แม้จะผ่านไปนานกว่า 88 ปี กรณีสวรรคตของในหลวงอานันทมหิดล ในหลวงรัชกาลที่ 8 ยังคงอยู่ในเงามืด เพราะแม้จะมีการตัดสินคดี มีการประหารชีวิตนักโทษ 3 คน คือ ชิต สิงหเสนี, บุศย์ ปัทมศริน และ เฉลียว ปทุมรส ในปี 2498 ด้วย ‘โครงเรื่อง’ ว่า ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้อยู่เบื้องหลังสั่งการให้ทั้งสามกระทำการอุกฉกรรจ์ถึงขั้นลอบสังหารพระเจ้าแผ่นดิน ทว่าข้อเท็จจริงในแง่นี้ก็ยากที่จะทำให้สาธารณชนคล้อยตาม 

และในเวลาต่อมา ก่อน ‘ปรีดี’ จะเสียชีวิตไม่นานนัก เขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญขององค์กรยูเนสโก รัฐไทยยังคงยอมรับปรีดีในฐานะ ‘รัฐบุรุษ’ ซึ่งแน่นอนว่าหากปรีดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สวรรคตทั้งหมด เขาย่อมไม่ได้รับเกียรติเช่นนั้น

คำถามก็คือหากปรีดีเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’ แล้วสำหรับ 3 นักโทษที่เสียชีวิตในวันนั้น มีใครยอมรับหรือไม่ว่าพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ และสุดท้ายเป็นเพียง ‘แพะ’ ที่เจ้าหน้าที่รัฐ และกระบวนการยุติธรรมในสมัยนั้นสร้างขึ้นเพื่อเอาผิดปรีดีเท่านั้น

(2)

หนังสือ ชิต สิงหเสนี ผู้บริสุทธิ์ เป็นพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มเล็กๆ ที่รวมเอาประวัติของ ชิต สิงหเสนี และเล่ากรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 จากคนรอบตัวชิต รวมเอาบทความ-บทสัมภาษณ์คนรอบตัว ที่รวมเล่มอยู่ในหนังสืออนุสรณ์งานศพของ ชิต สิงหเสนี เมื่อปี 2521 และงานศพของ ชูเชื้อ สิงหเสนี ภรรยาของชิต เมื่อปี 2549 ตามความประสงค์ของ ปรีชา สุวรรณทัต อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เป็นญาติของชิต และมี กษิดิศ อนันทนาธร เป็นบรรณาธิการ

“ญาติทุกคนเชื่อมั่นในความจงรักภักดีของคุณชิต สิงหเสนี ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ตั้งแต่คุณชิตถูกจับเป็นผู้ต้องหา ระหว่างตกเป็นจำเลยระหว่างการพิจารณาของศาล แม้ในที่สุดจะถูประหารชีวิตตามคำพิพากษาศาลฎีกา

“ภายหลังผมได้มีโอกาสพบคุณป้าชูเชื้อ สิงหเสนี เสมอในวันปีใหม่ที่ไปอวยพรท่านผู้หญิง พูนศุข พนมยงค์ ท่านคงทราบว่าผมเรียนจบกฎหมาย ท่านพูดว่า ‘… หลานช่วยหาข้อกฎหมายที่จะพิสูจน์ว่า คุณลุงชิต สิงหเสนี เป็นผู้บริสุทธิ์ ให้ป้าด้วยนะ…’ จำได้ ผมรับปากว่า.. ‘ครับ’…” คือข้อเขียนของปรีชาในหนังสือเล่มนี้

แล้วหลังจากนั้น ‘ผู้บริสุทธิ์’ ก็พาเราลงไปยังรอยแผลของตระกูลสิงหเสนี ที่จนถึงวันนี้ สถานะทางกฎหมายของเขายังคงเป็นหนึ่งในผู้ปลงพระชนม์ในหลวง…

 

(3) 

ตระกูลสิงหเสนีนั้นรับใช้ราชวงศ์จักรีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เป็นตระกูลที่สืบมาจากเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สำหรับชิตเองเริ่มถวายตัวตั้งแต่ในรัชกาลที่ 6 โดยเป็นนักเรียนในโรงเรียนมหาดเล็กหลวง เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต ชิต สิงหเสนี ก็รับใช้ในหลวงรัชกาลที่ 7 ตั้งแต่ขึ้นเสวยราชย์กระทั่งทรงสละราชสมบัติในปี 2477

กล่าวสำหรับในหลวงรัชกาลที่ 8 ชิต สิงหเสนี รับใช้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ โดยทรงชอบขี่นายชิตเล่นต่างม้า และยังได้รับใช้ใกล้ชิดใต้เบื้องพระยุคลบาทจนเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ ขณะเดียวกันในหลวงยังทรงพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ด้วยมือพระองค์เอง แม้อัตราเงินเดือนจะยังไม่อยู่ในขั้นที่ได้รับพระราชทานก็ตาม

เหล่านี้สะท้อนความสัมพันธ์พิเศษระหว่างในหลวงรัชกาลที่ 8 และ ชิต เป็นอย่างมาก… คำถามก็คือแล้วเพราะเหตุใด ชิตถึงกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีร้ายแรงเพียงนี้

เช้าวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ที่พระที่นั่งบรมพิมาน เช้าวันนั้นไม่ใช่เวรของชิต หากแต่มาอยู่ช่วยเพราะมีช่างมาวัดเหรียญตรา… ประวัติศาสตร์ที่คนไทยรู้กันก็คือในหลวงรัชกาลที่ 8 ทรงพระประชวรที่พระนาภีตั้งแต่หนึ่งวันก่อนหน้า เช้าวันนั้นจึงยังไม่ได้มีพระกรณียกิจใดๆ จากนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้น ในหลวงรัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคตจากพระแสงปืน

เรื่องทั้งหมดสร้างความปั่นป่วนซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อรัฐบาลปรีดีแถลงว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องอุบัติเหตุ ในหลวงทรงปืนแล้วเกิดปืนลั่น ทว่าเมื่อเป็นเช่นนั้น ‘เรื่องเล่า’ กลับสำคัญกว่า ส.ส.พรรคที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ส่งคนไปตะโกนในโรงภาพยนตร์ว่า ‘ปรีดีฆ่าในหลวง’ และเมื่อรัฐบาลไม่สามารถให้คำตอบได้ ทฤษฎีสมคบคิดจำนวนมากถูกเขียนขึ้น สังคมไทยโดยเฉพาะเหล่า ‘ชนชั้นนำ’ ก็เชื่อว่าเรื่องนี้ฟังขึ้น และอาจใช้เป็นต้นเรื่องในการจัดการศัตรูทางการเมืองโดยเฉพาะซีกสาย ‘คณะราษฎร’ ได้ 

 

(4) 

สำหรับกรณีสวรรคต มีคำถามแวดล้อมใหญ่อยู่ 3 ประการก็คือ

1.เกิดอะไรขึ้นในเช้าวันที่ 9 มิถุนายน 2489

2.เกิดอะไรขึ้นในระหว่างกระบวนการพิจารณาคดี

3.ในขั้นตอนสุดท้าย การ ‘ถวายฎีกา’ ของทั้ง 3 นักโทษต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 นั้น ติดขัดตรงไหน เพราะเหตุใดจึงมีการตัดสินประหารชีวิตในปี 2498

สำหรับคำถามแรก แม้ ‘ผู้บริสุทธิ์’ จะไม่ใช่หนังสือที่ลงลึกกรณีสวรรคต แต่ก็ให้ภาพในมุมของชิตได้ดี… ชิตเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า เหตุในพระที่นั่งบรมพิมานเป็น ‘อุบัติเหตุ’ ปืนลั่นจากในหลวงรัชกาลที่ 8 เอง ทั้งไม่เชื่อว่าใครจะเข้าไปยังห้องบรรทมของในหลวงได้

ในขณะเกิดเหตุ ชิตและบุศย์ให้ข้อมูลว่า หากมีบุคคลอื่นเข้าไปในห้องบรรทม จะต้องเข้าผ่านเฉลียงหลังซึ่งทั้งสองนั่งเฝ้าอยู่ กระนั้นเอง ในขณะเกิดเหตุไม่มีบุคคลอื่นเข้าไป และฉากทัศน์ว่าด้วยอุบัติเหตุนั้น บรรดาแพทย์ผู้ชันสูตรศพเองไม่ได้เห็นด้วยเท่าไรนัก จากลักษณะของรอยกระสุนที่เข้าทางหน้าผาก

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีหลักฐานใดๆ เช่นกันว่าทั้งสามเกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์

ทว่าในทางคดี หลังผ่านการรัฐประหารในปี 2490 โดยจอมพล ผิน ชุณหะวัณ แนวทางการสอบสวนก็เปลี่ยนไป ‘พล็อต’ ถูกเปลี่ยนจากอุบัติเหตุเป็นเรื่องของการลอบปลงพระชนม์โดยขบวนการที่เกี่ยวข้องกับปรีดี เริ่มจาก เฉลียว ปทุมรส เลขานุการของปรีดีที่ถูกกล่าวหาว่า ‘มักใหญ่ใฝ่สูง’ และต้องการจัดการในหลวงรัชกาลที่ 8 ที่มีแนวคิด ‘สละราชสมบัติ’ เพื่อลงเลือกตั้ง คอยร่วมมือกับสองมหาดเล็กผู้รับใช้ใกล้ชิดอย่างบุศย์และเฉลียว

ขณะเดียวกัน คำตัดสินของศาลยังพิพากษาว่า มีการประชุมกันที่บ้านพระยาศรยุทธเสนีก่อนวันสวรรคต ระหว่างปรีดี ชิต บุศย์ เฉลียว และ เรือเอก วัชรชัย ชัยสิทธิเวช เป็นการวางแผนลอบปลงพระชนม์ โดยมีพยานอย่าง ตี๋ ศรีสุวรรณ น้าชายของพระพินิจชนคดี ประธานกรรมการสอบสวนการสวรรคต ยืนยันถ้อยคำที่ทั้งหมดสนทนากันว่า ต้องการปลงพระชนม์พระเจ้าแผ่นดิน

ทว่าในปี 2522 ตี๋ ศรีสุวรรณ มีจดหมายถึงปรีดี และบอกกับหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุในเวลาต่อมาว่าเรื่องที่บ้านพระยาศรยุทธนั้นไม่เป็นความจริง ทว่าพระพินิจชนคดีได้เกลี้ยกล่อมว่า หากให้การเช่นนั้นจะให้เงินเลี้ยงตี๋ ศรีสุวรรณ จนตาย แต่เมื่อคดีจบแล้ว พระพินิจชนคดีก็ไม่ได้จ่ายอีกตามที่รับปากไว้ จึงต้องการ ‘ขอขมา’ กับปรีดี รวมถึง เรือเอกวัชรชัย ชิต เฉลียว และ บุศย์ 

เช่นเดียวกับพระยาศรยุทธเสนีก็เขียนพินัยกรรมไว้เช่นกันว่า มีการข่มขู่คุกคามโดยพระพินิจชนคดีให้ใส่ร้ายกลุ่มปรีดี ว่าอยู่เบื้องหลังเหตุสวรรคต

น่าเศร้าที่ ณ เวลานั้น เรื่องการปั้นพยานเท็จที่อาจมีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองถูกเผยแพร่ในภายหลังอีกกว่า 20 ปี

เพราะสถานการณ์ทางการเมืองตอนนั้น เป็นห้วงเวลาที่ฝ่าย ‘นิยมเจ้า’ มีอำนาจ และแม้จะมี จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังมีปรีดีเป็นศัตรูทางการเมืองคนสำคัญ

เพราะฉะนั้น ปลายทางของกรณีสวรรคตจึงนำไปสู่การประหารชีวิตทั้งสามคนอย่างน่าสลดใจ…

 

(5)

เช้าวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เพชฌฆาตประหารชีวิตทั้งสาม ท่ามกลางข่าวลือว่า ‘ฎีกา’ ขอพระราชทานอภัยโทษนั้นไปไม่ถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 

ถึงตรงนี้ มีเรื่องเล่าหลายแบบ ตั้งแต่ว่ารัฐบาลขัดขวางการถวายฎีกา พลเอก เผ่า ศรียานนท์ เป็นผู้ขัดขวางเรื่องนี้ หรือ จอมพล ป. พิบูลสงครามที่เปิดเผยกับ อนันต์ พิบูลสงคราม บุตรชายว่า เคยขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

ในหนังสือได้นำบทความของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่ค้นคว้าและพบว่า รัฐบาล จอมพล ป. มีมติคณะรัฐมนตรียืนยันความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ซึ่งก็คือ จอมพล ป.) ว่า ไม่เห็นควรจะพระราชทานอภัยลดโทษให้ เพราะเป็นเรื่องการประทุษร้ายบุคคลสำคัญของประเทศขึ้นไปกราบบังคมทูล

กระนั้นเอง การพระราชทานอภัยโทษถือเป็นเอกสิทธิ์และพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์… ความเห็นของรัฐบาลเป็นเพียงการแสดงความเห็น มิได้เป็นมติผูกมัดต่อพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด

 

(6)

ความน่าสนใจในผู้บริสุทธิ์ยังมีอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นบทสัมภาษณ์ของ ชูเชื้อ สิงหเสนี ภรรยาของชิต และ ผ่องพรรณ สิงหเสนี บุตรสาวของชิต ในปี 2544 โดย สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ และ มานิต ศรีวานิชภูมิ ที่ให้ข้อมูลเชิงอรรถเกี่ยวกับชีวิตของชูเชื้อหลังเหตุการณ์สวรรคต รวมถึงการ ‘เข้าเฝ้า’ ในหลวงรัชกาลที่ 9 และความสัมพันธ์กับราชสำนัก

รวมถึงบทสัมภาษณ์ของ หลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่เห็นแย้งกับคำพิพากษาหลักว่า มีสาเหตุมาจากเรื่องใด กระทั่งบทความ 2 ชิ้นของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่เกี่ยวกับกรณีสวรรคตที่บรรณาธิการนำมาเติมเต็มภาพดังกล่าวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

จนถึงวันนี้ แม้ ‘ฝ่ายขวา’ บางส่วนจะเชื่อว่าทั้งสามไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ และยังคงมี ‘บทความ’ ออกมาโต้แย้งว่าศาล ณ วันนั้น ตัดสินครบถ้วนถูกต้องแล้ว ในช่วงหลัง แต่เรื่องเล่าของฝ่ายขวาก็ยังไม่สามารถปะติดปะต่อภาพในเช้าวันนั้นได้ว่าใครเป็นผู้ ‘ลอบปลงพระชนม์’ ด้วยสาเหตุใดๆ และไม่สามารถวาดภาพเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นได้เลยว่าทั้ง 3 คน ร่วมด้วย เรือเอกวัชรชัย เป็นผู้ก่อเหตุสังหารอย่างไร มีเพียงเรื่องแวดล้อมที่ในเวลาต่อมายืนยันแล้วว่าเป็นเรื่องเท็จ พยานเท็จ

เรื่องของ ชิต สิงหเสนี และนักโทษประหารอีก 2 คน จึงเป็นอีกเรื่องเศร้า ที่ยังคงรอการยืนยันจากรัฐบาล จากกระบวนการยุติธรรมว่าพวกเขาเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’

“ขอตั้งสัตยาธิษฐานอัญเชิญเดชะพระศรีรัตนไตรยและสัจจะที่เป็นอมตะแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษย์โลกซึ่งไม่มีอายุความ โปรดบันดาลให้ความบริสุทธิ์ของคุณชิต สิงหเสนี, คุณเฉลียว ปทุมรส, คุณบุศย์ ปัทมศริน จนปรากฏขึ้นในไม่ช้า และขอให้เกียรติของท่านที่ตายด้วยความบริสุทธิ์นั้น จงสถิตสถาพรอยู่ชั่วกัลปาวสาน” ข้อความของปรีดี พนมยงค์ ที่เขียนถึง ชูเชื้อ สิงหเสนี เมื่อปี 2521 สรุปเรื่องนี้ทั้งหมดได้เป็นอย่างดี..

Tags: , , ,