงินอันดับต้นๆ ของโลก (แม้แต่เหรียญกษาปณ์บางส่วนที่ใช้ในไทยสมัยก่อน ก็เป็นเหรียญเงินที่ผลิตจากเม็กซิโก) แม้ปัจจุบันจะไม่มีการขุดแร่เงินในเมืองตาซโกแล้ว แต่ที่แห่งนี้ก็ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ทั้งชาวเม็กซิกันและชาวต่างชาติเดินทางมาเพื่อจับจ่ายใช้สอยซื้อเครื่องประดับอัญมณีจากร้านค้าร่วมพันกว่าราย

ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงชัน ถนนหนทางที่ค่อนข้างแคบและคดเคี้ยว ทำให้การสัญจรไปมาในเมืองตาซโกไม่พ้นการเดินเท้าหรือขับจักรยานยนต์ หรืออีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่อยากเดินไกลๆ ก็คือ รถแท็กซี่

หากสัญลักษณ์ของเมืองนิวยอร์กคือรถแท็กซี่สีเหลือง จะเรียกรถเต่าสีขาวว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองตาซโกก็คงพูดได้ไม่ผิด ทันทีที่เดินทางมาถึงเขตใจกลางเมือง ก็ต้องสะดุดตากับรถยนต์รุ่นคลาสสิกอย่าง Volkswagen Beetle (หรือที่คนไทยเรียกกันว่า ‘รถเต่า’) วิ่งรับส่งผู้โดยสารอยู่เกลื่อนเมืองราวราชาแห่งท้องถนน 

เพื่อนร่วมทางซึ่งเป็นชาวเม็กซิกันโดยกำเนิดเล่าให้ฟังว่า สาเหตุที่รถเต่าเป็นพาหนะยอดนิยมในเมืองตาซโก รวมไปถึงอีกหลายๆ เมืองในเม็กซิโกนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะฐานผลิตรถเต่ารุ่นโบราณแหล่งสุดท้ายของโลกนั้นอยู่ที่เมืองปูเอบลา (Puebla) เมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของเม็กซิโก ทำให้รถเต่ามีราคาที่ค่อนข้างถูกในตลาดเมื่อเทียบกับรถเต่าในประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้รถยี่ห้อนี้เป็นที่นิยมในหมู่ชาวเม็กซิกัน เช่น สมรรถนะที่สูง ความแข็งแรงทนทาน และขนาดที่เล็กกะทัดรัด 

ท่ามกลางรถเต่าหลากสีสันในเมืองตาซโกนั้น รถแท็กซี่ส่วนบุคคลจะเป็นรถเต่าสีขาว มีป้ายไฟแสดงข้อความ ‘Taxi’ ติดตั้งอยู่บนหลังคา จุดเด่นของมันที่ต่างจากแท็กซี่ในประเทศอื่นคือ เบาะนั่งของผู้โดยสารด้านหน้าจะถูกถอดออกไป เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถเข้าออกประตูที่มีแค่ 2 ประตูได้สะดวกขึ้น (ประตูด้านหน้าซ้ายและขวา) เมื่อผู้โดยสาร 3 คนเข้าไปนั่งจนเต็มเบาะหลังแล้ว คนขับแท็กซี่จึงจะหยิบเก้าอี้พับออกมาวางไว้ตรงเบาะหน้าเพื่อให้ผู้โดยสารคนที่ 4 เข้าไปนั่งเป็นคนสุดท้าย (เมื่อถามเพื่อนเรื่องการทำผิดกฎจราจรและความปลอดภัย เพื่อนก็ได้แต่ยักไหล่พร้อมยิ้มอ่อน)

หลังจากเดือนนี้ไป เราคงจะหาชมรถเต่าได้ยากขึ้นไปอีก เพราะค่ายรถจากเมืองเบียร์ได้ประกาศยุติการผลิตรถโฟล์คเต่ารุ่นสุดท้าย โดยมีผลตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2019 เป็นต้นไป ถือเป็นการปิดตำนานรถยนต์สุดคลาสสิกที่ครองใจคนรักรถมาเป็นเวลา 80 ปี

หลังจากนำรถส่วนตัวไปจอดในลานจอดรถตามคำแนะนำของเพื่อน เพื่อนก็เดินนำทางไปยังจัตุรัสใจกลางเมืองที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่พยายามสบตากับนักท่องเที่ยวเพื่อขายผลไม้ ขนมหวานและหมวกฟางปีกกว้าง นักเรียนออกมาวิ่งเล่นกลางแดดช่วงพักกลางวัน ห่างจากจัตุรัสออกไปไม่กี่เมตร มีบรรดานักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ยืนถ่ายรูปกันอยู่หน้าวิหารจนแทบมองไม่เห็นทางเข้า

วิหารที่ว่าชื่อโบสถ์ซานตา พริสกา (Church of Santa Prisca) ศูนย์รวมจิตใจชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 ตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมบาโรก ในปี 2000 วิหารเก่าแก่แห่งนี้ได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมที่กำลังถูกคุกคาม (World Monument Watch) 

โบสถ์ซานตา พริสกา (Church of Santa Prisca)

แม้จะมีร่องรอยความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และผลกระทบจากการระเบิดเหมืองบริเวณใกล้เคียง แต่โบสถ์ซานตา พริสกาก็ยังคงความโดดเด่นสง่างาม เต็มไปด้วยมนต์ขลังด้วยอิฐสีชมพู หอคอยคู่สูงระฟ้าและยอดโดมขนาดยักษ์ ภายในโบสถ์มีผู้เลื่อมใสนั่งภาวนาอย่างสงบอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่เรียงอยู่สองฝากฝั่ง แวดล้อมไปด้วยแท่นบูชาปิดทองคำที่แกะสลักอย่างวิจิตร ฝาผนังประดับไปด้วยภาพวาดสีน้ำมันของมิเกล คาเบรร่า (Miguel Cabrera) จิตรกรคนสำคัญในยุคนิวสเปน 

ด้วยสภาพอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป เมื่อเดินชมโบสถ์เสร็จ เราจึงเดินสะพายกล้องหนีจัตุรัสที่พลุกพล่านออกไปตามตรอกซอกซอย เพื่อชมอาคารบ้านเรือนสไตล์โคโลเนียลและสตรีทอาร์ทเท่ๆ ที่มีอยู่ตลอดทาง

แม้ตาซโกจะเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวสายอัญมณีและเครื่องประดับเป็นหลัก แต่ก็ใช่ว่าเราจะขับรถมาเสียเที่ยว อย่างที่หลายคนรู้ว่ากาแฟเป็นของขึ้นชื่อของเม็กซิโก ดังนั้นใครที่ชอบดื่มกาแฟหรือนิยามตัวเองว่าเป็น ‘คาเฟ่ ฮอปเปอร์’ จะต้องถูกใจกับคาเฟ่เล็กๆ น่านั่งจำนวนมาก ซึ่งไม่ได้มีดีแค่คุณภาพของเมล็ดกาแฟเท่านั้น แต่ยังมีที่นั่งพร้อมวิวสวยๆ ให้ได้ถ่ายรูปกันจนเพลิน

นอกจากการช้อปปิง-ดริงก์กาแฟแล้ว ตาซโกยังมีอีกหลายสถานที่ได้แวะชมเช่น อนุสาวรีย์พระเยซูคริสต์ (Cristo Rey) พิพิธภัณฑ์วิลเลียม สแปรตลิง (สแปรตลิงคือช่างเงินผู้บุกเบิกศูนย์กลางการทำเครื่องเงินในตาซโก) พิพิธภัณฑ์ของเก่าสะสมยุคอาณานิคมชื่อ Casa Figueroa และถ้าหากต้องการชมวิวทิวทัศน์ของตาซโกจากมุมสูง ก็สามารถซื้อตั๋วกระเช้าลอยฟ้าเพื่อชมเมืองทั้งเมืองได้ด้วยราคาเที่ยวละ 60 เปโซต่อคน (ประมาณ 95 บาท) 

ยิ่งใครโชคดีได้มาเยือนตาซโกช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนหรือต้นธันวาคม ก็จะเจอเทศกาลเงิน (Silver Fair) ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเฉลิมฉลองอุตสาหกรรมเครื่องเงิน โดยจะมีผู้ผลิตและผู้ค้าจากเมืองต่างๆ หลั่งไหลมาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

ตาซโกเป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ในรัฐ Guerrero และอยู่ห่างจากเม็กซิโกซิตี้ออกไปด้านฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 170 กว่ากิโลเมตร นอกจากรถส่วนตัวแล้ว สามารถเดินทางไปยังตาซโกได้ด้วยรถบัส (ประมาณ 300 บาทต่อเที่ยว) และรถแท็กซี่ (ราคาประมาณ 1,500 – 2,500 บาท ขึ้นอยู่กับสกิลการต่อรองกับคนขับ)

Tags: , ,