สัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวร็อกทั่วโลกน่าจะกรี๊ดกร๊าดเสียงแหบแห้งเมื่อสองวงร็อกชื่อดังจากสองยุคสมัย กลับมารวมตัวกันเล่นคอนเสิร์ตอีกครั้ง วงหนึ่งคือ My Chemical Romance อีโมพังค์ร็อกขวัญใจสาวกเสื้อดำ อีกหนึ่งก็คือ Rage Against The Machine แร็ปเมทัลเสียดสีสังคมสุดเก๋า ซึ่งทั้งสองประกาศคืนสังเวียนในเวลาห่างกันแค่วันเดียวเท่านั้น

ชื่อชั้นความนิยมของสองวงนี้ สาวกเพลงร็อกย่อมรู้ดีแก่ใจว่าบันลือโลกแค่ไหน เริ่มจาก Rage Against The Machine นี่คือสุดยอดวงดนตรีร็อกจากยุค 90s ที่สร้างชื่อจากบทเพลงวิพากษ์วิจารณ์การเมือง สังคม เป็นกระบอกเสียงแทนประชาชนต่อสู้กับความอยุติธรรม ขณะเดียวกันก็มีคุณูปการต่อวงการดนตรีโลกในเรื่องสไตล์ดนตรีที่นำท่วงทำนองแบบร็อก มาผสมกับการร้องแบบแร็ปอันดุเดือดเลือดพล่าน ก่อนกลายเป็นรากฐานสำคัญของดนตรีนูเมทัล ที่ออกมาขย่มโลกในกาลต่อมา

RATM มีอัลบั้มทั้งหมด 4 ชุด มีทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก แต่พอถึงปี 2000 แซค เดอ ลา โรชา นักร้อง+นักแร็ปของวง ก็ขอลาออกจากวงด้วยเหตุผลว่าบทเพลงของ RATM ที่ร่วมทำกันมาเกือบ 10 ปี ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นอย่างที่เขาต้องการได้ ขณะที่ 3 สมาชิกที่เหลือก็ไปทำวงใหม่ Audioslave กระนั้น RATM ก็กลับมารวมตัวเล่นคอนเสิร์ตในปี 2010 ที่ ฟินสบิวรี่ พาร์ค อังกฤษ เพื่อตอบแทนที่เพลง Killing In The Name ซูเปอร์ฮิตระดับตำนาน ได้รับการโหวตจากแฟนเพลงให้เป็นซิงเกิลอันดับ 1 ในชาร์ตเพลง UK ช่วงคริสต์มาสปี 2009 (อันเป็นแคมเปญของ จอน มอร์เตอร์ ดีเจชาวอังกฤษที่ต้องการให้เพลงนี้ชนะการโหวตเหนือซิงเกิลคริสต์มาสจากรายการ X-Factor ที่ผูกขาดชาร์ตเพลงมาตลอด) ก่อนจะกลับมาทัวร์ยุโรประยะสั้นแล้วแยกย้ายอีกที

ทีนี้พอ RATM ประกาศรียูเนียนอีกรอบ พร้อมทัวร์คอนเสิร์ตที่อเมริกาช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ปี 2020 รวมถึงเทศกาลดนตรีสุดยิ่งใหญ่ Coachella ก็ทำให้เหล่าสาวกตัวกลั่นตื่นเต้นตั้งตารอที่วงจะกลับมาทัวร์กันยาวๆ รอบโลกอีกสักครั้งให้สาวกรุ่นลูกรุ่นหลัง หรือสาวกวัยทำงานที่มีเงินแต่ขาดวาสนาดูวงตอนพีคๆ ได้กราบไหว้บูชาสักการะ

ตัดมาที่ My Chemical Romance นี่คือวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดวงหนึ่งแห่งยุคสมัยที่ดนตรีแนวอีโมพังก์ร็อกเบ่งบานเป็นประกายช่วงปี 2005 โดดเด่นด้วยสไตล์ดนตรีและแฟชั่นการแต่งตัวที่มีอิทธิพลต่อเด็กวัยรุ่นสายร็อกทั่วโลก อาทิ เสื้อดำ, กางเกงยีนส์ขาเดฟรัดรูป, ทรงผมหวีเป๋, เจาะหู-จมูก, เขียนขอบตา (หรือที่หลายคนเรียกแฟนเพลงที่คลั่งไคล้ดนตรีแนวนี้ว่า เด็กอีโมขอบตาดำ) MCR ยกสถานะตนเองเป็นวงบิ๊กเนมของโลกหลังคลอดอัลบั้ม The Black Parade ในปี 2006 ที่ผสมความเป็นอัลเทอร์เนทีฟ ร็อก พังก์ เข้ากับซาวด์แบบโอเปร่าได้อย่างกลมกลืน

MCR ประกาศยุบวงไปเมื่อปี 2013 หลังอัลบั้มต่อจากนั้น Danger Days: The True Lives of the Fabulous Killjoys ไม่ประสบความสำเร็จ รวมถึงนักร้องนำ เจอร์ราร์ด เวย์ รู้สึกอิ่มตัวกับการทำวงแล้ว ต่างคนเลยแยกย้ายกันไปทำงานใหม่ของตัวเอง แต่กระนั้นการกลับมารวมตัวหนล่าสุด ตัวผู้เขียนไม่ได้ประหลาดใจเหมือนสาวกตัวกลั่นท่านอื่นๆ เพราะวงเองก็ทำตัวผลุบๆ โผล่ๆ สร้างกระแสว่าจะรียูเนียนกันมาหลายรอบแล้วในช่วง 2 ปีหลัง ทั้งเอาอัลบั้ม The Black Parade มาขายใหม่ หรือบทสัมภาษณ์ของสมาชิกวงที่ยั่วล้อความรู้สึกแฟนเพลงบ่อยครั้ง ก่อนจะคัมแบ็กทัวร์คอนเสิร์ตที่อเมริกา, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ในปีหน้า

เพลงร็อกจะกลับมา?

ข่าวคราวการคืนชีพของ RATM และ MCR ต่างสร้างความหรรษาให้เกิดขึ้นในเหล่าสาธุชนชาวร็อกทั่วโลก จนมีเสียงกู่ร้องทำนองว่า “วงการเพลงร็อกจะกลับมาบูมอีกครั้ง” หลังจากที่วงการเพลงโลกในปัจจุบันถูกดนตรีป๊อป, ฮิปฮอป, อาร์แอนด์บี ยึดครองชาร์ตเพลงกระแสหลักทั่วโลกมายาวนานหลายปี — แต่ส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่าการกลับมาของสองวงข้างต้นคงไม่ได้ช่วยให้ดนตรีร็อกกลับมาเป็นดนตรีกระแสหลักเหมือนช่วงยุคมิลเลนเนียมที่ผลัดกันขึ้นชาร์ตอันดับ 1 เป็นว่าเล่น นอกเสียจากว่ามีผลงานใหม่ให้ฟังแล้วกลายเป็นเพลงฮิตขย่มโลกา ยอดขายถล่มทลาย เป็นอัลบั้มที่มีทุกบ้าน (ฮา)

หากยังจำกันได้ ก่อนหน้าที่ RATM กับ MCR คัมแบ็ก มีวงระดับตำนานหลายวงคืนสังเวียนคอนเสิร์ตนับไม่ถ้วน ดังที่สุดก็ต้องเป็น Guns N’ Roses โคตรวงเฮฟวี่ฮาร์ดร็อกจากยุค 80s ที่ 3 สมาชิกคลาสสิคไลน์-อัพ แอ็กเซิล โรส, สแลช และ ดัฟฟ์ แม็กเกแกน รวมตัวกันทัวร์คอนเสิร์ตระดับมหากาฬ Not in This Lifetime… Tour ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2016 จวบจนป่านนี้ก็ยังทัวร์ไม่เลิก เล่นเพลงฮิตจากอัลบั้มเก่ารับทรัพย์แบบกระบุงโกยทั่วโลกไปแล้วกว่า 450 ล้านดอลลาร์ และยังทัวร์ไม่จบด้วย แต่ก็ไม่มีวี่แววปล่อยเพลงใหม่ออกมาให้แฟนๆ ได้ฟังสักท่อน แม้สมาชิกวงจะบอกว่ากำลังหาเวลาทำก็ตาม

ถัดมาที่ KISS ขุนพลปีศาจแห่งโลกเฮฟวี่เมทัล ที่กลับมาเล่นคอนเสิร์ตที่ออสเตรเลียช่วงปลายปี และที่ญี่ปุ่น ก็ไม่มีเพลงใหม่ออกมาเหมือนกัน รวมถึง System of A Down เมทัลสายพันธุ์แขกสุดบ้าคลั่งจอมวิพากษ์สังคม นี่ก็รวมตัวเล่นคอนเสิร์ตบ้างเป็นครั้งเป็นคราว ปีหน้าพวกเขาก็มีทัวร์ด้วยแต่ไม่มีวี่แววปล่อยเพลงใหม่สักที ด้วยเหตุผลว่าความคิดสร้างสรรค์ยังไม่ลงรอยกัน ทั้งที่มีข่าวจะทำเพลงใหม่กันตั้งแต่ปี 2018

สาเหตุหลักๆ ที่วงร็อกส่วนใหญ่เน้นกลับมาเล่นคอนเสิร์ตมากกว่าออกผลงานใหม่มีมากมาย อาทิ ไอเดียทำเพลงที่ตีบตัน ไม่รู้จะเล่าเรื่องอะไรให้คนฟังเพลงยุคปัจจุบันฟัง, ความไม่มั่นใจในการปล่อยผลงานในยุคสมัยที่ดนตรีของพวกเขาไม่ใช่กระแสหลัก เพราะมีแนวโน้มเจ๊งสูง (ถ้าไม่ใช่วงที่มั่นใจในตัวเองสูงมากจริงๆ), กลัวว่าเพลงใหม่จะไม่ฮิตเท่างานเก่าในอดีตเลยเพลย์เซฟเล่นคอนเสิร์ตแต่เพลงเก่าอย่างเดียว หรือแค่อยากกลับมาเล่นคอนเสิร์ตรำลึกความหลัง หาเงินค่านม ค่าเลี้ยงดูภรรยาเฉยๆ เพราะรวมกันเราอยู่ แยกกันแล้วไปไม่ค่อยจะรอดก็มีเพียบ

ซึ่งวงเหล่านี้ผิดแผกจากวงที่พักการทำงานไปนานแต่จู่ๆ ก็กลับมาเพราะต้องการทำเพลงแบบจริงจัง ยกตัวอย่าง Rammstein หรือ Tool ที่เงียบหายไปพักหนึ่งแต่พอกลับมาก็ปล่อยอัลบั้มใหม่ตู้มเดียว แล้วออกทัวร์คอนเสิร์ต แฟนๆ ตอบรับ ซื้อบัตรคอนเสิร์ตจน Sold Out ไปหลายตำบล

แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องผิด หากจะมีวงไหนที่กลับมารวมตัวกันด้วยเหตุผลข้างต้นเพราะนั่นคือสิทธิของพวกเขา หน้าที่ของแฟนเพลงที่ดีคือให้การสนับสนุนวงอย่างเต็มที่ ของที่ระลึกวางขายก็ช่วยกันซื้อ ทัวร์คอนเสิร์ตถ้าอยู่ในระยะทำการสามารถเดินทางไปเชียร์ได้ก็ซื้อตั๋วไปดู หรือถ้าโชคดีหน่อยวงไหนมาทัวร์เมืองไทย แม้สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันค่อนข้างบัดซบแต่ถ้าทำได้ก็อุดหนุนซื้อตั๋วไปดูกัน เผื่อจะเป็นกำลังใจให้พวกเขามีแรงฮึดที่จะออกผลงานใหม่ให้ได้เสพ ร่วมกันทำให้ Rock Music Great Again กันอีกสักที ไม่ใช่ปล่อยให้พวกเขาออกทัวร์กินบุญเก่ากันอย่างเดียว

เพราะที่สุดแล้ว หน้าที่ของศิลปินก็คือ ‘สร้างสรรค์งานศิลปะใหม่ๆ’ ให้สาวกได้รับชมรับฟังกันนั่นแหละ

Tags: , , ,