เคยสังเกตความแตกต่างไหมครับ
เวลาเราเห็นภาพถ่าย หรือดำน้ำลงไปใต้ท้องทะเล เราจะเห็นความสวยงามของปลานานาชนิด เพราะทะเลน้ำใส
แต่เราแทบจะไม่เคยมีโอกาสเห็นภาพถ่ายใต้น้ำของปลาในแม่น้ำเลย เพราะความขุ่นของน้ำ จนแทบจะมองอะไรไม่เห็น
ปลาน้ำจืดจึงเป็นสัตว์น้ำที่ศึกษายากกว่าปลาทะเล
ยิ่งปลาที่หากินลึกระดับผิวดิน นานๆ จะโผล่ขึ้นมาระดับผิวน้ำ ยิ่งลำบากในการศึกษารู้จักวิถีชีวิตของพวกเขา
กระเบนราหูเป็นปลาหากินผิวดินที่ได้ชื่อว่า เป็นปลาลึกลับมานานแสนนานจนถึงปัจจุบัน
หลายคนคงไม่ทราบว่า ปลากระเบนราหูเป็นสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ มีอายุเก่าแก่ย้อนกลับไปหลายสิบล้านปี จนเพื่อนร่วมโลกสมัยนั้นคือไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่กระเบนก็ยังอุตส่าห์ผ่านร้อนผ่านหนาวมีชีวิตรอดมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ดูเหมือนมันกำลังจะใกล้สูญพันธุ์ด้วยฝีมือมนุษย์อย่างเรา
กระเบนราหูเป็นปลาที่ในโลกนี้มีเฉพาะในเกาะบอร์เนียว แม่น้ำโขง แม่น้ำในเขมร และแม่น้ำในภาคกลางของไทย อาทิ เจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง มันจึงได้รับการตั้งชื่อว่า Himantura Chaophraya เพื่อเป็นเกียรติตามสถานที่ค้นพบครั้งแรกคือ แม่น้ำเจ้าพระยา
และสาเหตุที่ได้ชื่อว่า ‘ราหู’ เนื่องจากขนาดลำตัวที่ใหญ่เหมือนราหูอมจันทร์ตามคติของคนโบราณ อีกทั้งยังมีความเชื่ออีกด้วยว่า หากใครพบเห็นหรือจับปลากระเบนราหูน้ำจืดได้ จะพบกับความโชคร้าย
ขนาดของปลาชนิดนี้ใหญ่จนกลายเป็นปลากระเบนน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เคยมีคนพบน้ำหนักถึง 600 กิโลกรัม ความกว้าง 2.5-3 เมตร ความยาวตั้งแต่ปลายส่วนหัวจรดปลายหางที่บันทึกไว้ได้ใหญ่ที่สุดคือ 5 เมตร และเป็นปลากระเบนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากปลากระเบนแมนตา (Manta spp.) ที่พบได้ในทะเล
ทุกวันนี้ทั่วโลกได้ระบุว่าเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ IUCN จัดให้กระเบนชนิดนี้มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ (Endangered) ในระดับโลก สำหรับในประเทศไทยจัดว่า ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critically Endangered)
สำหรับผู้เขียน การได้เห็นปลาชนิดนี้จึงนับเป็นความโชคดีมากกว่าความโชคร้าย และภาวนาว่าอยากเห็นเป็นบุญตาครั้งหนึ่งในชีวิต
ประเทศไทยนับเป็นแหล่งอาศัยตามธรรมชาติที่สำคัญมากของสัตว์มหัศจรรย์ชนิดนี้ กระเบนราหูจึงถือเป็นสัตว์น้ำคู่บารมีของแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำแม่กลอง อันควรค่าต่อการอนุรักษ์เป็นอย่างยิ่ง
แต่สำหรับกระเบนราหูแล้ว การได้พบมนุษย์น่าจะเป็นโชคร้ายมากกว่าโชคดี
ที่ผ่านมามักมีข่าวอยู่เป็นระยะว่า มีการตกปลากระเบนราหูได้ จับขึ้นมาแล้วก็มาแล่เนื้อขายกันริมแม่น้ำ
แต่แล้วปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้เกิดโศกนาฏกรรมในแม่น้ำแม่กลอง บริเวณจังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อปรากฏว่ามีปลากระเบนราหูค่อยๆ ลอยน้ำตายไปทีละตัวสองตัว และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนระยะเวลาไม่กี่วันพบว่า มีปลากระเบนลอยน้ำตายไม่ต่ำกว่า 50 ตัว บางตัวมีน้ำหนักมากถึง 200 กิโลกรัม
ก่อนหน้านี้ หากมีข่าวการล่าปลากระเบนเพียงตัวเดียว ก็เป็นข่าวใหญ่โตแล้ว แต่ตอนนี้ตายในช่วงเวลาเดียวกันถึง 50 ตัว
นักวิชาการได้ประเมินว่า เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่ง เพราะคาดว่าปลาที่พบน่าจะพบเพียง 1 ใน 3 ของที่ตายทั้งหมด คือตายประมาณ 150 ตัว จากที่คาดว่าในแม่น้ำภาคกลางของไทยมีประชากรปลากระเบนราหูไม่เกิน 200 ตัว
การตายของปลากระเบนราหูครั้งนี้ อาจเปรียบเทียบได้กับเสือโคร่ง 50 ตัวในป่าห้วยขาแข้งถูกยาเบื่อตายทีเดียวพร้อมกัน
ล่าสุดกรมควบคุมมลพิษ แถลงสรุปสาเหตุการตายของปลากระเบนราหูในลุ่มน้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม ว่าเกิดจากการปล่อยน้ำเสียของโรงงานราชบุรีเอทานอล ทำให้แอมโมเนียในน้ำสูง เป็นพิษต่อปลากระเบนเฉียบพลัน
กรมควบคุมมลพิษใช้วิธีตั้งสมมติฐานว่า ระดับความเข้มข้นของแอมโมเนียอิสระ จากการรั่วไหลของน้ำกากส่าในโรงงานราชบุรีเอทานอล โดยจำลองแหล่งน้ำธรรมชาติ และเติมน้ำกากส่า และวัดระดับแอมโมเนียทุกๆ 15 นาที พบว่า ในเวลา 46 ชั่วโมง ที่น้ำไหลจากโรงงานมาถึงจุดที่พบปลาตาย มีค่าแอมโมเนียเพิ่มสูงถึง 1.1 มิลลิกรัมต่อลิตร เกินกว่าค่าความปลอดภัยต่อสัตว์น้ำถึง 18 เท่า ทำให้ปลากระเบนตายเฉียบพลัน เพราะปลาไม่สามารถขับแอมโมเนียออกจากร่างกายได้ โดยเฉพาะในช่วงที่น้ำมีออกซิเจนต่ำ
สอดคล้องกับผลตรวจเนื้อเยื่อปลากระเบนที่พบสารไซยาไนด์ ของศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รองศาสตราจารย์ สัตวแพทย์หญิงนันทริกา ชันซื่อ ระบุว่า ไซยาไนด์เป็นสารตั้งต้นที่ทำให้ปลากระเบนมีอาการอัมพาต และเมื่อเจอแอมโมเนียอิสระ ยิ่งทำให้เกิดพิษกับปลากระเบนสูงมากขึ้น
หลายคนคงสงสัยว่าสารพิษไซยาไนด์มาจากไหน คำตอบคือ มาจากมันสำปะหลัง ที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำตาลและผงชูรสจากโรงงานหลายแห่งริมแม่น้ำแม่กลอง ตั้งแต่ราชบุรียันสมุทรสงคราม
(แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีสาเหตุจากทัวร์ตกปลาจากเมืองจีน ที่เข้ามาบ่อยขึ้น มีการโรยสารไซยาไนด์ลงในแม่น้ำ เพื่อตกปลากระเบนได้ง่ายขึ้น ซึ่งต้องมีการสืบสวนต่อไป)
ที่สลดใจคือ ก่อนหน้านี้โรงงานแห่งนี้ได้ลักลอบปล่อยน้ำเสียออกมาตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน มีผู้แอบถ่ายคลิปได้ และพอวันที่ 6 ตุลาคม ก็พบปลากระเบนราหูลอยตาย แต่บรรดาหน่วยราชการในจังหวัดก็ดาหน้าออกมาปกป้องว่า โรงงานแห่งนี้ไม่ได้เป็นสาเหตุของการตายของปลากระเบนราหู
เมื่อหลักฐานของกรมควบคุมมลพิษชัดขนาดนี้ ก็ต้องดูต่อไปว่า หน่วยราชการจะกล้าจัดการกับโรงงานน้ำตาลแห่งนี้ไหม เพราะเจ้าของเป็นนักธุรกิจชื่อดัง มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย
ล่าสุดทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้สั่งปรับโรงงานแห่งนี้ในการปล่อยน้ำเสียเป็นเงิน 400,000 บาท อันเป็นโทษปรับสูงสุดตามกฎหมาย
เงินไม่ถึงครึ่งล้าน แลกกับสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่อุตส่าห์อยู่รอดมาหลายสิบล้านปีร่วม 50 ตัว ไม่รวมปลาในกระชังอีกหลายพันตัวที่ลอยตายจากน้ำเน่าเสีย
หรือว่า ปลากระเบนราหูตาย… แล้วไง?