1
ในวันที่หิมะตกลงมาปกคลุมจนทั่ว เมืองที่เงียบเหงาและทึมเทาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งทำให้รู้สึกยากจะบรรยายเข้ามาปะปน หิมะโปรยปรายอาจเป็นฉากโรแมนติกของภาพยนตร์หลายเรื่อง ไม่ก็ถูกโปรโมตในภาพท่องเที่ยวของบริษัททัวร์ หากในความเป็นจริง ภาพของอาคารและต้นไม้ไร้ใบซึ่งยืนแช่แข็งท่ามกลางความหนาวเย็น บรรยากาศไร้ซึ่งเสียงนกและสรรพสัตว์ มันคือลักษณะของความเดียวดายแบบหนึ่ง ยิ่งวันใดลมพัดแรง เสียงของมันซึ่งกรีดกับมุมตึกหรือกิ่งไม้ ก็ทำให้เมืองทั้งเมืองราวกับตกอยู่ในเสียงคร่ำครวญของบางสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ
สายวันนั้น ผมเดินออกจากห้องและย่ำเท้าฝ่ากระแสลมเพื่อไปยังโบสถ์แห่งหนึ่งในเบอร์ลิน หากผมจำไม่ผิด ที่นั่นคือสถานที่นัดหมายของผมกับคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขามักใช้บริเวณขั้นบันไดหน้าโบสถ์เป็นดั่งสถานที่พักอาศัยในเวลากลางวัน ส่วนกลางคืนพวกเขาจะอาศัยสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่ก็ตามตึกร้างเป็นที่นอน
ระหว่างทาง ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าการมาครั้งนี้จะสูญเปล่า ในสภาพอากาศที่เลวร้ายเช่นนี้พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน การเสี่ยงเดินฝ่าอากาศเยือกแข็งครั้งนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลว เพื่อนของผมหลายคนเคยส่งสัญญาณเตือนมาหลายครั้งว่าไม่ควรไปสัมภาษณ์หรือเก็บข้อมูลกับคนกลุ่มนี้ เนื่องจากสภาพจิตพวกเขาไม่รับรู้หรือเข้าใจถึงการนัดหมายที่คนปกติเขาใช้กัน คำเตือนของเพื่อนนี่แหละเป็นแรงกระตุ้นให้ผมเดินฝ่าลมหนาวออกมา
โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่กลางลานกว้างซึ่งมีน้ำพุสวยงามยามฤดูร้อน ทว่า ยามนี้มันถูกปกคลุมด้วยผืนหิมะ โบสถ์ดูเงียบเหงา ไร้ซึ่งเงาของคนกลุ่มที่นัดหมายไว้ ผมตัดสินใจยืนรอพวกเขา แต่ทำได้ไม่นานก็ต้องออกแรงผลักประตูโบสถ์เข้าไปหาความอบอุ่น ใครก็ตามที่เคยเข้าโบสถ์ในฤดูหนาวจะทราบดีว่า อากาศภายในนั้นจะมีความอบอุ่นเป็นพิเศษ แสงเทียนจากเชิงเทียนมากมายภายในโบสถ์ยิ่งช่วยให้บรรยากาศสงบงาม ประกอบกับความก้องกังวานภายในโบสถ์ด้วยแล้ว คำพูดที่ว่า โบสถ์เป็นเสมือนบ้านของพระเจ้าคงเป็นจริงไม่มากก็น้อย
แต่นั่นล่ะ ผมคงเป็นคนบาป เพราะประตูนั้นปิดแน่นสนิท แรงมีเท่าไรก็ไม่สามารถทำให้มันเขยื้อนได้ ระหว่างการตัดสินใจว่าจะกลับหรือหาจุดรอแห่งใหม่ สายตาผมก็พลันเห็นชายคนหนึ่งเดินผ่านต้นไม้ริมห้องน้ำสาธารณะมาที่บริเวณลาน เขากวักมือพร้อมตะโกนชักชวนให้มายังจุดที่เขายืนอยู่ ผมลังเลอยู่ครู่เดียวจึงตัดสินใจเดินไป เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องยืนทนหนาวอย่างไร้จุดหมาย
2
ไฟกองเล็กๆ ถูกก่อขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่นในบริเวณมุมตึกร้าง ไม่ไกลจากโบสถ์มากนัก ผมนั่งนึกถึงความแปลกใจของตัวเองที่พบกับคนซึ่งนัดหมายกันไว้อย่างไม่คาดคิด ตอนแรก ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่า การเดินตามชายแปลกหน้าคนหนึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกไหม กระทั่งทดลองเดินเลาะเลี้ยวติดตามเขามา เมื่อตัดผ่านสวนสาธารณะเล็กๆ ผมก็ได้พบกับคนซึ่งผมจำหน้าตาได้ พวกเราทักทายกันเพียงครู่เดียวก็พากันเข้าไปผิงไฟในตึกแห่งนั้น
ความหนาวทำให้ผมไม่สามารถที่จะเริ่มต้นทำความรู้จักหรือสัมภาษณ์อะไรได้มากมายนัก เสียงแตกของฟืนดังขึ้นเป็นระยะๆ สลับกับเสียงของลม ผมสังเกตว่า แม้ในตัวตึกจะไม่ปิดทึบมากนัก แต่ด้วยสภาพอากาศที่ค่อนข้างทึม มันจึงทำให้กองไฟเบื้องหน้ามีความสว่างเป็นพิเศษ ภายใต้เฉดแสงที่อบอุ่นนั้น ผมเห็นคนจำนวนหนึ่งนอนขดตัวอยู่ในถุงนอนเก่าคร่ำคร่า บางคนใช้ผ้าห่มสุมตัวไว้หลายๆ ผืนจนแยกไม่ออกว่าระหว่างคนกับกองผ้า และมีหมาตัวหนึ่งนอนขดตัวไม่ห่างจากกองไฟเท่าไรนัก
“เห็นดาวดวงนั้นไหม” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พร้อมชี้ออกไปบริเวณยอดไม้ข้างนอก
“นั่นดวงอาทิตย์” ผมตอบ เนื่องจากตอนนั้นเป็นเวลากลางวันและทิศที่เขาชี้ก็คือดวงกลมๆ ของพระอาทิตย์ซึ่งถูกคลุมด้วยเมฆ
“ไม่ใช่ ดาวที่อยู่ใกล้ๆ กันทางขวา ดวงนั้นไง นั่นไง เห็นอีกดวงนึงแล้วมันอยู่ใต้ลงมา” นั่นคือคำตอบที่ผมได้รับพร้อมกับเสียงที่ยืนยันหนักแน่น ทว่า ผมพยายามเท่าไรก็ไม่เห็นดาวที่เขาระบุ ในทางตรงข้าม เพื่อนของเขาอีกสองคนซึ่งนั่งอยู่ใกล้กันกลับมองเห็นดาวมากกว่าสอง พร้อมอธิบายตำแหน่งที่ตั้งของมันอีกด้วย ผมไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์เบื้องหน้าต่อไปอย่างไร ใจนึงก็คิดจะกลับและคิดค้นหาวิธีการขอตัวออกมาอย่างสุภาพ อีกใจหนึ่งก็เริ่มมีความรู้สึกกลัวและไม่ปลอดภัย ทว่า ความอยากรู้อยากเห็นก็มักเป็นสิ่งที่ถ่วงดุลเอาไว้จนเลือกทางออกไม่ได้สักที
“ได้ยินเสียงนี้ไหม เสียงหิมะตก นี่ไงเสียงนี้ ลองฟังดูสิ” ชายคนเดิมซึ่งเพิ่งชวนให้ดูดาวกลางวัน ตอนนี้เขากำลังเงี่ยหูฟังเสียงของหิมะพร้อมกับชักชวนให้ผมกับเพื่อนของเขาสดับฟังด้วยกัน ผมพยายามจะกลั้นหายใจและรวบรวมสมาธิ แต่จนแล้วจนรอดก็ได้ยินแต่เสียงลมและหมาครวญอยู่ข้างกองไฟ ชายคนหนึ่งเหมือนกับจะรับรู้ถึงเสียงนั้น เขาเคาะนิ้วกับพื้นเป็นจังหวะ ส่วนตาของเขายังคงมองไปที่ดาวดวงใดดวงหนึ่งบนฟ้า
วันนั้น ผมแทบไม่ได้สัมภาษณ์หรือพูดคุยอะไรกับคนกลุ่มนี้มากนัก การกระโจนข้ามกำแพงแห่งเหตุผลเพื่อเข้าสู่โลกของความบ้าคงเป็นเรื่องไร้สาระเกินไป มันอาจยากที่จะจับต้องและตีความมันได้อย่างชัดเจน ผมแอบปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยพวกเขาก็จำผมและการนัดหมายของเราได้ ทว่า นั่นก็เป็นแค่ความรู้สึกครู่เดียว
“คุณเป็นใคร มาที่นี่ทำไม” ชายคนเดิมถาม ผมอธิบายสถานภาพของตนเองและย้อนความถึงวันที่ผมกับเขาเจอกันครั้งแรก เขาพยักหน้า แต่สักพัก เขาก็ถามผมอีกด้วยชุดคำถามเดิม
ผมปล่อยให้เสียงแตกของฟืนในกองไฟทำให้หน้าที่แทนบทสนทนาระหว่างเรา ชายผู้นั่งเคาะพื้นตามเสียงหิมะตก เขาก็ยังคงเคาะอยู่เช่นนั้น เสียงครวญของหมาตัวเดิมดังถี่ขึ้นเล็กน้อย ชายคนหนึ่งฟุบหลับไป มีชายอีกคนหนึ่งเข้ามานั่งแทนที่ สายตาของผมกวาดไปเห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากกองไฟ สภาพของเธอ หากเรียกว่านั่งก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะผ้าห่มหลากหลายผืนปกคลุมร่างท้วมใหญ่ของเธอให้ยิ่งดูคล้ายกับกึ่งนั่งกึ่งนอน ในแสงสลัวนั่นเอง ผมเห็นเธอเรียงก้อนหินก้อนเล็กๆ จำนวนหนึ่ง เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าก้อนหินเล็กๆ เหล่านั้นถูกวางเรียงกันอยู่ในวงกลมที่ถูกขีดขึ้นจากชอล์กสีขาว
ผมแทบไม่ได้สัมภาษณ์หรือพูดคุยอะไรกับคนกลุ่มนี้มากนัก การกระโจนข้ามกำแพงแห่งเหตุผลเพื่อเข้าสู่โลกของความบ้าคงเป็นเรื่องไร้สาระเกินไป
“หินพวกนี้คืออะไรครับ” ผมเริ่มต้นถาม และเท่าที่จำได้ ผมถามคำถามนี้ซ้ำไปมาอยู่สามครั้ง
“วงกลมนี้คือบ้านของเรา หินก้อนใหญ่นี้คือพ่อ ก้อนนี้คือลูกๆ ส่วนก้อนที่อยู่ตรงขอบเส้นนั่นคือแม่” เธอตอบด้วยเสียงเรียบๆ สักพัก เธอก็เรียงลำดับหินพวกนั้นใหม่ โดยให้หินก้อนเล็กสุดคือพ่อ ส่วนหินก้อนใหญ่คือแม่ แต่แม่ยังคงอยู่ที่ขอบวงกลมเช่นเดิม จากนั้นเธอก็อยู่ในโลกส่วนตัวและทำราวกับว่าผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“เธอสูญเสียมากเกินไป” เสียงดังขึ้นจากมุมหนึ่งของตึก มันเป็นสำเนียงภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างคุ้นหูมากกว่าคนอื่นๆ ในอาคารร้างแห่งนี้ ใช่ ผมใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสนทนา สลับกับใช้คำในภาษาเยอรมันแทรกในประโยคเพื่อเพิ่มความเข้าใจในบางครั้ง จะว่าไป ผมพบว่ากลุ่มคนซึ่งถูกเรียกว่าบ้าและใช้ชีวิตริมถนนหรือในตึกร้าง กลับเป็นคนที่สามารถใช้ภาษาค่อนข้างหลากหลาย ผิดกับคนทั่วไปจำนวนไม่น้อยซึ่งเลี่ยงการใช้ภาษาอื่นซึ่งไม่ใช่ภาษาแม่
ผมเดินไปที่ต้นทางของเสียงนั้น และพบว่าเจ้าของเสียงคือชายหนุ่มคนหนึ่ง ข้างตัวของเขาเป็นหมาพันธุ์บูลด็อกสีขาวแกมน้ำตาลและสเก็ตบอร์ดเก่าๆ อันหนึ่ง เราจับมือทักทายกัน ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมากที่สามารถพบคนซึ่งคุยกันรู้เรื่อง ชายคนนี้เล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่า เขาเกิดทางตอนเหนือของอังกฤษ เดินทางมาแสวงโชคและพบกับเรื่องร้ายๆ มากมาย จึงตัดสินใจไม่กลับบ้านและใช้ชีวิตเร่ร่อนในเบอร์ลิน เขาเล่าถึงหญิงวัยกลางคนว่า เธอเคยมีลูก แต่ลูกของเธอเสียชีวิตหมดด้วยการฆาตกรรมจากพ่อแท้ๆ ของพวกเขา จากนั้นเป็นต้นมา เธอจึงออกมาใช้ชีวิตแบบนี้ สองปีก่อน เขาเห็นเธอตั้งครรภ์ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเด็กอยู่ที่ไหน
เขาชี้ไปที่กลุ่มคนรอบกองไฟ พร้อมบอกว่า พวกเขาน่าจะมาจากยุโรปตะวันออก จากสำเนียงที่พูด น่าจะมีบางคนมาจากโปแลนด์และฮังการี ผมได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เพราะไม่เข้าใจว่า ทำไมชายคนนี้ถึงรู้เรื่องคนในกลุ่มนี้ดีนัก ขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกหนาวมากจนควบคุมการสั่นของร่างกายไม่ได้
“ไปผิงไฟเถอะ เดี๋ยวตายเสียก่อน” ชายคนนั้นกล่าว ผมลุกขึ้นแล้วเอ่ยปากชวนไปด้วยกัน เขาปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า นั่งกอดหมาอุ่นกว่า
ผมสาวเท้าเดินเข้าไปรับไออุ่นจากกองไฟและนั่งลงตรงที่เดิม ราวกับพวกเขาตั้งใจเว้นที่ให้ผมนั่ง ความเงียบยังคงปกคลุมวงสนทนาของเราเช่นเดิม ชายคนที่นั่งเคาะนิ้วหยุดเคาะไปตั้งแต่ตอนไหนไม่อาจรู้ได้ แต่สายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องไปที่ยอดของกิ่งไม้นั้นเช่นเดิม ไม่นานนัก ชายคนซึ่งผมนัดหมายเอาไว้ก็ทำตาปรือคล้ายกับง่วงนอน ผมคิดว่านี่คือโอกาสที่ดีในการบอกลาทุกคน สิ่งที่เยี่ยมกว่านั้นคือ ผมจะได้กลับไปที่บ้านเพื่ออาบน้ำอุ่นๆ ชำระล้างร่างกาย ผมคิดถึงดื่มชาดาร์จีลิงร้อนๆ กับขนมปังและซุปที่เตรียมเอาไว้ก่อนออกมา ตอนนั้น ผมไม่มีความคิดเกี่ยวกับการข้ามกำแพงแห่งเหตุผลและการกระโจนเข้าสู่โลกของความบ้าอะไรอีกแล้ว ผมได้โยนข้อถกเถียงเกี่ยวกับความบ้าและความศิวิไลซ์ของฟูโกต์ และแนวความคิดว่าด้วยจิตใต้สำนึกของเหล่าฟรอยด์เดี้ยนทิ้งลงกองไฟเบื้องหน้าไปจนหมดสิ้น
ผมพบว่ากลุ่มคนซึ่งถูกเรียกว่าบ้าและใช้ชีวิตริมถนนหรือในตึกร้าง กลับเป็นคนที่สามารถใช้ภาษาค่อนข้างหลากหลาย ผิดกับคนทั่วไปจำนวนไม่น้อยซึ่งเลี่ยงการใช้ภาษาอื่นซึ่งไม่ใช่ภาษาแม่
ขณะที่กำลังสาวเท้าย่ำหิมะออกจากตัวตึก ผมพบตัวถ้อยคำจำนวนไม่น้อยซึ่งเกิดจากการพ่นของสเปรย์ อาทิ SIN (บาป), FREEDOM (อิสรภาพ), MIGRANTS (ผู้อพยพ), HOME (บ้าน), และ ESCAPE (หนี) คำชวนคิดพวกนี้ก็ช่างคล้ายเป็นเครื่องกระตุ้นให้ย้อนกลับไปเอาแนวคิดต่างๆ ที่เพิ่งถูกเผาไปกลับคืน
ภายนอกตึกถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาหลายนิ้ว ผมเดินออกมาจนถึงลานกว้างอันเป็นที่ตั้งของโบสถ์หลังนั้น บานประตูยังคงปิดอยู่เช่นเดิม ที่ต่างไปคือ มีหมาพันธุ์บูลด็อกนั่งอยู่ข้างๆ สเก็ตบอร์ดและสัมภาระจำนวนหนึ่งซึ่งวางไว้ตรงบริเวณบันได ขณะที่เจ้านายของมันยืนนิ่งอยู่บริเวณหน้าประตูโบสถ์ ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ หมาตัวนั้นและพยายามจะลูบหัวของมัน ทว่าต้องชะงักมือเอาไว้เพราะเสียงขู่อย่างไม่เป็นมิตร
“อย่าเข้าไปใกล้ มันเป็นหมาดุ” ชายคนนั้นเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งบอกว่าเขาอยากเข้าไปขอความอบอุ่นจากพระเจ้า แต่ประตูไม่ยอมเปิด จากนั้น เขาก็แหงนขึ้นไปมองบนท้องฟ้า พร้อมกับชี้ขึ้นไปยังความว่างเปล่าเบื้องบนในสายตาของผม
“นั่นคือดาวประจำตัวของผม ผมคิดมันขึ้นมาเอง เพราะมันเป็นดาวที่ชี้ไปยังบ้านเกิด” เขากล่าว
3
ภายในห้องเช่าเล็กๆ กลางเมือง ความอุ่นจากเครื่องทำความร้อนแผ่กระจายไปทั่วห้อง จานซุปมะเขือเทศยังคงวางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับเศษขนมปังที่หล่นประปราย ผมดื่มชานมดาร์จีลิงหมดไปเป็นแก้วที่สอง หลังจากที่เดินทางกลับมาจากตึกร้างและโบสถ์แห่งนั้น ผมก็รีบมาอาบน้ำ อุ่นอาหาร และต้มชา ผมจัดการซุปและขนมปังอย่างรวดเร็ว ส่วนชานั้นค่อยๆ ละเลียด ประคองแก้วใบโปรดด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง เมื่ออิ่มท้องก็แผ่ตัวบนเก้าอี้และเอาขาพาดขึ้นไปบนโต๊ะอย่างสบายอารมณ์
หากนี่คือโลกเบื้องหน้ากำแพงแห่งเหตุผลและความศิวิไลซ์ มันก็คือโลกที่ผมมีชีวิตอยู่จริงๆ และผมไม่อาจปฏิเสธมันได้
ในเชิงปรัชญาว่าด้วยการมีชีวิตอยู่ของเยอรมัน เป็นสิ่งที่ซับซ้อนพอๆ กับความตรงไปตรงมา การมีชีวิต (Leben) จะมีความหมายก็ต่อเมื่อนำมันไปผูกกับการใช้ชีวิต (Wohnen) โดยเฉพาะในพื้นที่เชิงกายภาพ ดังนั้น เราจึงไม่แปลกใจที่สังคมเยอรมันจะให้ความสำคัญกับพื้นที่เป็นพิเศษ เนื่องจากพื้นที่บ่งบอกถึงการใช้ชีวิตและมีชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย การนำสังคมไปสู่ความเป็นอารยะหรือศิวิไลซ์ จึงมักถูกคิดผ่านการเปลี่ยนแปลงในเชิงพื้นที่เป็นอันดับต้นๆ ความยุ่งยากและซับซ้อนจึงมักเกิดขึ้นเนื่องจากการคิดค้นหาวิธีให้การมีชีวิตนั้นมีความหมายอย่างไร ผ่านการออกแบบและจัดการพื้นที่
เมืองใหญ่จึงเปรียบเสมือนระบบนิเวศขนาดใหญ่ซึ่งถูกออกแบบให้คนสามารถจับต้องและมีชีวิตอยู่ได้อย่างเคลื่อนที่และลื่นไหลไปตามจุดต่างๆ ของเมือง การรับรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่จึงเป็นเสมือนสิ่งที่เรียกว่า นิเวศแห่งผัสสะ (Sensory ecology) หรือ อาณาบริเวณซึ่งอาศัยการรับรู้ความจริงของสภาพแวดล้อมรอบตัว ผ่านกลไกการรับรู้ของร่างกายในเชิงชีวภาพเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น การสัมผัส การรับฟังเสียง การมองเห็น และการลิ้มชิมรส
ในเมืองใหญ่อย่างเบอร์ลิน หรืออาจหมายรวมถึงที่อื่นๆ ความจริงของเมืองอาจถูกรับรู้ได้ผ่านการไหลเวียนของการมองเห็น (Visual scape) และการไหลเวียนของเสียง (Sound scape) เรามักใช้สายตาของเรารับรู้ระบบสัญญาณไฟ ป้ายโฆษณา และจำแนกพื้นที่ระหว่างช่องทางเดินรถยนต์กับช่องทางจักรยานบนท้องถนน สายตาของเราจึงมิได้ใช้เพื่อการมองเห็นเท่านั้น หากยังเป็นการรับรู้ถึงระบบของอำนาจและกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งไหลเวียนเข้าสู่ดวงตาของเรา ขณะเดียวกัน เสียงซึ่งเกิดขึ้นและสะท้อนก้องในแต่ละจุดของเมืองก็บ่งบอกได้ถึงสภาพภูมิทัศน์ที่แตกต่างออกไป นับตั้งแต่สวนสาธารณะ ร้านขายของปากซอย จนไปถึงเสียงไซเรนตำรวจและรถประเภทต่างๆ ซึ่งสะท้อนผ่านตัวอาคารหลากชนิด การไหลเวียนของเสียงเหล่านี้ในเมืองคือสิ่งที่ช่วยก่อรูปสภาวะการรับรู้ภูมิทัศน์ของเมืองได้เป็นอย่างดี
ทั้งหมดนี้ ผมต้องการจะบอกว่า หากเมืองใหญ่คือสิ่งซึ่งสร้างจากการเติบโตของเหตุผลและความศิวิไลซ์ซึ่งมาพร้อมกับระเบียบแบบแผนชุดต่างๆ แล้ว เราล้วนแต่รับรู้สิ่งเหล่านี้ผ่านการใช้ผัสสะประเภทต่างๆ แทบทั้งสิ้น ในด้านหนึ่งผัสสะจึงมิใช่เป็นเพียงแค่อารมณ์หรือความรู้สึกอันอ่อนไหว หากแต่เป็นช่องทางและพื้นที่ของการทำงานให้ระบบของอำนาจได้ไหลเวียนสู่ตัวของพวกเรา
สิ่งเหล่านี้แตกต่างไปจากโลกของความบ้าที่ผมเพิ่งไปสัมผัสมา
แม้จะไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย พวกเขาก็ทำให้ผมเข้าใจว่าการรับรู้ความจริงของโลกใบนี้ผ่านผัสสะ โดยเฉพาะการมองเห็นและการได้ยินของเรา อาจมิได้ถูกจำกัดหรือควบคุมด้วยลักษณะทางกายภาพและชีววิทยาเพียงอย่างเดียว ระบอบของเหตุผลต่างหากที่ทำให้เราไม่สามารถเห็นหรือได้ยินอย่างพวกเขา การที่ผมไม่ได้เห็นดวงดาวแบบเดียวกับพวกเขาหรือไม่อาจรับฟังเสียงหิมะตกได้ มันอาจไม่ได้หมายความว่าดาวเหล่านั้นหรือเสียงหิมะนั้นจะไม่มีอยู่จริง การลูบคลำและมอบชีวิตให้วัตถุบางประเภทอย่างก้อนหินก็เช่นกัน หญิงวัยกลางคนนั้นอาจเห็นลูกๆ ของเธอและคิดว่าได้สัมผัสลูกของเธออยู่ก็เป็นได้
นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมยังคงครุ่นคิดถึงการทำงานของนักจิตวิเคราะห์แนวฟรอยด์เดียน เนื่องจากพวกเขาให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจในภาพลวงตา หรือ Hallucination ซึ่งผู้ป่วยจำนวนมากได้เห็นและมีชีวิตอยู่กับมัน นักจิตวิเคราะห์เห็นว่าภาพลวงตาหรือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงนี้จะเป็นประตูซึ่งเปิดไปสู่ความจริงที่ทำงานอยู่ในจิตใต้สำนึก Hallucination จึงมีความหมายอีกแบบหนึ่งคือ การเปิดผัสสะหรือการข้ามผัสสะของโลกแห่งเหตุผลไปสู่โลกซึ่งเหตุผลไม่อาจทำความเข้าใจได้
การรับรู้ความจริงของโลกใบนี้ผ่านผัสสะ อาจมิได้ถูกจำกัดหรือควบคุมด้วยลักษณะทางกายภาพและชีววิทยาเพียงอย่างเดียว ระบอบของเหตุผลต่างหากที่ทำให้เราไม่สามารถเห็นหรือได้ยินอย่างพวกเขา
โลกในฐานะพื้นที่เชิงกายภาพอันกว้างใหญ่และเป็นพื้นที่ซึ่งมนุษย์ออกแบบและจัดสรรเพื่อค้นหาความหมายในการมีชีวิตอยู่ให้กับตนเอง โลกหรือ Welt ในภาษาเยอรมัน อาจแปรเปลี่ยนไปสู่ลักษณะนามธรรมอย่างสภาพแวดล้อมได้ในคำเรียก Umwelt ความน่าสนใจคือ ทำไมในสภาพแวดล้อมประเภทเดียวกัน ผมกับพวกเขาเหล่านั้นจึงรับรู้ถึงความเป็นจริงที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผัสสะในฐานะที่เป็นตัวกรอง (Sensory filters) ความจริงของโลกใบนี้ทำให้เรารับรู้โลกที่ต่างกันออกไป โลกในสถานะสภาพแวดล้อมอันหลากหลาย หรือ Umwelten คือผลลัพธ์ของความเป็นจริงชุดต่างๆ ที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่อย่างแตกต่างกัน
โลกของความบ้าซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังกำแพงแห่งเหตุผลก็เช่นเดียวกัน แท้จริงแล้ว ทั้งพวกเราและพวกเขาล้วนอาศัยอยู่ในพื้นที่กายภาพเดียวกันนั่นคือโลกใบนี้ ทว่าพวกเรามีวิธีการสร้างความหมายที่จะมีชีวิตอยู่แตกต่างกันออกไป
นักมานุษยวิทยาปรัชญา (Philosophical Anthropologist) ชาวเยอรมันคนหนึ่งนาม โยเซฟ ไพเพอร์ (Josef Pieper) ได้ตั้งข้อสังเกตและพยายามจะแยก โลก (Welt) และ โลกในสถานะสภาพแวดล้อมอันหลากหลาย (Umwelt) ออกจากกัน โดยนำเอาเหตุผลและวิธีการใช้เหตุผลของมนุษย์เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างมีความหมาย ขณะที่เหล่าพันธุ์พืชและสัตว์นั้นไม่สามารถใช้เหตุผลได้ จึงต้องอยู่ในโลกในสถานะสภาพแวดล้อมอันหลากหลาย การนำเอาเหตุผลและการใช้เหตุผลมาแยกคนกับระบบนิเวศอื่นๆ ออกจากกันนี่เอง เป็นส่วนสำคัญที่ให้เกิดการพัฒนาเข้าสู่ความทันสมัยและการทำให้เป็นอารยะ ในฐานะที่มนุษย์เป็นทั้งศูนย์กลางและสิ่งที่แยกตัวออกมาจากสิ่งแวดล้อม
Hallucination จึงมีความหมายอีกแบบหนึ่งคือ การเปิดผัสสะหรือการข้ามผัสสะของโลกแห่งเหตุผลไปสู่โลกซึ่งเหตุผลไม่อาจทำความเข้าใจได้
ในแง่นี้ คนบ้าและโลกของความบ้าจึงถูกผลักออกไปให้อยู่นอกเหนือจากเหตุผลและความเป็นมนุษย์ ทว่า หากเรามองในทางที่กลับกัน โลกของความบ้าเองต่างหากที่สามารถอธิบายถึงโลกและการมีชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างมีความหมายและหลากหลายกว่า ผมคิดเช่นนี้ มิใช่ว่าผมเข้าใจพวกเขา แต่คำนึงถึงความเป็นไปได้ที่มากกว่าหนึ่งและการพยายามดิ้นไปให้สุดขอบของความเป็นจริง
แน่นอน ทั้งหมดซึ่งผมตีความอาจจะวางบนพื้นฐานของการให้เหตุผลในโลกที่ผมคุ้นเคย ทว่า ช่วงเวลาที่คนจำนวนหนึ่งมองดาวยามกลางวัน บางคนนั่งมองเฉยๆ บางคนบอกว่านั่นคือดาวซึ่งชี้ไปยังบ้านเกิด ผมคิดถึงชายคนหนึ่งที่นั่งเคาะนิ้วตามเสียงตกของหิมะ ทั้งยังหวนนึกถึงหญิงวัยกลางคนที่ผูกพันกับก้อนหินในวงกลมที่เขียนขึ้นด้วยชอล์กสีขาว ในความเงียบและการไม่เห็นอะไรเลยของผม โลกของพวกเขากำลังเคลื่อนไหวอยู่
ผมนึกถึงประตูที่ถูกปิดสนิทแน่นของโบสถ์บนลานกว้างแห่งนั้น มันอาจเปิดให้คนกลุ่มหนึ่งเข้าไปทำพิธีกรรมเฉพาะในช่วงครึ่งวันเช้าของวันอาทิตย์ พร้อมกับเสียงระฆังที่ดังเป็นสัญญาณเตือน หากช่วงเวลาที่เหลือนั้น มันจะถูกปิดอย่างแน่นสนิทและทำหน้าที่กั้นระหว่างโถงพิธีในตัวโบสถ์กับโลกภายนอก ประตูจึงทำหน้าที่คล้ายดั่งกำแพงซึ่งกางกั้นระหว่างโลกทางศาสนากับโลกสาธารณ์ ทว่าอีกด้านหนึ่ง ประตูก็คือกำแพงซึ่งถูกออกแบบและอนุญาตให้มีการเข้าออกตามกฎระเบียบและแบบแผนที่วางเอาไว้ ผมเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างว่า ทำไมในยามปกติ กลุ่มคนที่ผมเข้าไปคุยด้วยจึงได้แต่นั่งในบริเวณขั้นบันไดเท่านั้น
ผมนึกถึงคำพูดของหนุ่มอังกฤษที่ยืนอยู่หน้าโบสถ์พร้อมด้วยหมาและสัมภาระ ทำไมเขาจึงพูดว่าอยากเข้าไปขอความอบอุ่นจากพระเจ้า ในขณะที่คนปกติมากมายมักพูดว่าไปโบสถ์
อ่านบทความตอนก่อนหน้า:
รูปแบบของกำแพง : กำแพงระหว่างความศิวิไลซ์และความบ้า (1)