“หัวใจของฉันยังต้องการเสรีภาพ ไม่ต้องการสยบยอมเป็นฝุ่นใต้เบื้องบาทใคร ปรารถนาเป็นฝุ่นเสรีลอยลมไปในทิศทางหัวใจของตนเอง ฉันจึงไม่แพ้ในเรื่องนี้
“ต่อให้เอาอามิสใดมาเป็นเหยื่อล่อ ไม่มีทางได้ผล ฉันมิได้เป็นนักประพันธ์ไส้แห้งธรรมดา แต่ฉันเป็นนักประพันธ์ไส้แห้งที่เป็นบ้าด้วย – บ้าเสรีภาพ บ้าเสมอภาค เป็นความบ้าอันน่ารัก น่าหยิก น่าหยอด น่ากอด
“เมื่อทหารพระราชาทำรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ฉันไม่ยอมรับ ไม่ทำตามคำสั่งของคณะรัฐประหาร ฉันเลือกเดินทางออกนอกประเทศไทย เพราะฉันต้องการเป็นมนุษย์ที่มีเสรีภาพต่อไป ไม่ศิโรราบต่ออำนาจเถื่อน
“ส่วนเรื่องหมายจับต่างๆ นานา ที่จะทำให้ฉันต้องเข้าคุกนั้น ยังเป็นเพียงเรื่องรอง แน่นอน ฉันไม่ต้องการติดคุก เพราะฉันไม่ได้ทำความผิด สำหรับฉัน การยอมติดคุกทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำความผิด เป็นเรื่องไม่มีเหตุผล”
ผมซื้อ ‘ต้องเนรเทศ’ มาเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็เป็นหนึ่งใน ‘กองดอง’ เพราะหนังสือหนา 832 หน้า ถ้าจะเริ่มอ่านก็ต้องตั้งปณิธานกับตัวเองว่าจะเอาให้จบให้ได้
ก่อนจะมีจุดมุ่งหมายอีกรอบคือช่วงชีวิตที่เบื่อหน่ายกับการเมืองไทย ประจวบกับเข้าใกล้ ‘เดือนตุลาฯ’ ที่พวกเราอุทิศไว้ให้กับการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนประเทศนี้ให้ดีขึ้น
และในยุค AI ที่เราเริ่มหาสุนทรียะในเชิงวรรณกรรมมากขึ้น ผมก็หยิบหนังสือ ‘พี่วัฒน์’ ที่ไม่เคยเจอกัน ไม่ทันได้เจอตัว ขึ้นมาอ่าน ก่อนจะพบว่านี่มันสุดยอดหนังสือที่น่าจะได้อ่านตั้งนานแล้ว
ต้องเนรเทศเล่าชีวิตของ วัฒน์ วรรลยางกูร โดยใช้การลี้ภัยหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ด้วยคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ เป็นตัวเริ่มเรื่อง
สำหรับใครที่เริ่มลืมเลือนว่าการรัฐประหารปี 2557 ทำร้ายชีวิตคนไปมากแค่ไหน ก็ลองอ่านเล่มนี้ดูก็ได้ หลายคนยังกลับประเทศไม่ได้จนถึงวันนี้ ด้วยเลขสามตัวคือ 112 ขณะที่อีกหลายคนถูกฆ่า เอาปูนยัดถ่วงไว้ให้จมตายแม่น้ำโขง เพราะผู้มีอำนาจเห็นว่าเป็นอริราชศัตรู ซึ่งแน่นอน ต้องเนรเทศน่าจะเป็นหนังสือที่บันทึกหลายชีวิต ที่เกี่ยวพันกับการหนีภัยจากรัฐไทยหลังการรัฐประหารเมื่อทศวรรษที่แล้วได้ดีที่สุด
เมื่อวัฒน์ลี้ภัยออกไปได้สำเร็จ เขาก็ Reflect ตัวเอง พาย้อนกลับไปยังชีวิตวัยเด็กที่ลพบุรี ก่อนย้ายมายังปทุมธานี เริ่มต้นสร้างครอบครับ สร้างชีวิตใหม่ที่บ้านท่าเสา กาญจนบุรี บ้านของภรรยา ตัดสลับระหว่างการลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้านหลังรัฐประหารอีกครั้ง และพาย้อนกลับไปในป่าในฐานะ ‘สหายร้อย’ ช่วงต่อสู้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก่อนไปยังบทท้ายๆ ที่ชวนให้ ‘จุก’ ว่าด้วยการอุ้มฆ่าผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ประเทศเพื่อนบ้าน ช่วงปี 2560-2561 จนวัฒน์ต้องเดินเรื่องลี้ภัยอีกรอบไปยังประเทศฝรั่งเศส
หากเรื่องนี้เป็นบทภาพยนตร์ ชีวิตของวัฒน์ก็คงเหมือนบทหนังชั้นดี มีช่วงเวลาวันชื่นคืนสุข มีมิตรสหายรายล้อมอยู่รายทาง ทว่าทุกช่วงชีวิตมีจุดพลิกผัน ให้เขา ‘ต้องเนรเทศ’ ช่วงชีวิตของวัฒน์แทบทุกห้วงเวลาเป็นศัตรูกับรัฐไทย แต่เป็นศัตรูที่ไม่ได้ติดอาวุธ เป็นเพียงกวี เป็นเพียงคนเขียนหนังสือ
หนังสือเล่มนี้ยังมีฉากที่หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องราวการปลดแอกในป่าแถบภูพาน สกลนคร การบุกเบิกท้องทุ่งที่กาญจนบุรี การต่อสู้ร่วมกับ ‘คนเสื้อแดง’ จนสะสมหมายจับหลายใบ และการลี้ภัยตั้งแต่คอนโดฯ สูงในกัมพูชา ทุ่งนากว้างในลาว บ้านสลัมออนเดอะวอเตอร์ใกล้เวียงจันทน์ ก่อนจบที่ฝรั่งเศส
“ช่วงเวลาไร้ทางออก ทางหนี ทางไป นั้น ผมเพิ่งปักหลักที่บ้านริมบึงได้ไม่ทันถึงเดือน สร้างบ้านเสร็จเดือนพฤศจิกายน พอกลางเดือนธันวาคมก็เกิดเหตุอุ้มหายแล้วกลายเป็นศพลอยน้ำ ปรากฏศพในปลายเดือนธันวาคม ต้นปี 2562 เวลาที่ชีวิตคนเป็นเหมือนปลาในกระชัง
“การหลบราชภัยมาอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ใกล้กันเสียจนยากจะเล็ดลอดหลบสายตาผู้ล่า อยู่ตรงไหนก็ไม่เป็นความลับ และไม่มีระบบลี้ภัยสากลมารองรับ เหมือนปลาที่รู้ว่าตนมีภัย จะว่าย จะหลบลี้ไปทางไหน ก็ยังอยู่ในกระชังอันจำกัด”
แม้เรื่องจะหดหู่ แน่ละ การเป็นผู้ลี้ภัยที่ต้องคอยเก็บกระเป๋าเดินทางรอนแรมไปเรื่อยๆ หาที่อยู่ใหม่ไปตลอด ไปพร้อมกับการหลบภัยจากรัฐไทย แต่วัฒน์ก็เลือกเล่าด้านสุนทรียะของชีวิตสอดแทรกมาตลอด
ในชีวิตการลี้ภัยที่ลาว เขาอุทิศหลายหน้ากระดาษอธิบายถึงการเลี้ยงปลา การหาวัตถุดิบมาทำอาหาร การหมักไวน์ หมักเหล้า ชีวิตของผู้ลี้ภัยคนอื่นที่ติดพันแม่หม้ายลาว ในชีวิตการลี้ภัยที่เขมร เขาเล่าชีวิตคนเสื้อแดง อดีตตำรวจที่ระหกระเหิน พยายามทำธุรกิจเพื่อช่วยลูกน้อง เพราะรับไม่ได้ที่คนเสื้อแดงพ่ายแพ้กับการรัฐประหาร แต่เมื่อย้ายมาก็โดนหลอกแล้วหลอกอีกจนหมดตัว
ชีวิตคนจริงๆ มันก็แบบนี้ ต้องหาด้านดี ท่ามกลางห้วงเวลาที่มืดแปดด้าน
และสำหรับคนที่ชอบการเมืองแบบผม พอรู้จักตัวละครการเมือง พี่วัฒน์พาไปรู้จักทั้งวงไฟเย็น, ต้า-วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในน้องที่เขาคุ้นเคย, สหายภูชนะ, ดีเจซุนโฮ, ลุงสนามหลวง, อาจารย์สุรชัย แซ่ด่าน อดีตรัฐมนตรีนักกลอนที่มีบ้านใหญ่ในกัมพูชา ไปจนถึงจรัล ดิษฐาอภิชัย มิตรสูงวัยที่คอยช่วยเหลือเขาในฝรั่งเศส
ขณะเดียวกัน วัฒน์เป็นอัจฉริยะที่มีความรู้หลากหลาย เขาสามารถเล่า ‘กลิ่น’ ของภูมิประเทศและภูมิอากาศได้ และในขณะเดียวกันก็สามารถอธิบายพืชพรรณ พันธุ์ไม้ ดอกไม้ พันธุ์ปลา ไปพร้อมๆ กับเล่าถึงปรัชญาการเมือง การต่อสู้ เปรียบเทียบกับมังกรหยก เปรียบเทียบกับ Les Misérables ของวิกตอร์ อูโก (Victor Hugo) เปรียบเทียบกับเพลงลูกกรุงของทูล ทองใจ เพลงลูกทุ่งของไพบูลย์ บุตรขัน และถอดบทเรียนของตัวเอง สอดแทรกเรื่องสั้นและบทกวีไปพร้อมๆ กัน นั่นจึงทำให้หนังสือเล่มนี้ครบอรรถรส
“แผ่นดินกวีต้อนรับยามคับเข็ญ
น้ำแซนเย็นเฉกเพรงกวียังรี่ไหล
หอไอเฟลค้ำฟ้าค้ำชู้ใจ
รับคนไกล…ลำเนาถิ่นแผ่นดินกวี”
ทว่าเรื่องนี้กลับจบลงแบบอึนๆ เพราะเมื่อทุกอย่างเกือบจะดี เขาได้ที่พักพิงในฝรั่งเศส ปรับตัวได้ เริ่มเรียนรู้ฝรั่งเศส ทุกอย่างเกือบจะสมบูรณ์ วัฒน์ก็ล้มป่วยด้วยอาการเนื้องอกในตับ และเสียชีวิตช่วงต้นปี 2565 หนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้มีคำนำ วัฒน์ไม่ทันได้เขียนหนังสือเล่มนี้จนจบด้วยซ้ำ
…
ผมคิดถึงหนังเรื่อง Remember Me เมื่อหลายปีก่อน โรเบิร์ต แพตตินสัน (Robert Pattinson) เล่นเป็นพระเอก หวังทำทุกทางเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น เป็นที่ยอมรับของครอบครัว ของพ่อตัวเอง ของพ่อนางเอก ในเวลาที่ทุกอย่างสมบูรณ์ พระเอกก็ดันยืนอยู่บนชั้นสูงของตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่นิวยอร์กในวันที่ 11 กันยายน 2544 แล้วเครื่องบินก็บินชนตึก
แต่นั่นมันหนัง (ที่มาจากหนังสือ) ชีวิตของวัฒน์ก็คือชีวิตของวัฒน์จริงๆ ฉะนั้นคุณค่าของชีวิตก็คือการทำให้ทุกวันเป็นวันที่มีความหมาย ได้ส่งต่อการต่อสู้ ถ่ายทอดอุดมการณ์ให้กับคนรุ่นหลัง
บทความของ น้องมิ้งค์-ณัชชา วิเชียร ใน The Momemtnum เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง เพิ่งบอกว่า เน วง PERSES ซึ่งผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ให้หนังสือเล่มนี้ของพี่วัฒน์อยู่ในลิสต์หนังสือ ที่เขาแนะนำในงานมหกรรมหนังสือรอบนี้ และในเวลาเดียวกันก็แนะนำ เหตุการณ์ไม่สยบ: ชะตากรรมของสามัญชนในรัฐสามานย์ หนังสือเล่มใหม่ของ เตย-วจนา วรรลยางกูร ลูกสาววัฒน์ไปพร้อมๆ กัน ทำให้ผมแปลกใจที่ดันมีคนอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน ในเวลาใกล้เคียงกัน
ในดีมีร้าย สถานการณ์ ‘ต้องเนรเทศ’ ปลุกให้หลายคนลุกขึ้นสู้ ให้เห็นว่าปัญหาของประเทศนี้อยู่ตรงไหน และก็ทำให้วัฒน์ได้สร้างงานชิ้นเอกชิ้นนี้ขึ้นมา
สำหรับพี่วัฒน์
ใช่ครับ การต่อสู้ของพี่ที่ผ่านมา มันไม่ได้สูญเปล่าหรอก เรายังเดินบนเส้นทางต่อสู้เส้นทางเดิมอยู่ และคนรุ่นนี้ คนรุ่นหลังเราก็รับรู้การต่อสู้ของคนรุ่นพี่
แม้วันนี้จะยังไม่ชนะ มันคงยังไม่ใกล้หรอกพี่
แต่ผมก็เชื่อว่าเรามาได้ไกลมากๆ แล้ว
Fact Box
ต้องเนรเทศ, วัฒน์ วรรลยางกูร เขียน, ไอดา อรุณวงศ์ บรรณาธิการ, จำนวน 832 หน้า, สำนักพิมพ์อ่าน, ราคาปกแข็งฉบับกระดาษปอนด์ถนอมสายตา 1,120 บาท, ปกแข็งฉบับกระดาษปรูฟ 619 บาท