กระบอกปืนส่องประกายไฟสว่างวาบจากริมรั้วฝั่งสนามหลวง ส่งเสียงคำรามผ่านหัวเธอไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอก้มตัวคุดคู้อยู่ด้านหลังอาคารหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พลางสอดสายตาหาช่องทางหลบหนี ก่อนที่จะจำนนในสภาพการณ์ที่ว่าธรรมศาสตร์โดนล้อมไว้หมดแล้ว’ 

ผ่านไปราวสองชั่วโมง เสียงปืนยังคงกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง เธอเหลือบเห็นนักศึกษาอาชีวะคนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าเธอไป ทันใดนั้น ลูกกระสุนเจาะผ่านร่างนั้นที่ลำตัว หัวไหล่ และนัดสุดท้ายที่ศีรษะ หนุ่มอาชีวะทิ้งร่างไร้วิญญาณลงข้างเธอ ตาเหลือกขาวจ้องมองเธอคล้ายอยากถามว่าทำไม?’ 

เธอกรีดร้องเสียงดังและยาวนานยาวนานเพียงพอที่เธอจะได้ยินเสียงปืนนัดสุดท้ายดังขึ้นข้างใบหู

เรื่องเล่าข้างต้นอาจเป็นเสมือนภาพจำลองหนึ่งของเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 แต่ท่ามกลางวันเวลาที่ล่วงผ่านมา 43 ปี สังคมไทยไม่เคยรู้แน่ชัดว่า เช้านองเลือดวันนั้น ความเกลียดชังพรากชีวิตคนไปกี่คน แม้กระทั่งร่างไร้วิญญาณที่ถูกแขวนคอ ถูกทุบตี คือร่างของใครบ้าง และเราอาจไม่เคยใส่ใจด้วยซ้ำว่า มันฝากบาดแผลฉกรรจ์ไว้ในความรู้สึกของผู้สูญเสียมากขนาดไหน และทิ้งมรดกอะไรไว้บ้างให้กับสังคมและการเมืองไทยในปัจจุบัน

เราเชื่อกันมาตลอด 40 ปีว่าคนที่ถูกแขวนคอมีแค่คนเดียว แต่ช่วงปี 2559 เราค้นพบเพิ่มว่า อาจจะมีอย่างน้อย 5 คนนี่คือคำบอกเล่าของ รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหนึ่งในผู้ริเริ่มโครงการบันทึก 6 ตุลาการทำงานของกลุ่มนักวิจัยที่พยายามปะติดปะต่อเศษเสี้ยวความทรงจำของเหตุการณ์ในเช้าวันที่ 6 ตุลาฯ 2519 เพื่อให้สังคมไทยเลิกปิดหูปิดตา และหันมายอมรับความจริงพร้อมเรียนรู้บทเรียนจากความสูญเสียในครั้งนั้นเสียที

อะไรคือจุดเริ่มต้นของโครงการบันทึก 6 ตุลา

เราต้องการให้มันเป็นสถานที่รวบรวมข้อมูล เอกสาร หลักฐานที่เกี่ยวกับ 6 ตุลา โดยนำข้อมูลเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังคมไทยเริ่มพูดถึง 6 ตุลามากขึ้น แต่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังมีไม่มาก ถ้าดูคนที่ทำวิจัยเกี่ยวกับ 6 ตุลาอย่างต่อเนื่องยาวนานจริงๆ อาจจะมีแค่คนเดียวคือ ศาสตราจารย์ธงชัย วินิจจะกูล

ในความเป็นจริงเราพบว่ายังมีข้อมูลอีกหลายประการเกี่ยวกับ 6 ตุลาที่ยังไม่มีคำตอบ ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นข้อมูลพื้นฐาน เช่น เราเชื่อกันมาตลอด 40 ปีว่าคนที่ถูกแขวนคอที่สนามหลวงมีแค่คนเดียว แต่ช่วงปี 2559 เราค้นพบเพิ่มว่าอาจจะมีอย่างน้อย 5 คน ผู้ชายที่ถูกแขวนคอในรูปที่ได้รางวัลพูลิตเซอร์จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร และยังมีอีกหลายคนที่เรายังไม่รู้ว่าเขาคือใคร มาจากไหนกันบ้าง ทั้งที่มันคือข้อมูลพื้นฐานที่เราควรจะรู้มาตั้งนานแล้ว แสดงว่าที่ผ่านมาเราพูดถึง 6 ตุลา แต่เราละเลยที่จะศึกษา และทำความเข้าใจมันจริงๆ

ดังนั้น เราจึงตั้งศูนย์บันทึกข้อมูล 6 ตุลา เพื่อให้คนหันมาสนใจและศึกษาค้นคว้าข้อมูลมากขึ้น ดิฉันคิดว่า ถ้าศึกษาเรื่อง 6 ตุลาอย่างลึกซึ้ง น่าจะทำให้เราเข้าใจสังคมไทยในมิติที่เรามองข้าม และมอบบทเรียนหลายอย่างให้สังคมไทยได้อีกมาก

 

สังคมไทยควรได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 บ้าง

14 ตุลาคม 2516 ถูกเรียกว่าเป็นชัยชนะของภาคประชาชน ซึ่งทำให้ภาคประชาชนเข้ามาในพื้นที่ทางการเมืองมากขึ้น แต่ 6 ตุลา 2519 คือความพ่ายแพ้ของขบวนการประชาธิปไตยที่จบลงด้วยความรุนแรงและกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่อาจารย์ธงชัยบอกว่าลืมไม่ได้ จำไม่ลง’ 

เราปฎิเสธไม่ได้ว่า 6 ตุลาเคยเกิดขึ้น แต่สังคมไทยกลับไม่อยากพูดถึงมัน หรือพูดแบบขอผ่านไปที เช่น ในหนังสือเรียนก็จะไม่พูดถึงเหตุการณ์นี้ เพราะมันเป็นสภาวะที่สร้างความอิหลักอิเหลื่อให้กับผู้มีอำนาจหรือสถาบันทางอำนาจที่เคยเกี่ยวข้องกับ 6 ตุลา เช่น กองทัพ หรือ กอ.รมน. (กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร) ซึ่งต่างยังมีอำนาจมาถึงปัจจุบัน และย่อมไม่อยากให้สังคมมองว่ามีส่วนในการใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์

การไม่พูดถึงมันอย่างตรงไปตรงมาแสดงว่ามันมีหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ หรือมีบางอย่างที่มันน่ารังเกียจจนไม่อยากพูดถึง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันท้าทายต่อสังคมไทยว่าสิ่งที่ไม่อยากพูดถึงคืออะไร และถึงเวลาที่เราควรจะพูดถึงมันอย่างตรงไปตรงมาหรือยัง เพื่อทำให้เราเข้าใจถึงกลุ่มที่มีอำนาจในสังคมมากขึ้น และยังป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีก

มันมีหลายบทเรียนจากเหตุการณ์ 6 ตุลา หนึ่งในนั้นคือเรื่องความรุนแรงเราเห็นภาพจำนวนมากที่บ่งบอกถึงการทำร้ายศพ ศพของผู้เสียชีวิตถูกมวลชนที่บ้าคลั่งรุมทำร้าย เช่น แขวนคอ เก้าอี้ฟาด ไม้ฟาด เตะ ถีบ หรือบางคนถูกกรีดตลอดทั้งหน้าอกและใบหน้า ผู้หญิงคนหนึ่งถูกยิงด้วยกระสุนสามนัด ยังถูกเอาไปเปลือยอนาจาร มันสะท้อนถึงความป่าเถื่อนอย่างมาก 

การทำร้ายศพต่อหน้าคนจำนวนมาก แสดงว่าต้องมีความเกลียดชังอย่างสูง จึงมีคำถามว่าอะไรที่ทำให้คนไทยในตอนนั้นเกลียดชังนักศึกษามากขนาดนั้น ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไป คนเหล่านั้นยังเป็นเด็ก เป็นเยาวชนอายุ 18 – 22 ปี ทำไมถึงกลายเป็นเหยื่อของความเกลียดชังได้ขนาดนี้ คำตอบที่เราได้ในปัจจุบัน คือมันเกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อของขบวนการขวาพิฆาตซ้ายที่ทำให้นักศึกษาปัญญาชนไม่ได้เป็นนักศึกษาในสายตาเพื่อนร่วมชาติอีกต่อไป

การไม่พูดถึงมันอย่างตรงไปตรงมาแสดงว่ามันมีหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ หรือมีบางอย่างที่มันน่ารังเกียจจนไม่อยากพูดถึง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันท้าทายต่อสังคมไทยว่าสิ่งที่ไม่อยากพูดถึงคืออะไร และถึงเวลาที่เราควรจะพูดถึงมันอย่างตรงไปตรงมาหรือยัง

การโฆษณาชวนเชื่อของรัฐในยุคนั้น เป็นอย่างไรบ้าง

ถ้าไปดูหนังสือพิมพ์หลายฉบับก็มักจะมีข่าวเรื่องเวียดนามบุกไทย และนักศึกษาเป็นสมุนของเวียดนามที่ต้องการให้เวียดนามเข้ามายึดครองประเทศไทย หรือข่าวอย่างเวียดนามแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับอยู่ในมหาวิทยาลัย ตลอดจนข่าวที่ตีโพยว่า เวียดนามเป็นพวกป่าเถื่อนกินหมา นอกจากนี้ สื่อมวลชนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพในขณะนั้น เช่น วิทยุ หรือโทรทัศน์ ก็พยายามจะรณรงค์ให้เกิดความเกลียดชังอยู่ตลอดเวลา

อยากให้เล่าถึงความรู้สึกของญาติผู้เสียชีวิตหรือผู้สูญหายไป ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 6 ตุลา 

มันเริ่มจากตอนที่เราเตรียมทำภาพยนต์สารคดีเรื่อง “Respectfully Yours (ด้วยความนับถือ)” เราต้องการให้ภาพยนต์เรื่องนี้บอกเล่าถึงตัวตนผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 6 ตุลา เพราะตลอด 40 ปีที่เรารำลึกถึงเหตุการณ์ เราพูดถึงและรู้จักผู้เสียชีวิตในฐานะปัจเจกชนน้อยมาก เราเลยต้องการจะทำหนังที่บอกเล่าว่าก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาเป็นอย่างไร เขาเป็นใครในครอบครัวของเขา ครอบครัวเขามีความหวังกับเขาอย่างไร และมันเกิดผลกระทบอย่างไรกับครอบครัวเขาหลังที่เขาเสียชีวิต 

เพราะเราเชื่อว่า การที่จะทำให้คนในสังคมไทยเคารพในสิทธิในชีวิตของคนอื่น คุณต้องทำให้สังคมมองผู้สูญเสียเป็นปัจเจกชนที่มีคุณค่า และการสูญเสียเขาไปมันสร้างบาดแผลให้กับคนรอบข้างอย่างไรบ้าง 

ตอนที่เราไปตามหาญาติหรือเพื่อนสนิท บางคนเขาก็เต็มใจคุยกับเรา อย่างกรณีคุณชุมพล ทุมไมย พี่ชายของคุณชุมพร ทุมไมย ช่างไฟฟ้าที่เสียชีวิตและถูกแขวนคอที่ประตูแดงที่นครปฐมก่อนหน้า 6 ตุลา ตอนโทรไปเขาก็ร้องไห้ใหญ่เลย เขาบอกว่า 40 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครมาติดตามหาเขา และเขายินดีอย่างมากที่เราจะไปสัมภาษณ์ เขาไม่กลัว เขาพูดด้วยความรู้สึกคับแค้นว่า เขาสูญเสียน้องชายไปโดยไร้ซึ่งความยุติธรรม ทุกวันนี้เวลาพูดถึงน้องชาย เขาก็ยังร้องไห้อยู่

มีบางคนที่เราไปสัมภาษณ์ในปี 2559 และหลังจากนั้นสองวันก็โทรมาบอกว่าขออย่าให้เปิดเผยหน้าได้ไหม เพราะเขากลัว เขารู้ว่าสังคมอยู่ภายใต้บรรยากาศที่ทหารมีอำนาจ เขาโยงไม่ได้หรอกว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เกี่ยวข้องอย่างไรกับ 6 ตุลา แต่เขารู้สึกว่ามันมีความต่อเนื่องบางอย่างอยู่ แต่ก็มีบางคนที่ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ เขาบอกว่าสัมภาษณ์ไปก็ไม่เห็นจะได้อะไรขึ้นมา เขาไม่เชื่อว่าเขาจะได้รับความยุติธรรม และเขาก็ไม่อยากจะเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้ 

เราเชื่อว่าการที่จะทำให้คนในสังคมไทยเคารพในสิทธิในชีวิตของคนอื่น คุณต้องทำให้สังคมมองผู้สูญเสียเป็นปัจเจกชนที่มีคุณค่า และการสูญเสียเขาไปมันสร้างบาดแผลให้กับคนรอบข้างอย่างไรบ้าง 

เมื่อหวนกลับไปมอง 6 ตุลา 2519 มาจนถึง 6 ตุลา 2562 อาจารย์มองว่าบริบททางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมของไทย ก้าวหน้าหรือถอยหลังอย่างไรบ้าง

ทั้งสองช่วงเวลา มีบรรยากาศของความเกลียดชังรุนแรงพอกัน เพียงแต่ว่าในสมัยนี้ ทุกฝ่ายมีสื่อไว้ใช้เกทับกันและกัน และต่างฝ่ายต่างก็มีฐานสนับสนุนจำนวนมากเหมือนกัน ตัวอย่างกรณี การปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดงโดยภาครัฐช่วงพฤษภา 2553 ไม่ได้เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่มาจากแรงกดดันของชนชั้นกลางขณะนั้นที่เปิดไฟเขียวให้กับรัฐบาล 

ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ขณะนั้น มองคนเสื้อแดงว่าเป็นพวกบ้านนอก ไร้การศึกษา แม้กระทั่งมองเป็นเชื้อโรคด้วยซ้ำ พวกเขามองว่าคนเสื้อแดงเป็นตัวกำหนดทิศทางการเมืองของไทย ทำให้ชนชั้นกลางที่มีการศึกษาที่เกลียดทักษิณ พลอยเกลียดคนเสื้อแดงไปด้วย

ในแง่สิทธิเสรีภาพ มีหลายเรื่องที่ดิฉันคิดว่าไม่เปลื่ยนแปลง เช่น กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ยังดำรงอยู่ และถูกใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานคนที่คิดต่างทางการเมือง ในแง่ของเสรีภาพของสื่อก็มี ขึ้นลง ถ้าอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน สื่อก็จะค่อนข้างมีเสรีภาพมาก แต่ถ้าอยู่ภายใต้รัฐบาลทหาร สื่อมวลชนก็จะไม่กล้าวิจารณ์รัฐบาลทหารมากขนาดนั้น แม้กระทั่งสื่อที่บอกว่ากล้าตรวจสอบการคอร์รัปชัน พอถึงรัฐบาลทหารก็จะเห็นว่าความกล้านั้นลดลงไปมาก 

เราจะเห็นว่าภายหลังการรัฐประหาร 2557 วัฒนธรรมการเมืองของไทยถอยหลังลงไปเยอะ มีความอนุรักษ์นิยมขึ้นมากในทุกระดับรวมถึงแวดวงการศึกษามีการใช้ความรุนแรงระหว่างครูและนักเรียนมากขึ้น ทั้งที่ ช่วงคุณจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ก็เริ่มมีการให้สิทธิเสรีภาพนักเรียนมากขึ้น เช่น ยกเลิกบังคับตัดผม อย่างในมหาวิทยาลัย ทุกวันนี้การบังคับใส่เครื่องแบบนักศึกษาหรือพิธีกรรมต่างๆ ของมหาวิทยาลัยก็กลับมาเป็นเรื่องสำคัญและเคร่งครัดมากขึ้น

นโยบายของรัฐบาลทหารก็มีส่วน เช่น การสนับสุนนให้คนแต่งชุดไทย สนับสนุนความเป็นไทย ต่อต้านค่านิยมตะวันตก หรือเรื่องค่านิยม 12 ประการ ซึ่งเป็นค่านิยที่อนุรักษนิยมมากและไม่ทันโลก ซึ่งคนบางกลุ่มที่อยู่ในสถาบันการศึกษาก็ชอบตรงนี้ ทำให้บรรยากาศโดยรวมมีความอนุรักษนิยมมากขึ้น 

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย อาทิ 84 ที่นั่งของพรรคอนาคตใหม่ หรือกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในโซเชียล มีเดีย ถือเป็นตัวสะท้อนว่าคนรุ่นใหม่มีความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้นไหม

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เยาวชนมีความตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น ดิฉันคิดว่าปัจจัยอย่างหนึ่งคือ พล..ประยุทธ์ จันทรโอชา ที่ทำให้คนรุ่นใหม่เห็นว่าเราอยู่ภายใต้ระบอบการทหารมันไม่มีอนาคต ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่า ภายใต้เศรษฐกิจแบบนี้ การที่เรามีผู้นำไม่ทันโลกคงนำประเทศชาติไปไม่ถึงไหน แต่ยังถือว่าช้า เพราะเรามีรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 ผ่านมา 13 ปี นักศึกษายังไม่สามารถสร้างขบวนการที่เข้มแข็งได้เลย ซึ่งแย่กว่าช่วงก่อน 14 ตุลา 2516 ถ้าไปอ่านงานของ ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการก่อกำเนิดของขบวนการนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ช่วงนั้นคึกคักกว่านักศึกษาในสมัยนี้เสียอีก 

ถ้าถามว่าจะเห็นคนรุ่นใหม่มารวมตัวเป็นพลังแบบฮ่องกงไหม ยังไม่เห็นความโกรธ หรือความกระตืนรือร้นอันแรงกล้าขนาดนั้น มันอาจต้องใช้เวลา และอาจเป็นไปได้ในสามสี่ปีข้างหน้า แต่หวังว่าความรู้สึกนี้จะยังไม่หายไป

อาจารย์คิดว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้วัฒนธรรมการเมืองของประเทศเราถอยหลังได้ถึงขนาดนี้

ดิฉันคิดว่าสำหรับคนรุ่นใหม่ สาเหตุหนึ่งมาจากความกลัว เขาคงเห็นว่าการลุกขึ้นมาประท้วง มันมีการบาดเจ็บ เสียชีวิต แต่ท้ายที่สุดกลับไม่ได้อะไร คนตายไม่สามารถมาเฉลิมฉลองชัยชนะอะไรได้ ทำให้ไม่มีใครอยากเสี่ยง หรืออาจไม่ถึงขึ้นกลัวการบาดเจ็บ เสียชีวิต แต่กลัวเรื่องหน้าที่การงานในอนาคต คนรุ่นใหม่คงเห็นว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จในอาชีพ เช่น เข้ารับราชการหรือทำงานในบริษัทขนาดใหญ่ จำเป็นต้องมีจุดยืนทางการเมืองแบบไหนถึงจะอยู่ได้ อย่างเวลาไปสมัครงาน ถ้าเขาพบว่าเคยโพสต์ในอะไรเฟซบุ๊ก เคยเป็นคนหัวรุนแรง ก็จะเข้าไปทำงานได้ยาก เพราะฉะนั้นเด็กรุ่นใหม่อาจคิดว่าเขาน่าจะมีโอกาสชีวิตที่ดีกว่า ถ้าเขาไม่เอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงกับการเมือง

แต่หากถามว่า อะไรที่ทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่ขี้กลัวดิฉันคิดว่ามีสองสาเหตุ ประการแรก เพื่อนนักข่าวต่างชาติที่เคยอยู่ภูมิภาคนี้ของดิฉันเคยตั้งข้อสังเกตว่าคนไทยยอมรับอำนาจรัฐสูงมาก’ เมื่อเทียบกับประชาชนในประเทศอื่นของเอเชีย ยกตัวอย่างที่เราได้ยินกันบ่อยๆ คือต้องยอมรับตามคำพิพากษาของศาลทั้งที่ในความเป็นจริงควรตั้งคำถามได้ว่า กฏหมายหรือคำตัดสินมันแฟร์หรือเปล่า เช่น กรณีตำรวจวิสามัญฆาตกรรมประชาชน ซึ่งโดยทั่วไป ตำรวจที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกไต่สวนว่า การวิสามัญนั้นมันชอบธรรมหรือไม่ แต่ในบ้านเราทำกันจนเป็นเรื่องปกติ จนไม่มีการตั้งคำถามว่าถูกหรือผิด เราเคยชินกับความเชื่อว่า ถ้าให้อำนาจที่เด็ดขาดแก่รัฐ สังคมจะมีความสงบเรียบร้อย อันนี้เป็นเหตุผลหนึ่งในการสนับสนุนรัฐประหาร

สอง เป็นผลพวงของวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดประสบการณ์ที่ประชาชนถูกปราบปรามหลายครั้ง ทั้งในช่วง 14 ตุลา, 6 ตุลา, พฤษภา 35 (ล้มรัฐบาลของพล..สุจินดา คราประยูร), พฤษภา 53 (การสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์) ไม่มีครั้งไหนเลยที่ภาครัฐสามารถเอาคนที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงนั้นมาลงโทษได้ แล้วใครล่ะ อยากจะเสี่ยงชีวิตของตัวเอง

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ภาครัฐไม่เคยมีความพยายามอย่างจริงจังที่จะนำตัวผู้ใช้ความรุนแรงกับประชาชนมาลงโทษ แม้กระทั่งตอนพฤษภาคม 35 ที่ประชาชนเป็นฝ่ายชนะและทำให้รัฐบาลของพล..สุจินดา คราประยูร ต้องลงจากอำนาจ ก็ยังไม่มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะเอาคนที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดี ก็เลิกกันไป นิรโทษกรรมกันไป เพราะว่ามีคนจำนวนไม่น้อยในสังคมที่บอกว่า ถ้าไปเอาผิดเขาแล้วมันจะก่อให้เกิดความไม่พอใจ เขาอาจจะตีโต้กลับมาแล้วมันอาจจะยิ่งทำให้โอกาสที่จะพัฒนาประชาธิปไตยชะงักงัน

สอง เป็นผลพวงของวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดประสบการณ์ที่ประชาชนถูกปราบปรามหลายครั้ง ทั้งในช่วง 14 ตุลา, 6 ตุลา, พฤษภา 35 , พฤษภา 53 ไม่มีครั้งไหนเลยที่ภาครัฐสามารถเอาคนที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงนั้นมาลงโทษได้ แล้วใครล่ะ อยากจะเสี่ยงชีวิตของตัวเอง

คิดว่าในอนาคต มีโอกาสที่ประชาชนจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมเหล่านี้อีกครั้งไหม  

คิดว่ามีโอกาส เพราะฝ่ายที่มีอำนาจตั้งแต่ปี 2557 เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมประนีประนอมทางอำนาจ ไม่ให้พื้นที่กับฝ่ายประชาชน และไม่ฟังเสียงความไม่พอใจของประชาชน รวมถึงตอนนี้ เขามั่นใจในอำนาจของเขามากว่า สามารถควบคุมกลไกของรัฐได้ทั้งหมด จนไม่ต้องสนใจประชาชน

ความไม่แยแสเหล่านั้น แสดงออกมาในเรื่องการถวายสัตย์ ไม่ยอมตอบคำถามในสภา รวมถึงกรณีคุณสมบัติของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า พวกเขาไม่สนใจว่าประชาชนจะรู้สึกอย่างไร พวกเขาพูดเรื่องความโปร่งใส และคนดี แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นอีกแบบหนึ่ง แม้กระทั่งการเกรี้ยวกราดใส่ประชาชนหรือสื่อมวลชนช่วงน้ำท่วม ก็เป็นตัวอย่างของการมั่นใจในอำนาจของตัวเองจนไม่แยแสว่าใครจะรู้สึกอย่างไร 

ในแง่ฝ่ายตุลาการ หลายคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาก็ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่สามารถพึ่งพิงกระบวนการยุติธรรมได้ ยิ่งเป็นการผลักให้ประชาชนจนตรอกด้วยความรู้สึกคับแค้น แต่ก็บอกไม่ได้ว่าความแค้นนี้จะระเบิดออกมาเมื่อไร เพราะว่าประชาชนก็ไม่อยากเสี่ยงชีวิตตัวเองเหมือนกัน แต่ความคับแค้นก็เหมือนหม้อเดือดที่ถูกฝาปิด ยิ่งปล่อยไว้นานวัน ยิ่งไม่มีใครรับรองได้ว่าจะไม่ระเบิดออกมา 

หากไม่ต้องการให้สังคมไทยเดินหน้าสู่ความรุนแรง ฝ่ายชนชั้นนำต้องยอมที่จะรับฟังเสียงประชาชน ยอมที่จะถอยทางการเมือง เปิดพื้นที่ให้ฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ใช่ว่ากลัวเสียจนไม่ยอมประนีประนอม เช่น กรณีของคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ไม่มีสิทธิ์เข้าสภา แม้จะได้รับเสียงเลือกตั้งอย่างมหาศาลก็ตาม

ก่อนหน้านี้ อำนาจของฝ่ายขวาคืออำนาจในการให้คุณโทษ โดยใช้พระเดชพระคุณ ความรักความกลัว ควบคู่กันไป ซึ่งอิทธิพลของความรักได้กลายเป็นอุดมการณ์หลักของชาติ แต่ในตอนนี้ ความรักมันลดลงเรื่อยๆ เหลือแต่ความกลัว และอาจจะลดลงอีกใน 5 ปีข้างหน้า เมื่อคนรุ่นใหม่ไม่มีความรู้สึกร่วมเหมือนเดิมอีกแล้ว และถ้าเศรษฐกิจยิ่งแย่ลง และทำให้คนรุ่นใหม่ที่กำลังจะขึ้นมาตกงาน พวกเขาอาจจะไม่ทนก็ได้

ความไม่แยแสเหล่านั้น แสดงออกมาในเรื่องการถวายสัตย์ ไม่ยอมตอบคำถามในสภา รวมถึงกรณีคุณสมบัติของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า พวกเขาไม่สนใจว่าประชาชนจะรู้สึกอย่างไร พวกเขาพูดเรื่องความโปร่งใส และคนดี แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นอีกแบบหนึ่ง

ถ้าอย่างนั้นจะพูดได้ไหมว่า ถึงแม้จะมีการเลือกตั้งไปแล้ว แต่มันไม่ได้ช่วยลดบรรยากาศของความรุนแรงลงเลย

ถึงแม้เราจะมีการเลือกตั้ง แต่บรรยากาศของการกดปราบสิทธิของประชาชนยังอยู่ ไม่ได้หมายความว่าประชาธิปไตยนำไปสู่ความรุนแรง เพราะเรายังไม่ได้เกิดประชาธิปไตยจริงๆ หลังการเลือกตั้ง เราจะเห็นว่าตั้งแต่การจัดการเลือกตั้งหรือการเขียนรัฐธรรมนูญ มันไม่แฟร์ตลอดเวลา เขาจัดการเลือกตั้งไม่ใช่เพราะต้องการให้เกิดประชาธิปไตย แต่เขาหวังใช้การเลือกตั้งมาเป็นสิทธิรองรับอำนาจ ฉะนั้นการเลือกตั้งที่จัดมาเราจะเห็นชัดเจนว่าไม่มีใครกล้าพูดว่าบริสุทธิ์และยุติธรรม 

ดังนั้น ถ้าบอกว่าประชาธิปไตยนำไปสู่ความรุนแรง มันเป็นตรรกะวิบัติ เพราะมันไม่ได้เกิดประชาธิปไตย และพวกเขาก็ไม่ได้ต้องการให้มันเกิดขึ้นจริงๆ เขาหวังเพียงที่จะใช้วิธีการทางประชาธิปไตย ใช้เพียงรูปแบบของประชาธิปไตยมารองรับอำนาจให้ยืดออกไป ดังนั้น มันจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงในเชิงสาระ กลุ่มที่มีอำนาจก่อนการเลือกตั้งก็ยังมีอยู่ในปัจจุบัน ถึงแม้ไม่มีมาตรา 44 แต่เชื่อว่าจะยังมีการส่งทหารไปเยี่ยมบ้าน ข่มขู่ คุกคาม คนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐประหารอยู่ 

ในมุมมองของอาจารย์ ความรุนแรงจำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองไหม

การประนีประนอมต้องเกิดจากการตกลงของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ดิฉันคิดว่า ฝ่ายประชาชนยอมที่จะประนีประนอม ถ้าขอไป 10 ให้มา 5 ก็ยังถือว่าดี ค่อยๆ สู้กันไป ค่อยๆ ว่ากันไป เพราะฝ่ายประชาชนไม่ค่อยมีอำนาจต่อรองเท่าไร เราไม่มีอาวุธ เราสู้เราก็เจ็บตัวมากกว่า แต่ฝ่ายผู้มีอำนาจต่างหาก ที่ขอไป 10 ยังไม่ให้ แถมยังตอบโต้ด้วยความรุนแรง ตอบโต้ด้วยการปราบปรามกดขี่ฝ่ายประชาชน

มีความหวังว่าสังคมจะได้รับอะไรบ้างจากโครงการบันทึก 6 ตุลา

เราจะเห็นว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่หันมาสนใจเรื่อง 6 ตุลาเยอะ โดยเฉพาะปรากฏการมิวสิควิดีโอประเทศกูมีที่ทำให้เขาอยากจะรู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นมันคืออะไร ก่อนหน้านี้ รูปเหตุการณ์ 6 ตุลา อย่างเช่น รูปที่คนถูกแขวนคอและฟาด ถ้าเอาให้ใครดู เขาจะไม่เชื่อว่าเกิดขึ้นในเมืองไทย เขาจะบอกว่าเป็นหนังฮอลลีวู้ดหรือเปล่า เกิดขึ้นในเขมรหรือเปล่า เขาไม่เชื่อว่าคนไทยจะทำอะไรแบบนี้กันได้

แต่ในปัจจุบัน เราเริ่มเห็นแล้วว่าสังคมไทยมีศักยภาพที่จะใช้ความรุนแรงต่อกันขนาดไหน และมันได้ทำลายภาพมายาคติที่คนไทยเชื่อว่า เราเป็นสังคมพุทธ เราไม่ทำร้ายกัน เรารักกัน ซึ่งดิฉันคิดว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความรุนแรงเกิดขึ้นรายวัน คนตีกัน ยิงกัน เจ้าหน้าที่รัฐพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงกับประชาชน แม้กระทั่งขับรถ เราก็ยังไม่คำนึงถึงชีวิตของกันและกัน ซึ่งตราบเท่าที่สังคมไทยยังเชื่อในมายาคติเหล่านี้ เราจะมองข้ามความรุนแรงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และจะไม่เห็นความสำคัญของการที่จะต้องแก้และป้องกันปัญหานี้

โครงการบันทึก 6 ตุลา เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่จะตอกย้ำให้สังคมเห็นว่าจริงๆ แล้วสังคมนี้มันเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความรุนแรง แต่อย่างว่าเราก็ตระหนักว่า เราก็เป็นแค่เสียงส่วนน้อย เสียงที่เราพูด ข้อมูลที่เราสื่อ ดิฉันไม่แน่ใจว่าจะมีถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ไหมที่จะได้รับสารจากเรา

Fact Box

  • โครงการบันทึก 6 ตุลา เป็นความพยายามรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 มาไว้ในแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น ภาพหลักฐาน ผู้เสียชีวิต-สูญเสีย ตลอดจนองค์ความรู้ที่สังคมไทยควรได้รับ ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมไทยหันมาตระหนักและถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าว มากกว่าถูกกลบฝังให้ลืมตามความพยายามของรัฐ
  • ในวันที่ 5-6 ตุลาคม 2562 โครงการบันทึก 6 ตุลา ร่วมกับคณะศิลปศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานเสวนาวัตถุพยานกับความทรงจำในโอกาสเปิดนิทรรศการประจักษ์ I พยานที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างเวลา 10.00-20.00 .โดยจะมีทั้งวิทยากร ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง และนักวิชาการ ร่วมกันเสวนาในประเด็นนี้ พร้อมนำหลักฐานที่โครงการเก็บไว้ออกมาจัดแสดง
Tags: , , , ,