ถ้าพูดถึงศิลปินจากฟากฝั่งฮิปฮอปย่อมไม่มีใครไม่รู้จักคานเย เวสต์ (Kanye West) หรือบางคนอาจเคยได้ยินชื่อเขาจากบทบาทของแฟชั่นนิสต้าผู้สร้างวัฒนธรรมการแต่งกายซึ่งกลายเป็นตำนานฉบับใหม่อย่างแบรนด์ Yeezy หรือถ้าใครที่เคยได้ยินชื่ออยู่ห่างๆ อาจรู้จักเขาจากความเป็นคนดังกับบุคลิกที่สุดแสนจะอีโก้ ยึดมั่นถือมั่นกับตัวเองอย่างสุดโต่ง สามารถสร้างฐานทั้งกลุ่มแฟนคลับและแอนตี้แฟนได้อย่างเหนียวแน่น ชีวิตของเขาในวงการบันเทิงก็ถือว่าล้มลุกคลุกคลานมาเป็นระยะใหญ่ จนล่าสุดนี้เขากลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเส้นทางสาย ‘กอสเปล’ (Gospel—แนวเพลงที่เน้นเสียงร้องและอุทิศแด่พระเจ้า) พร้อมกับพลพรรคที่ช่วยสร้างแนวทางใหม่ที่ทำให้หลายคนตกใจไปตามๆ กัน สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เส้นทางสายนี้ของเขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

เราต้องขยายความก่อนว่าโดยพื้นฐานของตัวเวสต์เองนั้นแตกต่างจากแรปเปอร์โดยส่วนใหญ่ เขาเกิดในสังคมของชนชั้นกลาง จึงไม่ได้เล่าเนื้อหาเกี่ยวกับความยากลำบาก การโชว์การไต่เต้าของชีวิตจนได้ดิบได้ดี หรือปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับกลุ่มคนผิวดำในแบบที่แรปเปอร์ทั่วไปพบเจอได้ในชุมชนของพวกเขา แต่รากฐานที่เวสต์มีและสนใจมาตั้งแต่เริ่มเข้าวงการดนตรีก็คือเพลงคริสเตียน เพลงฮิปฮอปของเขามีองค์ประกอบของเพลงคริสเตียนอยู่ตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบัน ทั้งเนื้อหาเพลงที่พูดถึงพระเจ้า หรือองค์ประกอบทางดนตรีที่มีพื้นฐานมาจากเพลงกอสเปลหรือโซลในยุคเก่าๆ สามารถสังเกตได้ชัดในเพลงช่วง 3 อัลบั้มแรกอย่าง College Dropout, Late Registration และ Graduation

ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา เวสต์ได้ผ่านมรสุมอย่างหนักหน่วง จากความวุ่นวายที่เขาก่อขึ้นมาเอง ทั้งข้อความทวิตเตอร์ที่ส่อเค้าถึงความรู้สึกที่ไม่ปกติ หรือการที่เขาออกตัวสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐอเมริกา หรือกระทั่งการประกาศว่าตัวเองจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในครั้งต่อไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้ยิ่งตอกย้ำชื่อเสียงแง่ลบ จนทำให้เขาหายหน้าหายตาจากสื่อ มุ่งมั่นอยู่กับการทำเพลงเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินมากมาย เป็นช่วงที่เริ่มเข้ารับการรักษาจากหมอก่อนจะพบว่าตัวเองเป็นไบโพลาร์ รักษาตัวจากอาการป่วยที่กำลังบั่นทอนชีวิตของเขา และหลีกหนีจากความวุ่นวายในโลกอินเทอร์เน็ต ก่อนที่เขาจะพัฒนาจาก Yeezy ที่ดูมีบุคลิกที่อีโก้จัด กลายเป็นคนที่มีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เขาหันกลับไปหาเส้นทางที่ตัวเองเคยเชื่อมั่นและเคยหลงลืมมันไปสักพักใหญ่ นั่นก็คือพระเจ้า เขาเชื่อว่าหน้าที่ของตัวเองในตอนนี้คือการเป็นผู้ส่งสารของพระองค์ นั่นทำให้เขามุ่งมั่นในการเผยแพร่คำสอนมากขึ้น และเครื่องมือที่เขามีก็คือบทเพลงของเขาเอง

ในปี 2019 เช้าวันอาทิตย์แรกของเดือนมกราคม (6 มกราคม) คิม คาร์ดาเชียน ผู้เป็นภรรยาได้ไลฟ์การซ้อมการแสดงของเขาเพื่อเรียกน้ำย่อยแฟนๆ ซึ่งในไลฟ์นั้น ผู้ชมได้เห็นนักดนตรีคณะประสานเสียงจำนวนมาก ในพื้นที่ปิดที่มีแสงสีดูนวลตา ทำให้หลายคนที่ได้เห็นเริ่มสร้างทฤษฎีไปต่างๆ นาๆ บ้างก็ว่าเป็นการโปรโมทการแสดงสดของอัลบั้มล่าสุดในช่วงนั้นอย่าง Ye หรืออาจจะเป็นการแสดงสดคู่กับ คิด คิวดี (Kid Cudi) ในโปรเจกต์ Kids See Ghosts (เขาปรากฏตัวอยู่ในไลฟ์นั้นด้วย) หรือว่าอาจจะเป็นสัญญาณของอัลบั้มใหม่ในตอนนั้นอย่าง Yandhi ที่มีข่าวคราวมาสักพัก ก่อนที่คาร์ดาเชียนจะพิมพ์ในทวิตเตอร์ว่าไลฟ์ที่ได้เห็นนั้นคือโปรเจกต์ ‘Sunday Service’ หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์พวกเขาก็ทำการแสดงสด และคอนเสิร์ตนี้ก็เริ่มเป็นปรากฏการณ์ที่คนรักดนตรีหลายคนให้ความสนใจ

จากในตอนแรกที่เป็นคอนเสิร์ตซึ่งมีผู้ชมเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ด้วยกระแสความยอดเยี่ยมแบบปากต่อปาก รวมถึงจากการเผยแพร่ของชาวเซเลบริตี้ที่ได้เป็นแขกรับเชิญเข้ามาชมในงานด้วย ทั้งแบรด พิตต์, แบรดลีย์ คูเปอร์, เดฟ แชปเปล (นักพูด stand-up comedian ระดับต้นๆ ของอเมริกา) หรือเดวิด เลตเทอร์แมน (พิธีกร Late Night Show) ทำให้ชื่อเสียงของเวสต์และซันเดย์ เซอร์วิสเริ่มกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น ทุกคนเริ่มต้องการจับจองที่นั่งเพื่อจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในคอนเสิร์ตนี้ และเวสต์ก็จัดให้ตามคำขอ 

ในเดือนเมษายนปีเดียวกัน ที่งานโคเชลลาเขาปรากฏตัวในนามซันเดย์ เซอร์วิสแทนที่จะเป็นนามของแรปเปอร์ระดับต้นๆ คนนั้น เขาปฏิเสธการเป็น headliner ใหญ่ในงาน เนื่องจากทางงานไม่สามารถสร้างโดมส่วนตัวบนเวทีให้เขาได้ พวกเขาไม่ได้แสดงบนเวทีปกติ แต่ออกมาแสดงบนเนินทุ่งหญ้าขนาดกว้าง ซึ่งความแปลกใหม่นี้ก็ไม่สามารถหยุดความต้องการของคนที่ต้องการจะดูคอนเสิร์ตแสนพิเศษนี้ได้ มีคนเข้ามาดูวงนี้ร่วมหลายพันคนซึ่งก็เทียบเท่ากับศิลปินระดับ headliner ใหญ่อยู่ดี ในงานนี้แสดงเขาแสดงถึงแพสชั่นของเขาที่มีต่อพระเจ้าด้วยการแสดงสดเกือบ 3 ชั่วโมงด้วยกัน และโชว์นี้เป็นที่ถูกพูดถึงอย่างมาก เสมือนเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของงาน

ถ้าพูดถึงคณะประสานเสียง (choir) คุณอาจนึกถึงกลุ่มหนุ่มสาวที่แต่งชุดสีดำร้องเพลงเปล่งเสียงสรรเสริญพระเจ้าในคริสตจักร นับเป็นพิธีกรรมสำคัญในทุกๆ วันอาทิตย์ แต่เวสต์ได้ล้างภาพเหล่านั้นทิ้ง เขาได้ลดความศักดิ์สิทธิ์จนดูแตะต้องไม่ได้นั้นลง กลายเป็นเพียงคอนเสิร์ตขนาดย่อมที่สร้างประสบการณ์การฟังที่แปลกใหม่ ชุดการแต่งกายของคณะประสานเสียงมีความแฟชั่นอยู่สูงโดยเขาเป็นผู้ออกแบบเอง เขาใช้ดนตรีที่ตัดทอนรายละเอียดหลายๆ อย่าง ให้เหลือแค่เครื่องดนตรีที่จริงที่สุด ทั้งเปียโนที่เป็นเครื่องดนตรีหลัก เครื่องเป่า เครื่องทองเหลือง เครื่องเพอร์คัสชั่นที่เพิ่มขึ้นมาในภายหลัง และที่สำคัญที่สุดคือเสียงของคนที่ประกอบกันเป็นเหมือนอีกหนึ่งเครื่องดนตรี รวมไปถึงแสงสีที่ดูอลังการและแปลกตา สถานที่ที่เปลี่ยนไปทุกอาทิตย์ จากสถานที่เล็กๆ ตามเมืองต่างๆ  ซึ่งใครที่อยากจะสัมผัสประสบการณ์ที่วิเศษแบบนี้ ต้องคอยติดตามข่าวสารให้ดี

บทเพลงที่เล่นในคอนเสิร์ตนั้นไม่ได้มีแค่เพลงคริสเตียนที่ขับร้องกันในโบสถ์ทั่วไป แต่มีทั้งเพลงคัฟเวอร์หลากหลายแนว จากศิลปินชื่อดังในอดีตและปัจจุบันมากมาย เช่นสตีวี วันเดอร์ (Stevie Wonder), ออทิส เรดดิ้ง (Otis Redding), คูลแอนด์เดอะแกงค์ (Kool & the Gang),เนอร์วานา (Nirvana) หรือว่าจะเป็นศิลปินรุ่นใหม่อย่างทราวิส สก็อตต์ (Travis Scott), เทเยนา เทเลอร์ (Teyana Taylor) หรือของคานเย เวสต์เองด้วย และความพิเศษนอกจากการคัฟเวอร์และเรียบเรียงแบบใหม่แล้ว ยังมีแขกรับเชิญที่หมุนเวียนเปลี่ยนรสชาติมากมายทั้ง ดีเอ็มเอ็กซ์ (DMX), เซีย (Sia), แชนซ์ เดอะ แรปเปอร์ (Chance the Rapper), ดีโพล (Diplo), ฟรานซิส แอนด์ เดอะ ไลทส์ (Francis and the Lights) ที่เปลี่ยนรูปแบบเพลงของตัวเองเพื่อคอนเสิร์ตนี้ อย่างเซียที่มาร้อง Chandelier ในรูปแบบใหม่ หรือแชนซ์ เดอะ แรปเปอร์ที่มาร่วมจอยในเพลง Ultralight Beam ของคานเย เวสต์

และการจะเล่นเพลงแรปในคอนเสิร์ตที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นหากจะใช้เนื้อหาออริจินัลที่มีความรุนแรงหรือมีคำหยาบก็คงไม่ได้ เขาจึงต้องแต่งเพลงนั้นๆ เสียใหม่ เพื่อลบคำหยาบคาย เปลี่ยนเนื้อหาในเข้ากับสารที่เขาต้องการจะสื่อมากขึ้น ซึ่งได้นิกกี กรีเยอร์ (Nikki Grier) สมาชิกในวงที่ตอนแรกนั้นมาในตำแหน่งนักร้องประสานเสียงทั่วไป แต่อีกด้านของชีวิตเธอคือคนเขียนเพลงให้กับระดับด็อกเตอร์ เดร (Dr.Dre) มาแล้ว ผลลัพธ์ของเพลงที่ออกมานั้น ทำให้ศิลปินที่เป็นเจ้าของเพลงต่างตกใจที่เพลงของตัวเองได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ ทั้งเกวน สเตฟานี ( Gwen Stefani) และมารายห์ แครี (Mariah Carey) ต่างชื่นชมในการเรียบเรียงและแต่งเนื้อร้องขึ้นมาใหม่ แต่ขณะเดียวกันก็มีกระแสในแง่ลบบ้าง เมื่อบางศิลปินที่ถูกหยิบเพลงไปทำใหม่ไม่ค่อยพอใจผลที่ออกมาสักเท่าไร

ในช่วงที่เวสต์ประกาศตามหากลุ่มคณะประสานเสียงเจสัน ไวท์ (Jason White) เป็นศิลปินเบอร์แรกๆ ที่ทางทีมงานนึกถึงโดยทันที เขาเป็นศิลปินแนวกอสเปลที่มีความสามารถอยู่ระดับต้นๆ ของวงการ การันตีด้วยการได้รับรางวัลแกรมมี่ แถมเคยร่วมงานทั้งวิทนีย์ ฮูสตัน (Whitney Houston), แอเรตธา แฟรงคลิน (Aretha Franklin) หรือ ดอลลี พาร์ตัน (Dolly Parton) จนสุดท้ายเขาก็ได้มาร่วมงานกับคานเย เวสต์ ในฐานะ choir director หรือผู้กำกับคณะประสานเสียงของวง เขาได้รับโจทย์ที่หินและท้าทายเป็นอย่างมาก โดยที่อาทิตย์ก่อนที่จะซ้อมนั้น เขาต้องคอยซัพพอร์ทหาคณะประสานเสียงจำนวนประมาณ 100 คน โดยที่ยังไม่รู้ข้อมูลอะไรทั้งสิ้น ต้องซักซ้อมทั้งหมดภายในวันศุกร์ และเริ่มแสดงในวันอาทิตย์ 

“ตอนแรกผมคิดว่าเราจะทำโปรเจกต์นี้กันประมาณสองสามอาทิตย์ แล้วคานเยเขาก็คงจะเหนื่อยแล้วไปทำอะไรใหม่ๆ พอผ่านไปเรื่อยๆ ทุกวันจันทร์หรืออังคาร เรย์ (Romulus อีกหนี่งโปรดิวเซอร์มือทอง) จะโทรมาบอกว่าเราจะร้องเพลงนี้ๆๆๆ นะ หลังจากนั้นสักอาทิตย์ที่ห้า เราเริ่มมีกลอง มีเครื่องเป่า ผมเริ่มสงสัยแล้วว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหนกันแน่ จนคุณนายเวสต์ (คิม) ตั้งชื่อโปรเจกต์นี้ว่า ‘Sunday Service’ แล้วมันก็เปลี่ยนทุกอย่างไปเลยครับ จากตอนแรกที่คิดว่าเริ่มประมาณสองอาทิตย์ ตอนนี้ผมร่วมงานกับเขามา 10 เดือนได้แล้ว”

ซึ่งถ้าถามเวสต์ว่า เขาจัดคอนเสิร์ตนี้ไปทำไม? เขาบอกว่านี่คือการทำไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า เขาเปลือยตัวเองในการให้สัมภาษณ์กับเซน โลเว (Zane Lowe) ใน Beats 1 Radio อย่างหมดเปลือกเกี่ยวกับการทำโปรเจกต์นี้และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตว่า “ตอนนี้ผมกำลังทำงานรับใช้ให้กับพระเจ้า งานของผมคือการเผยแพร่คำสอนของพระองค์ และทำให้ทุกคนรู้ว่าพระเจ้าได้สร้างอะไรไว้ให้กับผมบ้าง”

“ดนตรีคืองานของผม พระเจ้าทรงประทานพรสวรรค์ให้ผมในการขับร้องเพื่อความรักของผู้อื่น ซึ่งถ้าผมไม่ทำ พระองค์อาจจะเอาสิ่งที่ผมมีออกไปเป็นการลงทัณฑ์” เขาเชื่อในพระเจ้าถึงขนาดที่บอกว่า “สิ่งที่ผมสนใจในตอนนี้คือการสื่อสาร แต่เป็นการสื่อสารจากความต้องการของพระเจ้า ถ้าพระองค์ต้องการให้ผมสร้างโรงงานนี้ ผมก็จะสร้าง ถ้าพระองค์ต้องการให้ผมไปอยู่ในคุก ผมก็จะยอมไปติดคุกที่แอฟริกาสักปีสองปี ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระเจ้าทรงวางแผนอะไรไว้ให้ผมบ้าง!” อาจฟังดูบ้าบอพอสมควรจากสายตาห่างไกล แต่สำหรับผู้ที่มีความเชื่อและความรักที่มีต่อพระเจ้าแล้ว สิ่งนี้ถือว่าเป็นไปได้และเขาเชื่อมั่นที่จะทำมันอย่างเต็มหัวใจ

ซึ่งความหลงใหลในการเผยแพร่คำสอนของพระเจ้า และกระโดดลงมาดำเนินกิจกรรมทั้งหลายเหล่านี้เอง ทำให้เขาได้วัตถุดิบใหม่ออกมาเป็นอัลบั้ม Jesus Is King (ซึ่งไม่ใช่อัลบั้ม Yandhi ที่เขาเคยประกาศไว้ก่อนหน้านั้น) ในอัลบั้มนี้นอกจากจะร่วมงานกับซันเดย์ เซอร์วิสที่เหมือนเป็นคู่หูร่วมเผยแพร่คำสอนแล้ว ยังร่วมงานกับเคนนี จี (Kenny G), โน มาลิซ (No Malice) และ ไท ดอลลา ไซน์ (Ty Dolla Sign) อัลบั้มนี้ถึงจะมีแนวทางที่แตกต่างจากอัลบั้มก่อนๆ ของเขาอย่าง Ye ไปมากมาย แต่ก็ยังได้เสียงตอบรับที่เป็นไปได้ในทางบวก บ้างก็ว่านี่เป็นคานเย เวสต์ที่ดีกว่ายุคก่อนหน้านี้ที่ดูเป็นคนผีเข้าผีออกนั้นอีก แถมยังมีผลิตภัณฑ์อื่นแยกออกมากลายเป็นภาพยนตร์ที่ใช้ชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับการแสดงสดเพลงในอัลบั้มล่าสุดนั้น พร้อมกับกลุ่ม ซันเดย์ เซอร์วิสซึ่งฉายในระบบ IMAX และเคยฉายในไทยด้วยเมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา

และหลังจากนั้นไม่นานเวสต์ก็ได้ประกาศว่าเขาจะออกอัลบั้มใหม่ในนามของ Sunday Service Choir ซึ่งอัลบั้มนี้สตูดิโออัลบั้มแรกอย่างเป็นทางการ Jesus Is Born ซึ่งเขาไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโปรเจกต์นี้ แค่เป็นโปรดิวเซอร์คอยดูภาพรวมอยู่ห่างๆ เท่านั้น อัลบั้มนี้ถูกปล่อยออกมาในวันที่ 25 ธันวาคม เป็นของขวัญวันคริสต์มาสที่ผ่านมา ซึ่งเขาใช้วิธีการทำเพลงเดียวกันกับการแสดงคอนเสิร์ต ในอัลบั้มมีทั้งเพลงกอสเปลที่ร้องในโบสถ์เอง หรือเป็นเพลงคัฟเวอร์ของศิลปินโซล อาร์แอนด์บี และกอสเปลยุคเก่าอีกมากมาย พร้อมกับเปลี่ยนเนื้อหาเพลงให้เป็นไปในทางที่เขาเชื่อมั่น นั่นก็คือพระเจ้า

หากถามว่าการแสดงสดในแต่ละครั้ง ทำให้สมาชิกในวงรู้สึกอย่างไรบ้างฟิลลิป คอร์นิช (Philip Cornish) มิวสิกไดเร็กเตอร์ของซันเดย์ เซอร์วิส ได้ให้คำตอบว่า “มันเป็นความรู้สึกเหมือนการที่เราไปที่ไหนสักที่ แล้วเรารู้สึกว่าเรามีอยู่ หรือได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน ซึ่งมันมีความรู้สึกอย่างนี้ตั้งแต่วันแรก เราไม่มีทางรู้ว่าเมื่อรวมตัวกันแล้วมันจะออกมาเป็นยังไง แต่ที่รู้คือเราต้องการแค่จะทำดนตรีที่เกี่ยวกับความรัก มีบรรยากาศดีๆ ให้พลังงานดีๆ และเป็นบรรยากาศที่บริสุทธิ์ คุณจะรู้สึกได้เมื่อได้อยู่ตรงนั้น มันทำให้เรามีชีวิตชีวามากขึ้น เพราะบางครั้งในอุตสาหกรรมเพลงก็ให้ความรู้สึกนี้ไม่ได้ คุณจะรู้สึกถึงความสงบและความบริสุทธิ์เหมือนตอนวันแรกเลย”

ปัจจุบันในปี 2020 ซันเดย์ เซอร์วิส ที่เวสต์ดูแลนั้นยังคงดำเนินไปตามปกติ พวกเขายังคงขับขานบทเพลงต่อพระเจ้าอยู่ทุกอาทิตย์ ที่มากกว่านั้นคือพวกเขาตั้งใจที่จะออกจากคอมฟอร์ตโซนที่จะติดอยู่แค่ในประเทศอเมริกา และเริ่มออกทัวร์ไปยังต่างประเทศบ้าง ซึ่งวางเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นยุโรป หรือแอฟริกา และมีข่าวว่าเขากำลังวางแผนที่จะทำอัลบั้มใหม่เป็นกอสเปลอีก 

ครั้งหนึ่งในรายการ My Next Guest Needs No Introduction ของเดวิด เลตเทอร์แมน เขาถามเวสต์เกี่ยวกับการมีอยู่ของซันเดย์ เซอร์วิสว่า “แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่สิ่งที่คุณทำจะถือว่าสำเร็จ” และคำตอบที่ได้ก็คือ “ตอนที่โลกสงบสุข” 

ดูเหมือนว่าเวสต์นั้นมุ่งมั่นกับตัวตนใหม่ของเขาเป็นอย่างมาก เขามีเป้าหมายใหม่ สีหน้าของเขาดูแตกต่างจากคานเย เวสต์คนเก่าที่หลายคนต่างเคยเบือนหน้าหนี เขาดูสดใสขึ้น พูดจาเป็นมิตรและสุภาพลงอย่างเห็นได้ ไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อถึงเรื่องศาสนาก็ตาม แต่พลังแห่งความศรัทธาทำให้เขาเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นเวสต์คนปัจจุบันไปเรียบร้อยแล้ว

 

ที่มา:
https://www.thefader.com/2019/09/24/a-history-of-sunday-service-kanye-west
https://www.complex.com/music/2019/04/kanye-west-sunday-service-timeline/january-6
https://www.gq.com/story/kanye-west-sunday-services
https://www.rollingstone.com/music/music-features/kanye-west-jesus-is-king-jason-white-choir-905199/
https://consequenceofsound.net/2019/10/kanye-west-zane-lowe-interview/
https://jammcard.com/kanye-wests-sunday-session-the-band-the-choir-the-power/