ถึง แดเนียล

คุณใช้เวลากว่า 4 ปีเต็ม ค่อยๆ เขียนจดหมายถึงหลานที่คุณรัก และใจดีแบ่งปันจดหมายเหล่านั้นให้ฉัน (และคนอีกมากมาย) ได้อ่านด้วย ฉันจึงอยากบอกขอบคุณถึงคุณไว้ ตรงนี้

ผ่านมา 10 กว่าปีจากวันที่จดหมาย 32 ฉบับของคุณถูกรวบรวมและตีพิมพ์เป็นหนังสือ โลกไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ในความหมายที่ว่า ความวุ่นวายยังคงอยู่ มนุษย์ยังคงต่อสู้กับอุปสรรคทางกายและทางใจ เพื่อให้เราได้มีวันที่ดีกับใครเขาบ้าง ในวันที่โลกระส่ำระสายเสียเหลือเกิน 

ทักษะการเขียนของคุณดีเยี่ยม ดีจนคุณเล่าเรื่องสัจธรรมชีวิตยากๆ ให้อยู่ในภาษาสำหรับคุยกับเด็กอายุไม่เท่าไรได้ ดังนั้นไม่ว่าใครอ่านก็คงเข้าถึงได้ไม่ยาก ฉันนับถือมันในฐานะที่ตัวเองเป็นนักเขียน และยังเป็นนักเรียนในสายอาชีพนักจิตวิทยาเช่นเดียวกับคุณ 

คุณคงรู้ดี สิ่งที่ยากเหนือไปกว่าทักษะการเขียน คือทักษะการกลืนเอาประสบการณ์ที่ชีวิตมอบให้ แล้วย่อยมันให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเราให้ได้ คนมักพูดกันว่า ชีวิตที่มีหลายรสชาตินั้นเป็นชีวิตที่ดี แต่ฉันขอสารภาพตรงนี้ว่า บางครั้งชีวิตก็เหมือนอาหารรสขมปร่าที่กลืนลงไปแล้วพานไม่อยากลิ้มรสจานถัดไป แม้จะรู้ว่ามีของหวานถ้วยน้อยรออยู่ในอีกไม่กี่อึดใจ

คุณคงรู้ดีอีกว่า การเป็นมนุษย์ไม่ง่าย เราไม่มีวันที่จะไม่บอบช้ำ คุณถึงอยากสอนหลานของคุณเกี่ยวกับความกลัว ความอยุติธรรม พระเจ้า และของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่ซ่อนอยู่ในเคราะห์กรรมฉันชอบวลีของขวัญที่ว่า เพราะหากเรามองไม่เห็นสิ่งเล็กน้อยที่เปล่งประกายเหล่านั้น ฉันคิดจริงๆ ว่าความหมายในชีวิตหลายคนคงดับสูญ รวมถึงฉันด้วย 

เราต่างผ่านห้วงสุขและทุกข์เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อนำไปสู่บทเรียนสุดท้ายเพื่อจะเข้าใจว่า มนุษย์ต่างเป็นเช่นนี้เอง 

ดังนั้น สิ่งที่ฉันอยากขอบคุณคุณที่สุดในการเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาก็คือ ขอบคุณที่ย้ำเตือนให้ฉันรู้ผ่านหนังสือเล่มนี้ว่าความเป็นมนุษย์ที่แท้นั้นเป็นอย่างไร

…..

คุณคงพอนึกภาพออกว่า เมื่อเราเติบโต ความเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้สองทาง ทางแรกคือเราจะคาดหวังในตัวเองสูงขึ้น เพราะเห็นว่าเราควรทำสิ่งต่างๆ ได้ดีในศักยภาพที่เพิ่มตามอายุ ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพทางความคิด หรือศักยภาพทางอารมณ์ ที่เราควรรับมือกับสิ่งต่างๆ ด้วยจิตใจที่มั่นคงมากขึ้น

อีกทางหนึ่ง เราจะคาดหวังในตัวเองน้อยลง เพราะเข้าใจว่าธรรมชาติคนเราย่อมมีสมหวังและผิดหวังในตัวเองเป็นธรรมดา เราอาจกดดันตัวเองและคนรอบข้างน้อยลง เมื่อได้เรียนรู้ที่จะเมตตาตัวเองให้เป็นบ้าง ปล่อยให้อารมณ์เป็นอิสระบ้าง

แต่ไม่ว่าทางใดก็ตามแดเนียล ความยากของการเป็นมนุษย์ในชีวิตที่ฉันเข้าใจก็คือ เราต้องหาจุดพอดีระหว่างสองทางนั้นให้เจอ ท้ายที่สุดเราต้องยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นอย่างแท้จริง เพื่อเปิดใจเรียนรู้และเติบโตต่อไป แต่ในขณะที่เรายังคลำทางไม่ได้ เราในชั่วขณะนั้นก็ไม่ต่างจากเด็กน้อยของจักรวาลที่ไม่รู้ประสา ไม่เข้าใจสมการที่ชีวิตอยากให้เราถอดรากคำตอบได้ และเราก็หัวเสียที่ไม่อาจผ่านข้อสอบนี่ได้สักที

ฉัน และหลายคน คงเคยมีช่วงเวลาที่ไม่ต่างไปจากหลานของคุณ เรามีช่วงเวลาที่รู้สึกแตกต่าง แปลกแยก โดดเดี่ยว ไม่รู้จะสื่อสารความต้องการของตัวเองออกไปอย่างไรให้เหมาะสม เราอาจทำเรื่องยากๆ ได้อย่างการตีกอล์ฟเช่นเดียวกับที่หลานของคุณมีพรสวรรค์ แต่ในขณะที่หลานของคุณเจออุปสรรคจากเรื่องง่ายๆ อย่างการติดกระดุมเพราะกล้ามเนื้อมัดเล็กไม่แข็งแรง ฉันคิดว่าเราต่างมีก็จุดอ่อนในเรื่องง่ายๆ ที่ว่ากันทั้งนั้น และเราควรระลึกได้ว่า ไม่ผิดอะไรที่เราจะมี

เรื่องง่ายๆ ที่ฉันทำไม่ได้สักทีก็คือ อยู่กับช่วงเวลาตรงหน้าให้เต็มที่ เลิกคิดมากกับอดีต หรือวิตกกับอนาคต และใจเย็นลงบ้างเวลายังแก้ปัญหาไม่ได้

แม้จะเรียนรู้มาแค่ไหน ฉันก็พบว่าตัวเองยังสามารถลงไปที่ก้นเหวทางความรู้สึกได้ไม่ต่างจากเดิม บางครั้งฉันล้มแล้วเจ็บหนักขึ้นด้วยเพราะถือว่าเราเรียนมา ทำไมเราถึงไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้นะ ผิดเพียงแต่วันนี้ ฉันเมตตาตัวเองไวขึ้นที่ยังมีความคิดแบบนั้น กอดตัวเองไว้แน่นกว่าเดิม และพยายามมีความหวังต่ออนาคตอยู่เสมอ ในห้วงที่รู้สึกมืดมิดที่สุด ใจที่ไม่ยอมแพ้ของตัวเองก็ยังเต้นต่อไป ฉันรับรู้ได้ถึงมัน

สุดท้ายมันคงเป็นอย่างที่คุณพยายามสอนแซมใช่ไหม สิ่งสำคัญก็คือ ความอดทนต่อความแตกต่างจากคนอื่นของตัวเรา และการมีชีวิตตามวิถีทางของตัวเอง

…..

ก่อนอ่านหนังสือเล่มนี้ ฉันคิดไปเองว่าคุณคงเหมือนคนที่บรรลุแจ่มแจ้ง คุณเป็นนักจิตวิทยา คุณเขียนหนังสือเกี่ยวกับบทเรียนชีวิตอย่างคนที่เข้าใจมันลึกซึ้ง คุณมีอาการอัมพาตที่แขนและขา แต่คุณก็ยังเอาชนะอุปสรรคทางกาย มีใจแข็งแรงพอจะให้คำปรึกษากับผู้รับบริการได้ 

ดูฉัน วันที่ใจไม่พร้อม ฉันก็ยังจมจ่อมกับปัญหาตัวเองได้อยู่ ฉันพบว่าตัวเองไม่ต่างจากหัวหอมที่ยังมีเปลือกให้ลอกออกอีกเพื่อที่จะเติบโตได้มากกว่านี้ ฉันอาจรักตัวเองมากขึ้นกว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมา แต่ฉันก็เพิ่งพบว่าฉันมีปัญหาเกี่ยวกับความโกรธมาตลอดชีวิตจนทำให้จิตใจป่วย 

สิ่งที่คุณเล่าและทำให้ฉันรู้สึกขอบคุณอย่างมากก็คือ ขอบคุณที่เป็นตัวเองอย่างสัตย์ซื่อ ขอบคุณที่บอกว่าคุณเองก็ต้องสู้กับภาวะซึมเศร้าที่แวะเวียนมาหาเป็นระยะทั้งชีวิต ขอบคุณที่เปิดเผยความเปราะบางที่สุดในวันที่คุณเกิดอุบัติเหตุและต้องรับมือกับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป ขอบคุณที่เล่าถึงความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นอย่างใจนึกและความโหยหา ขอบคุณที่ไม่ขายฝันว่าเราจะมีความสุขเพิ่มขึ้นได้แน่ๆ หากเราทำตามขั้นตอนที่ใครบอกไว้ แต่เราจะล้มและลุกไปแบบนี้จนค่อยๆ เข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้นทีละน้อย

ฉันรักประโยคนี้ของคุณมากๆ การปรารถนาสิ่งใดไม่ได้แปลว่ามีปัญหาต้องแก้ไข แต่แปลว่ามีความเจ็บปวดอยู่ภายใน ซึ่งหมายความง่ายๆ ว่าเราเป็นมนุษย์นั่นเอง” 

คุณว่าไหมว่า ในโลกที่เราต่างพยายามเป็นตัวเองที่ดีขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองหรือผู้อื่นก็ตาม บางครั้งเราก็อยากแค่ให้มีใครสักคนช่วยพูดกับเราว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องพยายามเป็นอื่น เราต่างต้องผ่านเส้นทางยากๆ สายนี้ ทุกอย่างจะค่อยๆ ไปตามกระบวนการของมัน เธอแค่ต้องใช้เวลา มันอาจทรมาน แต่มันก็จะผ่านไป เหมือนที่คุณเปรียบเทียบให้หลานฟังว่า เวลาติดอยู่ในอุโมงค์มืด คุณอยากอยู่กับคนที่รักคุณมากพอจะอยู่ในความมืดด้วยกัน ไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ข้างนอกแล้วตะโกนบอกวิธีออกจากอุโมงค์

ขอบคุณที่เล่าถึงความทุกข์ทางอารมณ์ที่มนุษย์ต้องพบเจออย่างเป็นปกติ ไม่ได้พยายามสั่งสอน หรือบอกว่าคุณผ่านข้อสอบนี้ได้ดีกว่าใคร

ที่คุณเคยบอกทำนองว่า หากคนเราเปิดเผยความเปราะบางให้แก่กันเห็นมากขึ้นโดยไม่ต้องพยายามทำตัวแข็งแรง โลกใบนี้จะปลอดภัยและน่าอยู่ขึ้น คุณได้แสดงให้ฉันเข้าใจผ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว

เกือบทุกบททำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันมีเพื่อน และรู้สึกว่าแม้เราไม่เคยเจอกัน สิ่งที่เรารู้สึกร่วมกันในฐานะมนุษย์นี้ จะทำให้ฉันมีพลังที่จะผ่านสิ่งต่างๆ ไปทีละอย่าง ทีละวัน เช่นเดียวกับที่คุณทำ

ฉันเป็นมนุษย์ปกติที่มีจุดอ่อน จุดแข็ง มีความกลัว มีวันที่ใจสั่นคลอน บางช่วง ฉันก็หมดแรงและไม่อยากทำอะไรเลย แต่ในขณะเดียวกัน อีกวันถัดไปนั้น ฉันก็ยังค่อยๆ เดินหน้าไปสู่เป้าหมายในใจได้ มันคือความหมายชีวิตที่หล่อเลี้ยงให้ฉันอยากอยู่ต่อไปอีกนานๆ เพื่อช่วยเหลือใครสักคนที่อาจเคยตกที่นั่งลำบากเหมือนฉันสมัยก่อน 

ความรู้สึกมีค่าเมื่อตัวเราได้เป็นประโยชน์ต่อใครสักคนแม้เราจะเป็นมนุษย์ที่มีความบกพร่องเช่นนี้ คุณคงเข้าใจได้อย่างดี จากค่ำคืนที่คุณได้รับฟังความทุกข์ของผู้หญิงคนหนึ่งที่มาหาคุณในโรงพยาบาล แม้ร่างกายคุณจะใช้การไม่ได้ดังเดิม แต่คุณเยียวยาหัวใจเธอได้ ในห้วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างได้รับการเยียวยาเช่นนั้น สุดท้ายมันคือของขวัญล้ำค่าของการเป็นมนุษย์ ฉันเห็นด้วยกับคุณอย่างถึงที่สุด

มันไม่แปลกอะไร ที่เราจะมีห้วงเวลาที่อยากตาย และห้วงเวลาที่กลับมามีความหวังในชีวิตอีกครั้ง ไม่แปลกอะไร หากเช้าวันหนึ่ง เราจะยังร้องไห้ด้วยความผิดหวัง หรือยังดื้อดึงกับความปรารถนาที่ไม่อาจเป็นจริง และในเช้าอีกวันหนึ่ง เราจะเริ่มอยากกอบเก็บสิ่งที่ได้เรียนรู้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เราจะให้โอกาสตัวเองเริ่มใหม่อีกครั้ง ในชั่วขณะนั้นเองที่มีความหมาย เรากำลังได้ลอกคราบใหม่ เพื่อเติบโต และโรยราอย่างสง่างามในวันข้างหน้า

ขอเพียงเราต้อนรับความรู้สึกต่างๆ ให้เป็นครูในชีวิตได้ เราคงจะผ่านแต่ละวันไปอย่างไม่เลวร้ายจนเกินอดทน ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมื่อเราเรียนรู้ความรู้สึกเหล่านั้นอย่างที่มันเป็น เราก็ได้ขีดเขียนหมุดหมายใหม่ๆ ลงบนแผนที่นำทางชีวิตของตัวเอง

บทกวีชื่อเรือนรับรองของรูมี (Rumi) ที่คุณทิ้งไว้ท้ายเล่ม ฉันเคยอ่านแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่ออ่านใหม่ ฉันก็พบว่ามันช่างเหมาะกับชีวิตของฉันเสียเหลือเกิน และมันคงจะดี หากมีใครสักคนได้เข้าใจมันเพิ่มขึ้น ฉันจึงขอยกบางห้วงบางตอนของบทกวี มาปิดท้ายจดหมายถึงคุณ

…..

มนุษย์เราเปรียบเหมือนเรือนรับรอง

ที่มีแขกคนใหม่เข้าพักทุกเช้า

ความสุข ความหดหู่ และความหยาบช้า

…..

แม้พวกเขาจะเป็นฝูงชนแห่งความเศร้า 

ที่โหมกระหน่ำบ้านของเรา 

จนเครื่องเรือนกระจัดกระจาย

เราก็ยังต้องดูแลแขกแต่ละรายอย่างให้เกียรติ 

…..

จงออกไปพบพวกเขาที่หน้าประตูพร้อมเสียงหัวเราะ

และเชื้อเชิญเข้ามาข้างใน

จงขอบคุณไม่ว่าใครที่แวะเวียนมา

เพราะทุกคนถูกส่งมา

ในฐานะผู้นำทางจากดินแดนอันไกลโพ้น

Fact Box

  • จดหมายถึงแซม’ (Letters to Sam : A Grandfather’s Lessons on Love, Loss and the Gifts of Life) เขียนโดย Daniel Gottlieb  / แปลโดย ธิดารัตน์ เจริญชัยชนะ / สำนักพิมพ์ OMG books

 

Tags: , , , , , ,