นับจากปี 2557 ที่ ‘อิมเมจ’ – สุธิตา ชนะชัยสุวรรณ ขึ้นเวทีประกวดร้องเพลงในรายการ The Voice ซีซัน 3 และได้รางวัลรองชนะเลิศมาครอง จนวันที่ล่วงเข้าสู่วัย 23 ปี หลายสิ่งในตัวเธอเปลี่ยนแปลงไป ทั้งมุมมอง ความคิดต่อตนเองและสิ่งรอบข้าง

ไม่ใช่แค่เรื่อง ‘ภายนอก’ อย่างการเป็นศิลปิน แต่รวมถึงเรื่อง ‘ภายใน’ มุมมอง ความคิด ทั้งกับตัวเองและสิ่งรอบข้าง ที่เติบโตขึ้นตามจำนวนเลขอายุที่เพิ่มขึ้น จากเด็กสาวสวมแว่นหน้าตาน่ารักที่ผู้คนจดจำสู่หญิงสาวที่แย้มบานสะพรั่ง ช่วงเวลาที่ผ่านมา หลากหลายประสบการณ์ของเธอถูกกลั่นเป็นผลงานเพลง รวมถึงช่วงชีวิตล่าสุดกับการเป็นศิลปินในยุคแห่งโรคระบาดนี้

หลังผ่านระยะเวลาของการต้องหมกตัวอยู่แต่ในบ้านตามมาตรการล็อกดาวน์ช่วงปีที่ผ่านมา อิมเมจได้โฟกัสกับการเขียนเพลงอย่างเต็มที่ จนออกมาเป็นซิงเกิลล่าสุดที่ชื่อ ‘ไม่มี’ ซึ่งมาจากประโยคในบทสนทนาระหว่างเธอกับเพื่อนที่ว่า ‘ไม่มีอาจดีกว่าเคยได้มี’ ก่อนนำมาถูกขยายเรื่องราวต่อ และนับเป็นเพลงที่เศร้าที่สุดในชีวิตของเธอ

หากใครติดตามอิมเมจอยู่ น่าจะพอทราบว่า เธอเคยผ่านบททดสอบที่หนักหนาจากสังคมมาแล้ว ทว่า นั่นเป็นเพียงมุมมองของหญิงสาวคนหนึ่งที่พึงมีได้ในสังคมที่เรียกตัวเองว่า ประชาธิปไตย และสิ่งนั้นเองทำให้บางขณะเธอก็ดูโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เห็นภายนอก ทั้งในแง่ของความคิดและคำพูด 

แม้จะเป็นศิลปินที่มีคนติดตามจำนวนมาก อายุยังน้อย และยังมีเวลายาวไกลในการเผชิญหน้ากับความโลดโผนของชีวิต แต่ด้วยวัย 23 ปี อิมเมจกลับพยายามแสวงหาความสงบและความสบายใจ อันเป็นเป้าหมายในชีวิต มากกว่าแสวงหาความสนุกตื่นเต้นที่เธอมองว่าเป็นเพียงความฉาบฉวยเท่านั้น

“เรารู้สึกว่าความสนุกมันอยู่ไม่นาน ความสนุกมันแค่วูบวาบ แล้วเราไม่ชอบความวูบวาบนั้น เพราะมันไม่คงที่”

น่าสนใจอย่างยิ่งว่า เส้นทางข้างหน้าของศิลปินมากความสามารถคนนี้จะดำเนินไปยังจุดใด ในยุคที่ ‘ไม่มี’ อะไรง่ายดายเช่นนี้

ช่วงที่โควิด-19 ระบาดรอบก่อนที่ต้องมีการล็อกดาวน์ ชีวิตคุณเป็นอย่างไรบ้าง

เราว่ามันเหงานะ เพราะเป็นปีที่โควิดเริ่มระบาด งานก็ต้องแคนเซิล เพราะงานคอนเสิร์ตหรืองานแสดงต่างๆ คนจะมาเยอะ มันก็อันตราย เราก็เสี่ยง คนที่มาก็เสี่ยง ถือว่าเมกเซนส์ที่ควรต้องแคนเซิล 

ทีนี้พอไม่มีงานก็เหงาๆ แต่เราก็ได้โฟกัสกับการทำเพลงมากขึ้น ก็มีเพลงเตรียมไว้ปล่อยอยู่

หลายคนได้กิจกรรมใหม่ๆ เพิ่มจากการต้องอยู่แต่ในบ้าน คุณมีบ้างไหม

หลายคนทำอาหารใช่ไหม เราทำอาหารไม่เป็น แต่ที่บ้านก็ทำคุกกี้กับสโคนขาย เพราะคุณแม่ก็ว่าง เราก็ไปช่วยเขาบ้าง แล้วปกติเราชอบถ่ายรูป พอไม่ได้ออกไปไหน ไม่มีอะไรให้ถ่าย เลยปลูกต้นไม้ แล้วก็ถ่ายรูปต้นไม้ เราพยายามเพาะดอกทานตะวันอยู่ มันก็ขึ้นเป็นดอกทานตะวันแคระ แต่ขึ้นแล้วก็ตาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เพราะไม่เคยปลูกต้นไม้มาก่อน ก็ยังคงอยู่ในขั้นศึกษาอยู่

ตอนนี้มีต้นไม้เราที่ไปซื้อมาเลี้ยงต่อ แล้วก็มีที่ซื้อมาแล้วเอาไปปักชำเพาะเป็นอีกต้นหนึ่ง ช่วงนี้พยายามจะปลูกผักกินเองด้วย มีพริก กะเพรา แล้วก็ผักสลัด คือเป็นชาวสวนไปแล้ว (หัวเราะ)

การปลูกไม้เพาะชำสนุกอย่างไร

พอเราเพาะเอง เราเลยได้เห็นมันตั้งแต่เป็นเมล็ด เห็นการเจริญเติบโตในทุกวัน ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตนะ แล้วก็มีพลังงานของมัน เวลาอยู่ใกล้ๆ ได้ดูแล หรือบางทีก็คุยกับมัน มันก็รู้สึกดี แล้วเราชอบสีเขียว มองแล้วสบายใจดี 

ที่บอกว่าได้เก็บตัวทำเพลงช่วงล็อกดาวน์ พอไม่ได้ออกไปเจอผู้คน ไม่ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ คุณได้ไอเดียทำเพลงมาจากไหน

อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง คุยกับเพื่อน มันเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้อีกทางหนึ่ง เราแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักเขียนที่เขียนหนังสือออกมา กับนักแสดง ผู้กำกับ หรือทีมงาน ที่เขาทำหนังออกมา แล้วก็คุยกับเพื่อนเราที่เขาก็ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่างจากเรา มันก็ช่วยในการเขียนเพลงได้เหมือนกัน

ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ว่าต่อยอดมาเป็นเพลง ‘ไม่มี’ ซิงเกิลล่าสุดของคุณด้วยหรือเปล่า

ใช่ เพลง ‘ไม่มี’ ได้มาจากการที่เราคุยกับเพื่อนแล้วได้ประโยคหนึ่ง ซึ่งต่อยอดมาเป็นประโยคสำคัญในเพลง คือ “ไม่มีเลยอาจจะดีกว่าเคยได้มี” บางเพลงก็เริ่มจากแค่ประโยคเดียว แล้วเราก็เอาเรื่องราวอื่นๆ มาผสมกัน มาใส่ มาเติมแต่งเข้าไป

อารมณ์เพลง ‘ไม่มี’ เป็นอย่างไร

ถือเป็นเพลงเศร้าที่สุดที่เราเคยทำมาเลย ความจริงเรามีไดเรกชันสำหรับการทำเพลงอยู่ คือจะพยายามไม่ทำเพลงเศร้า เพราะเรารู้สึกว่า เวลาแต่งเพลงเศร้า เหมือนเราต้องอินไปกับมัน ถึงจะแต่งออกมาเป็นเพลงได้ มันก็จะทำให้เราเศร้าอยู่ช่วงหนึ่งที่เราคลุกคลีกับเพลงนั้น  เราเลยกลัวว่าจะติดความเศร้าโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ว่าจะทำเพลงหรือโปรเจ็กต์นั้นเสร็จไปแล้ว

อีกอย่างที่สำคัญมากคือ ไม่อยากให้คนฟังเพลงเราแล้วเศร้า เราอยากให้เป็นเพลงที่ถึงแม้เนื้อหาจะเศร้า แต่เราก็ไม่ทำให้มันดิ่ง อย่างเพลงก่อนหน้านี้ที่ชื่อว่า ‘เข้าใจ’ ก็เศร้านะ มันพูดถึงการที่เราเจอเหตุการณ์ไม่ดี แต่เราแค่บอกว่ามันเศร้าได้ และก็เข้าใจ มันยังเศร้าอยู่ แต่มันจะผ่านไปนะ

ถึงแม้จะเป็นเรื่องเศร้า แต่มันยังมีมุมที่ทำความเข้าใจได้ การได้เขียนเรื่องพวกนี้ออกมาเป็นเพลง ในมุมหนึ่งมันเป็นการเยียวยาคุณไหม

ใช่ เป็นการเยียวยาตัวเองด้วย เหมือนเราเขียนไดอารีแต่เราเขียนออกมาเป็นเพลง และมันก็เหมือนเป็นการมาร์กไว้ว่า วันนี้เราคิดแบบนี้ เราได้เพลงนี้ อีกสองสามปีข้างหน้า เราอาจจะมีเนื้อหาเดียวกัน แต่กลายเป็นคิดอีกมุมก็ได้ เหมือนเป็นเช็กพอยต์ของแต่ละจุดในมุมมองของชีวิตเราที่วิวัฒนาการไปได้เรื่อยๆ

ในการทำซิงเกิล ‘ไม่มี’ มีความท้าทายหรือได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บ้างไหม

ตัวพาร์ตเพลงหรือดนตรี มันท้าทายตรงที่เราค่อนข้างต้องสู้กับมายด์เซตตัวเองที่ต้องแต่งเพลงเศร้า แต่พอแต่งเพลงจบแล้ว ส่วนของดนตรีก็ได้พี่เจ Penguin Villa (เจตมนต์ มละโยธา) มาช่วยเรียบเรียงให้ ก็เลยไม่ยาก เพราะพี่เจทำให้หมดเลย (หัวเราะ) 

แต่สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือตัวเอ็มวี เราคุยกับผู้กำกับและคิดกันว่าอยากทำเป็นเหมือนหนังสั้นเรื่องหนึ่ง พอสรุปกันไปสรุปกันมา เราไปถ่ายกันทั้งหมด 15 โลเคชัน ทั้งกองมีกันแค่สามคน คือมีผู้กำกับ เรา แล้วก็มีนักแสดงอีกคน พอคนน้อยก็ต้องช่วยกันเองทั้งหมด เดี๋ยวก็ไปจัดไฟ แต่งหน้า จัดชุด ทำพร็อพ งานหนักที่สุดคือผู้กำกับ เพราะเขาต้องเป็นทั้งคนถ่ายเอง ดูไฟเอง จัดโลเคชันเอง เขาเป็นทุกอย่างจริงๆ แต่ว่าการทำงานแค่สามคนก็ดีอย่างหนึ่งคือ คล่องตัวกว่า เราว่ามันเป็นเอ็มวีที่โลเคชันเยอะที่สุดที่จะมีได้ในเอ็มวีหนึ่งแล้ว

คุณชอบกระบวนการไหนที่สุดในการทำเพลง

เราชอบหมดเลย เลือกไม่ได้ (หัวเราะ) ตั้งแต่เริ่มเขียนเพลงจนเพลงเสร็จ ล่าสุดคือชอบทำเอ็มวีด้วย เพราะพอทั้งกองมีแค่สามคน เราก็มีโอกาสได้มีส่วนร่วม ได้เห็นกระบวนการทำหนังเรื่องหนึ่ง มันสนุกดีเหมือนกัน เราเป็นคนชอบแสดง ชอบคิดบทมาก แล้วก็ชอบนั่งดูการเลือกใช้มุมถ่ายทำหรือนั่งดูคนตัดต่อ พอทำเอ็มวีนี้แล้วไปดูหนัง เหมือนทำให้เราสังเกตองค์ประกอบในหนังมากขึ้น ทุกอย่างเขาคิดมาหมดเลย ที่เขาวางอันนี้ไว้ตรงนี้ เขาอาจจะตั้งใจก็ได้ มันทำให้ดูหนังสนุกขึ้น

คาดหวังอย่างไรกับซิงเกิล ‘ไม่มี’

เราคาดหวังแค่ว่าให้มีคนชอบ แล้วก็หวังว่ามันจะไปได้ไกลกว่าเพลง เพราะมันเป็นเหมือนหนังสั้นเรื่องหนึ่ง

 

การทำดนตรีสมัยนี้ค่อนข้างแตกต่างจากสมัยก่อน คุณคิดว่าศิลปินสมัยนี้กับสมัยก่อน แตกต่างกันมากไหม

เราว่ามันแตกต่างกันตรงเทคโนโลยีมากกว่า 

อย่างสมัยก่อนมีช่วงหนึ่งที่เพลงสั้นมากๆ เพราะข้อจำกัดในการอัดที่ต้องใช้เป็นเทป แต่เพลงสมัยนี้ยาวขึ้นเพราะว่าอัดได้มากขึ้น หรือสมัยก่อนเครื่องดนตรีทุกอย่างเป็นอันปลั๊ก และต้องใช้ไมค์จ่อ แต่สมัยนี้เรากดเครื่องมือได้เลย ในแง่ความคิดสร้างสรรค์เราว่าเหมือนเดิม แต่ที่ต่างคือเทคโนโลยี พอเทคโนโลยีมากขึ้น ตัวเลือกมากขึ้น บวกความคิดสร้างสรรค์ มันก็ล้ำขึ้นอยู่แล้วตามยุคสมัย

ทุกวันนี้มีเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ในการเลือกทำซาวนด์ดนตรีเพลงมากขึ้น เช่น ซินธิไซเซอร์ คุณคิดว่าจำเป็นไหมที่เราต้องรีบพัฒนาตัวเองให้ทันเทคโนโลยีหรือกระแสของสมัยใหม่

ไม่จำเป็นที่เราต้องตามเทคโนโลยีถ้ามันไม่ใช่เรา อย่างเราชอบฟังเพลงเก่า เราก็อาจจะอยากทำเพลงเก่าแบบไม่ต้องใส่เสียงอะไรต่างๆ ก็ได้ ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นเทรนด์แบบแนวนั้นมาแนวนี้มาแบบนั้นแล้ว คือแนวไหนก็แมสได้ เพราะกลุ่มคนฟังหลากหลายมาก แล้วต้องขอบคุณเทคโนโลยีสตรีมมิงทุกวันนี้ที่ทำให้เราได้ค้นพบเพลงหลากหลายแนว คนฟังมีทางเลือกมากขึ้น เจอผลงานได้หลากหลายขึ้น เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นที่ต้องไปทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง

แง่หนึ่งมันเป็นความยากของคุณในการเป็นศิลปินยุคนี้ไหม ที่ต้องแข่งขันกับศิลปินใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ

ไม่นะ คือเราไม่ได้เป็นคนชอบการแข่งขัน ก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเราแค่เป็นตัวเรา แล้วสามารถไปได้เรื่อยๆ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เราว่าถ้าเราไม่ใช่นักกีฬา แล้วต้องทำงานแบบที่รู้สึกว่าต้องแข่งขันอยู่ตลอดเวลา มันไม่เวิร์ก 

อยากให้คนฟังรู้สึกหรือได้รับสารอะไรจากเพลงของคุณที่สุด

แล้วแต่เพลงนะ แต่เรารู้สึกว่า อยากให้เขาได้เข้าใจเพลงต่างๆ ในแบบของเขาเอง อย่างเพลง ‘ไม่มี’ ก็เป็นเพลงปลายเปิด เป็นแค่คำถามว่า บางทีเราแอบคิดว่า ไม่มีเลยอาจจะดีกว่าเคยได้มี แต่ไม่ได้บอกเขาว่าจริงๆ แล้ว มีหรือไม่มีดีกว่า

ขยับมามองแวดวงศิลปิน นักดนตรี ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 และการสั่งปิดตลอดช่วงของการระบาดที่ผ่านมา นับว่าเป็นช่วงหนักสุดตั้งแต่มาเป็นศิลปินหรือเปล่า

หนักที่สุดที่เคยเจอ ไม่ใช่แค่วงการดนตรี หรือศิลปินนะ แต่ทุกวงการจริงๆ 

เรามีเพื่อนสนิทเป็นแอร์โฮสเตส พี่สาวเขาก็เป็นแอร์โฮสเตส พอเจอโควิดทุกคนตกงานพร้อมกันหมดเลย มันหนักมาก เราว่าวงการศิลปินยังสามารถเอ็นจอย ทำเพลงไปเรื่อยๆ ได้ หรือไลฟ์สดเล่นดนตรีได้ โดยที่ยังได้ทำงานที่เราชอบได้อยู่ แต่หลายๆ คน อย่างเช่น งานสายการบิน หรือร้านอาหาร เขาต้องหยุดเลยจริงๆ

ต้องบอกว่าเหมือนเราก็พริวิเลจมากเหมือนกัน ที่ไม่ได้รู้สึกลำบากมากขนาดนั้น คือเราไม่ได้เจอผลกระทบหนัก ตัวเราก็ยังมีบ้านอยู่ พ่อแม่ยังทำอาหารให้กิน พอช่วงที่สถานการณ์คลี่คลาย คนเริ่มมีความหวังขึ้นมา เลยไม่ได้รู้สึกว่าเรามีความหวังอะไรแบบนั้น เราเป็นแนวติดตามสถานการณ์มากกว่า ถ้าดีก็ดี ถ้าไม่ดีก็ยังรอดอยู่นะ แต่ก็มีโอกาสได้ศึกษาพวกการลงทุนเพิ่มเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ขยับอะไร เพราะด้วยสถานการณ์ที่ไม่เสถียร สมมติจะเล่นหุ้นก็ขึ้นลงเยอะมาก ตัวแปรเยอะ ทั้งการเมือง โควิด หรือสิ่งแวดล้อม มันส่งผลหมดเลย ถ้าจะเริ่มเล่นตอนนี้ เราว่าไม่ใช่ช่วงที่ดีสำหรับคนไม่เคยเล่นมาก่อน

 

 “มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่า ทำไมคนเรามันไม่เท่ากันขนาดนั้น คือรู้ตัวว่าเราโชคดี แล้วก็ดีใจที่เราโชคดี

แต่ว่าทำไมมันถึงต่างกันได้ขนาดนี้ ทำไมทุกคนที่เขาลำบาก ต้องลำบากมากกว่าเดิม โดยที่ไม่ได้จำเป็น”

ที่บอกว่าเป็น ‘พริวิเลจ’ ในมุมหนึ่งมันทำให้คุณรู้สึกผิดไหม

ใช่ๆ มีบางช่วงที่เราเรียนออนไลน์อยู่บ้านก็สบายดีนะ แต่มันทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย เราสบาย แต่อีกหลายคนที่เขาไม่มี ที่เขาต้องหยุดทุกอย่างไป ที่ชีวิตเขาหายไปเลยมันแย่มาก เลยทำให้เรารู้สึกมีความละอายใจเกิดขึ้นบ้าง ที่ไม่ได้ถูกกระทบขนาดนั้น 

ทั้งที่มันอาจไม่ใช่ความผิดของคุณหรือเปล่า

มันไม่ใช่ความผิดเรา แต่ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่า ทำไมคนเรามันไม่เท่ากันขนาดนั้น คือรู้ตัวว่าเราโชคดี แล้วก็ดีใจที่เราโชคดี แต่ว่าทำไมมันถึงต่างกันได้ขนาดนี้ ทำไมทุกคนที่เขาลำบาก ต้องลำบากมากกว่าเดิม โดยที่ไม่ได้จำเป็น

โควิด-19 ทำให้เราเห็นความเหลื่อมล้ำในสังคมที่ชัดเจนขึ้น

ใช่ วิกฤตเช่นโควิดเป็นตัวเร่ง และเป็นตัวขยายผลต่างๆ ให้เห็นความเหลื่อมล้ำที่เห็นชัดเจนได้มากขึ้น ก่อนหน้านี้มันมีช่วงที่สถานการณ์ดีขึ้น แต่ก็มาเจอกับระลอกใหม่อีก เราไม่ได้ท้อ แต่เป็นความรู้สึกที่ทุกอย่างกำลังจะโอเคขึ้นกว่าระลอกก่อน อย่างที่บอกว่า ชีวิตเราไม่ได้ถูกกระทบขนาดนั้น แต่รู้สึกท้อแทนคนที่ทำธุรกิจ หรืออะไรก็ตามที่มันกำลังจะกลับมาวิ่งอีกครั้ง แต่ก็มาพังอีกรอบหนึ่ง

 

 

ช่วงที่ผ่านมาคุณมีโอกาสได้เล่นดนตรีสดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ด้วย สำหรับคุณมันต่างกับการเล่นต่อหน้าคนดูจริงๆ ขนาดไหน

ต่างกันมาก เล่นดนตรีสดสนุกกว่าอยู่แล้ว เพราะได้เจอเพื่อนในวง แล้วพลังงานที่เราพยายามจะส่งไปให้คนดูมันถึงกว่า เพราะเห็นหน้ากัน เขานั่งอยู่ข้างหน้า เรามองตาเขาได้ทุกคน แต่พอเป็นการเล่นสด เรานับถือดีเจมากเลย เพราะเขาไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียง ไม่รู้ว่าใครจะคิดอะไร ตอบอะไร แต่เขาสามารถดำเนินโชว์ได้ คุยได้จนจบเบรก ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเก่งมาก เพราะว่าเราทำไม่ได้

คิดถึงอะไรจากการโชว์ที่สุด

แน่นอนคิดถึงคนดู คิดถึงเวลาที่เห็นคนร้องตาม หรือโบกมือให้ แล้วก็คิดถึงการเล่นกับเพื่อนๆ ในวง (ยิ้ม)

คุณเข้าวงการมาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงตอนนี้มองการเป็นศิลปินเปลี่ยนไปไหม

เปลี่ยนไปนะ ตอนแรกไม่ได้คาดหวังไว้ว่าเป็นศิลปินต้องเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เหมือนเราได้เข้ามาเห็นการทำงานจริง ได้ลองทำ ได้รู้มากขึ้น ว่าจริงๆ แล้วมันวิเศษกว่าที่คิดไว้มากเลย 

เราเริ่มทำงานเร็ว ตั้งแต่อายุยังไม่ยี่สิบเลย แต่โชคดีที่มันเป็นงานที่เราชอบ การเข้าวงการเร็วก็ส่งผลกับชีวิตตอนนี้ที่ในหลายมุมมันทำให้เราโตไวขึ้น มีความรับผิดชอบขึ้น

การเข้าวงการมาตั้งแต่ก่อนอายุยี่สิบ มีสิ่งที่คุณต้องสูญเสียไปหรือต้องแลกมาไหม

เราโชคดีตรงที่เพื่อนที่มีทุกคนตอนนี้เขาไม่ได้มองว่าเราเป็นใคร เขามองว่าเราเป็นเพื่อน เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันของการคุยกับเพื่อน หรืออะไรต่างๆ ไปทำกิจกรรมกับเพื่อนทั่วไป มันไม่ได้แปลกหรือรู้สึกอึดอัดเลย เพราะเขามองเราเป็นคน ไม่ได้มองเราเป็นอะไรอย่างอื่น

บางครั้งคนมักจะติดภาพลักษณ์เดิมๆ ของคุณ เช่น เรื่องของทัศนคติทางการเมือง คุณคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร

ไม่มีความเห็นอะไร คือเราเป็นคนคนหนึ่งที่เขาไม่ได้รู้จักในชีวิตประจำวัน เขาก็จะเห็นจากสื่อใช่ไหม เพราะฉะนั้น การที่เขาตีความเราไปไหนทางไหนก็ตาม มันเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้

ค่อนข้างเป็นความคิดที่ปล่อยวางทีเดียวสำหรับคนอายุ 23 ปี

ก็ค่อนข้างนะ มีแต่คนบอกว่าเราเหมือนคนแก่ (หัวเราะ)

สำหรับคุณ คนอายุ 23 ถือว่าเป็นผู้ใหญ่หรือยัง นิยามคำว่าผู้ใหญ่ของคุณเป็นอย่างไร

ตอนเด็กๆ เราชอบรู้สึกว่าคนเป็นผู้ใหญ่เขาสงบดี เขารู้ว่าอะไรที่ต้องโฟกัส อะไรที่สำคัญจริงๆ แต่พอใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ ก็ค้นพบว่า ไม่มีใครรู้ แล้วก็ไม่มีใครที่สงบจริงๆ มันน้อยคนมากที่เขาจะพบเจอความสงบได้ ซึ่งมันเป็นเป้าหมายหลักในชีวิตเราเลย เราต้องการพบความสงบ สบายใจ

“ทุกคนไม่ว่าจะอยู่จุดไหนก็ตามสามารถสงบได้ มันไม่ได้อยู่ที่ภายนอกแต่อยู่ข้างใน ถ้าเรามองสิ่งหนึ่ง แล้วเอาความรู้สึกไปใส่แต่งเติม หรือปรุงแต่ง มันก็ฟุ้งไปได้

แต่ถ้าเรามองน้ำแก้วนี้ว่ามันเป็นแค่น้ำแก้วหนึ่ง เป็นแค่สสารหนึ่ง มันก็เป็นเพียงเท่านั้น”

มันขัดกับการเป็นศิลปินที่ต้องโดนจับจ้องตลอดไหม

ไม่ขัดเลย ทุกคนไม่ว่าจะอยู่จุดไหนก็ตามสามารถสงบได้ มันไม่ได้อยู่ที่ภายนอกแต่อยู่ข้างใน ถ้าเรามองสิ่งหนึ่ง แล้วเอาความรู้สึกไปใส่แต่งเติม หรือปรุงแต่ง มันก็ฟุ้งไปได้ แต่ถ้าเรามองน้ำแก้วนี้ว่ามันเป็นแค่น้ำแก้วหนึ่ง เป็นแค่สสารหนึ่ง มันก็เป็นเพียงเท่านั้น อันนี้แค่ยกตัวอย่างนะ คือเราพยายามจะเป็นกลางกับทุกอย่างให้ได้ ฟังดูเป็นธรรมะเนอะ (หัวเราะ)

 

ช่วงวัยนี้คุณครุ่นคิดกับอะไรมากที่สุด

ถ้าเป็นช่วงนี้จะคิดว่าจะทำอะไรดี เพราะมันไม่มีอะไรให้ทำเลย เราเป็นคนไม่ค่อยคิดถึงอดีต พยายามฝึกอยู่ว่าอะไรที่ผ่านไปแล้วก็แก้ไม่ได้แล้ว ไปคิดฟุ้งซ่านมันไม่มีประโยชน์ เพราะมันจะทำให้เราแย่ลง แต่อย่างที่บอก ถ้าเรามองมันด้วยความเป็นกลาง แล้วเอามาปรับใช้ได้ มันก็น่าคิด

การคิดเป็นกลางทำให้ชีวิตคุณสนุกน้อยลงไหม

ไม่นะ คือเราไม่ได้เป็นคนสนุกอยู่แล้ว สนุกที่สุดคือนั่งรถไฟเหาะ (หัวเราะ) แต่ว่าเราไม่ได้รู้สึกสนุกมานานแล้ว มันเป็นความรู้สึกสบายใจมากกว่า เรารู้สึกว่าความสนุกมันอยู่ไม่นาน ความสนุกมันแค่วูบวาบ แล้วเราไม่ชอบความวูบวาบนั้น เพราะมันไม่คงที่

ถ้าอย่างนั้นในวัย 23 ปี อะไรคือความสนุกหรือตื่นเต้น

การไปแสดง ไปโชว์ดนตรี เท่านั้นเลย

ในยุคที่ทุกอย่างทั้งเร็วและแรง คุณมีวิธีรักษาจิตใจให้เป็นกลางได้อย่างไร

ต้องแยกว่าตัวเราไม่ใช่ความคิดเรา เราคิดอะไรขึ้นมานั่นคือสมองเรา มันมาจากประสบการณ์ในอดีต หรืออะไรก็ตามที่เราเจอมา มันทำให้เราคิดแบบนี้ เวลาเราคิดอะไรที่มันดิ่ง เราก็จะพยายามตามให้ทัน แล้วก็แยกมันออกมา อ๋อ โอเค ตอนนี้เรารู้สึกอย่างนี้ แต่ว่าเมื่อวานยังไม่เห็นรู้สึกแบบนี้เลย แปลว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็ไม่รู้สึกได้เหมือนเดิมแหละ

เป้าหมายในระยะสั้น และระยะยาวของคุณหลังจากนี้เป็นอย่างไร อยากเห็นตัวเองไปอยู่จุดไหนของการเป็นศิลปิน

ถ้าระยะสั้นคือการทำเพลง ปล่อยเพลง ส่วนระยะยาวเราไม่ค่อยได้คาดหวังอะไรขนาดนั้น เราแค่อยากทำเพลงไปเรื่อยๆ แล้วก็อยากทำอัลบั้ม

อยากให้คนจดจำคุณในฐานะอะไร นักดนตรี เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง หรืออื่นๆ ในอนาคต

ความจริงก็หลายอย่างนะ แต่ว่ามีสามอย่างคือ เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นศิลปิน และเป็นช่างภาพ เพราะเราชอบถ่ายรูปมาก ถ้าทำได้ก็อยากไปสายช่างภาพด้วยเหมือนกัน เราชอบถ่ายอะไรที่เห็นแล้วมีความรู้สึกกับมัน เช่น ท้องฟ้า บางทีก็ต้นไม้ บางทีก็ล้อจักรยาน ชามก๋วยเตี๋ยวก็ได้ (หัวเราะ) แค่เราหันไปเห็นแล้วรู้สึกว่าอยากเก็บรูปนี้จัง

 

Tags: , ,