เมื่อ 2-3 ปีก่อน ขณะกำลังหาข้อมูลสำหรับการกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด ผมก็ได้รู้จักกับสถานที่เก็บรวบรวมเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านในโลกออนไลน์โดยบังเอิญ
มะเขือจาน มะแว้งต้น มะเขือเทศจีบ พริกลืมเผ็ด บวบขม ถั่วเจ้าเนื้อ และพืชผักอีกร้อยกว่ารายชื่อ ทั้งที่คุ้นเคยและอีกมากกว่าที่ไม่เคยรู้จัก ทำให้ผมตั้งใจไว้ว่าเมื่อใดที่เงื่อนไขของชีวิตเอื้ออำนวยให้ลงมือปลูกพืชผัก ผมจะนำเมล็ดพันธุ์จากที่นี่ไปปลูก โดยมีภาพฝันว่าในไร่สวนจะอุดมไปด้วยพืชผักนานาชนิดสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนให้เก็บหาพืชผลกิ่งใบมาทำเป็นอาหารและแปรรูปเป็นผลิตผลอื่นๆ
ทุกวันนี้ แม้จะยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ความชุ่มชื้นของฤดูฝนก็ทำให้กะเพรา พริก ผักเสี้ยน ดอกบานชื่น และต้นไม้น้อยใหญ่อีกหลายชนิดพากันเบ่งบานเติบโตโดยไม่ต้องลงมือลงแรง
ฤดูฝนปีนี้ เมื่อได้กลับบ้าน ผมจะยืนมองต้นไม้ต้นกล้วยอันเขียวขจี แล้วก็จินตนาการถึงวันที่ได้ลงมือปลูกพืชผักและดูแลผืนดินของบรรพบุรุษอย่างจริงๆ จังๆ
0 0 0
บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนตั้งแต่เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ และหลังจากถึงที่หมายในจังหวัดสุพรรณบุรีได้ไม่นาน เม็ดฝนก็โปรยปรายลงมา
“ตอนนี้พี่มีเมล็ดพันธุ์ 70 กว่าชนิด ทำเพราะรัก ชอบ พี่เป็นคนชอบเมล็ดพันธุ์ พี่ชอบเรื่องการเกษตร”
นันทา กันตรี เริ่มต้นเรื่องราวของคนเก็บและแบ่งปันเมล็ดพันธุ์ โดยมีเสียงเปาะแปะของสายฝนเคล้าคลอ
ผมติดต่อขอพูดคุยกับพี่นันทาเพราะความสนใจใคร่รู้ของตัวเองส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคืออยากออกมาสูดอากาศของเรือกสวนไร่นาภายนอกเมืองหลวง ขณะเดียวกัน ชื่อของพืชผักที่ไม่เคยรู้จักก็ชักชวนให้อยากเห็นกิ่งใบและดอกผลของมัน
“พี่เป็นคนกำแพงเพชร แต่ไปโตอยู่ทางใต้ เรียนจบวิทยาศาสตร์ที่หาดใหญ่ แล้วก็ไปเรียนปริญญาโทที่ขอนแก่น พี่ทำงานเอ็นจีโอมาก่อน พอมีครอบครัวก็มาอยู่กับแฟนที่นี่ (สุพรรณบุรี) พอเป็นแม่บ้าน มีลูกสาวหนึ่งคน พี่ก็เลยหาอะไรทำ”
พี่นันทาเก็บรวบรวมเมล็ดพันธุ์มา 7-8 ปีแล้ว เธอบอกว่าเป็นคนชอบเก็บ และตื่นเต้นเสมอเมื่อได้เห็นพืชพันธุ์ที่ไม่เคยเห็น “อย่างบวบก็มีบวบสีนั้นสีนี้ มีบวบผลยาวผลสั้น มีบวบลูกกลมๆ มีบวบลูกเหลี่ยมๆ บวบเหมือนกัน แต่ทำไมพันธุ์นี้เมล็ดสีขาว อีกพันธุ์เมล็ดสีดำ พี่จะตื่นเต้นกับอะไรแบบนี้”
นอกจากความตื่นเต้นกับขนาด รูปร่าง และสีสันแปลกใหม่ พี่นันทาบอกว่าการทำงานกับเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านยังนำมาซึ่งความรู้ใหม่ๆ ทั้งในมิติของอาหารการกินและยาสมุนไพร
พี่นันทายกตัวอย่างบวบขมที่ขึ้นเองตามธรรมชาติแถวหัวไร่ปลายนา ด้วยรสขม ทำให้มันไม่เป็นที่สนใจ แต่ด้วยความที่อยากอนุรักษ์สายพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ที่เธอเก็บมาจึงมีผู้นำไปปลูก
“วันหนึ่งมีคนโทร.มาบอกว่า น้อง พี่ขอบคุณมากเลย พี่เอาบวบขมของน้องไปปลูก มีคนเอาไปรักษาไซนัส แล้วหาย แล้วพี่ก็แนะนำเพื่อนอีกคนหนึ่ง แล้วเขาก็หาย เขาเอาใยบวบขมไปซอย แล้วก็สูบเหมือนสูบบุหรี่ มันช่วยรักษาไซนัสได้ หลังจากนั้นก็มีคนโทร.มาบอกว่าอยากได้ลูกบวบขมสด เขาบอกว่าเอาน้ำของลูกบวบขมสดไปหยอดจมูกเพื่อรักษาไซนัสได้”
คุณค่าอีกอย่างหนึ่งที่พี่นันทาค้นพบจากการเก็บเมล็ดพันธุ์ คือสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของผู้คน
“พี่ไปออกงานที่เมืองทอง มีลุงคนหนึ่ง อายุ 70 กว่า แกเห็นเมล็ดมะเขือกินใบ แกบอกว่าสมัยก่อน บ้านแกอยู่ใกล้ค่ายทหารญี่ปุ่น สมัยสงครามโลก แกเคยเอาใบมาผัดกิน มันอร่อยมาก แกบอกว่าไม่เห็นมันมานานแล้ว อีกหนหนึ่งคือมีคนมาเจอเมล็ดดอกคอนสวรรค์ซึ่งเป็นดอกไม้พื้นบ้าน เป็นน้องผู้หญิง น้องเขาบอกว่าเห็นแล้วนึกถึงตอนเด็กๆ ที่บ้านคุณตาปลูกไว้เต็มเลย แต่พอโตขึ้นก็ไม่เคยเห็น แล้วน้องเขาก็เอาเมล็ดพันธุ์ไปปลูก”
พี่นันทาบอกว่าเรื่องราวแบบนี้ทำให้เธอรู้ว่านอกจากเรื่องอาหารการกินและยาสมุนไพร เมล็ดพันธุ์ยังทำหน้าที่เก็บบันทึกความทรงจำของผู้คน ซึ่งทำให้เธอยิ่งรู้สึกว่าเมล็ดพันธุ์เป็นสิ่งมีค่า
“เมล็ดพันธุ์เป็นเรื่องใหญ่มาก และเป็นอนาคตของโลก แต่ปัญหาก็คือเมล็ดพันธุ์กลับสูญหายไปอย่างรวดเร็ว ในช่วง 1-2 ทศวรรษที่ผ่านมามันลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อประมาณ 80 ปีที่แล้ว มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันมาช่วยเรารวบรวมพันธุ์ข้าว เขาใช้เวลาช่วงสั้นๆ เก็บรวบรวมพันธุ์ข้าวใน 35 อำเภอ ได้พันธุ์ข้าวมาแสนกว่าตัวอย่างพันธุ์ แต่ในปัจจุบัน ข้าวที่เราปลูกในพื้นที่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ มีแค่ 5 สายพันธุ์ นี่คือปัญหาในปัจจุบัน”
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) บอกกับผู้ชมหลังจากการฉายภาพยนตร์สารคดีเรื่อง SEED: The Untold Story ที่ Warehouse 30 เมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2017
หลังจากพูดคุยกับพี่นันทาได้ไม่กี่วัน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม มูลนิธิชีววิถีก็ประกาศผ่านเฟซบุ๊กว่า ‘ด่วน…กรมวิชาการเกษตรฉวยโอกาสในเดือนพระราชพิธีฯ แก้กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 ของไทยให้เป็นไปตามอนุสัญญา UPOV 1991 ซึ่งเอื้ออำนวยประโยชน์ให้บรรษัทเมล็ดพันธุ์เพิ่มการผููกขาดพันธุ์พืชและลงโทษเกษตรกรที่เก็บรักษาพันธุ์พืชไปปลูกต่อ เป็นการทำลายวัฒนธรรมที่สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และจะกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ในขณะที่การเคลื่อนไหวและแสดงความคิดเห็นเพื่อคัดค้านทำได้จำกัด’
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2017 เว็บไซต์ของกรมวิชาการเกษตรก็เผยแพร่ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช (ฉบับที่…) พ.ศ… เปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นได้ระหว่างวันที่ 6-20 ตุลาคม (ก่อนจะขยายถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน) ซึ่งจากการศึกษาเนื้อหาของร่างกฎหมาย มูลนิธิชีววิถีเห็นว่า ‘มีเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิเกษตรกร ขยายการผูกขาดของบรรษัทเมล็ดพันธุ์ และเปิดทางสะดวกให้โจรสลัดชีวภาพ’
ค่ำวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ชมภาพยนตร์สารคดีเรื่อง SEED: The Untold Story แม้จะเคยรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพฤติกรรมของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านการเกษตรมาบ้าง แต่ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ก็ทำให้เข้าใจพฤติกรรมของบริษัทเหล่านี้มากขึ้น รวมทั้งมองเห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกรไทย ซึ่งเชื่อมโยงกับกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่ของกรมวิชาการเกษตร
ปัญหาของร่างกฎหมายฉบับนี้คืออะไร มูลนิธิชีววิถีสรุปไว้ดังนี้
ตัดสิทธิในการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์เพื่อนำไปปลูกต่อ
แม้มาตรา 25 จะมีข้อความว่า ‘เพื่อประโยชน์ในการเพาะปลูกหรือขยายพันธุ์สําหรับพันธุ์พืชใหม่ที่ได้รับความคุ้มครอง เกษตรกรมีสิทธิใช้ส่วนขยายพันธุ์ที่ตนเองเป็นผู้ผลิตในพื้นที่ของตนเอง’ แต่ข้อความในวรรคต่อมาที่ระบุว่า ‘เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการปรับปรุงพันธุ์ รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการคุ้มครองพันธุ์พืชมีอํานาจออกประกาศกําหนดพันธุ์พืชใหม่ชนิดใดเป็นพันธุ์พืชที่สามารถจํากัดปริมาณการเพาะปลูกหรือการขยายพันธุ์ทั้งหมดหรือบางส่วนของเกษตรกรได้’
วิฑูรย์กล่าวว่า “หมายความว่าเมื่อใดก็ตามที่รัฐมนตรีประกาศ สามารถห้ามเกษตรกรไม่ให้เก็บเมล็ดพันธุ์ไปปลูกต่อได้ นี่เป็นจุดประสงค์ของบริษัทเมล็ดพันธุ์มาโดยตลอด และการที่เขาผลักดันกฎหมายโดยไปเอาหลักกฎหมาย UPOV 1991 (อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่) ก็เพื่อวัตถุประสงค์นี้”
หากเกษตรกรนำเมล็ดพันธุ์ที่ขอรับความคุ้มครองไว้แล้วมาปลูก โทษก็คือจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะเดียวกัน ที่มาของกรรมการคุ้มครองพันธุ์พืชซึ่งมีอำนาจในการออกประกาศฯ กฎหมายฉบับเดิมกำหนดให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 12 คน (มีเกษตรกรอย่างน้อย 6 คน) มาจากการเสนอชื่อ/คัดเลือกกันเอง แต่ในร่างกฎหมายฉบับนี้ ให้มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี
ขยายสิทธิการผูกขาดของบริษัทเมล็ดพันธุ์
- ขยายระยะเวลาการผูกขาดพันธุ์พืช แต่เดิม พืชที่ให้ผลผลิตตามลักษณะประจำพันธุ์ได้ หลังปลูกจากส่วนขยายพันธุ์ภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี และพืชที่ให้ผลผลิตตามลักษณะประจำพันธุ์ได้ หลังปลูกจากส่วนขยายพันธุ์ในเวลาเกินกว่า 2 ปี ให้การคุ้มครอง 12 ปีและ 17 ปี ตามลำดับ มาตรา 31 ของร่างกฎหมายฉบับใหม่ ขยายระยะเวลาเป็น 20 ปี ส่วนไม้เถายืนต้น (เช่น องุ่น) มีระยะเวลา 25 ปี
- ขยายการคุ้มครองจาก ให้การคุ้มครองเฉพาะ ‘ส่วนขยายพันธุ์’ ให้รวมไปถึง ‘ผลิตผล’ และ ‘ผลิตภัณฑ์’
- ขยายการผูกขาดพันธุ์พืชใหม่ไปยังสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เป็นพันธุ์ที่ได้พันธุกรรมสำคัญมาจากพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครอง (Essentially Derived Varieties: EDVs) พันธุ์ที่ไม่แสดงความแตกต่างจากพันธุ์พืชใหม่ และพันธุ์ที่ต้องอาศัยพันธุ์พืชใหม่ที่ได้รับการคุ้มครองในการขยายพันธุ์ทุกครั้ง
เปิดทางสะดวกให้กับโจรสลัดชีวภาพ
ร่างกฎหมายฉบับใหม่เปิดทางให้ผู้นำพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่น พันธุ์พืชป่า และพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปไปใช้ประโยชน์ โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือแบ่งปันผลประโยชน์ โดยเปลี่ยนแปลงนิยามของพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปว่า ‘พันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป’ หมายความว่า พันธุ์พืชที่กำเนิดภายในประเทศ หรือมีอยู่ในประเทศ ซึ่งมีการใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ ไม่รวมถึงพันธุ์พืชใหม่ พันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่น พันธุ์พืชป่า หรือพันธุ์พืชที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นพันธุ์ที่ผ่านกระบวนการปรับปรุงพันธุ์
การแก้นิยามดังกล่าวทำให้บริษัทต่างๆ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตและแบ่งปันผลประโยชน์ใดๆ เมื่อมีการนำเอาสารพันธุกรรมหรือพันธุ์พืชไปใช้ เพียงแค่นำพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่น พันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป หรือพันธุ์พืชป่า มา ‘ผ่านกระบวนการปรับปรุงพันธุ์’ ก็จะไม่เข้าเงื่อนไขการขออนุญาตและแบ่งปันผลประโยชน์
หากเทียบกับกฎหมายเดิม ผู้ประสงค์จะขอรับการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ต้องแสดงที่มาของสารพันธุกรรม แต่ร่างกฎหมายฉบับใหม่ตัดวรรคดังกล่าวออก และระบุใหม่เป็น ‘ข้อมูลหรือเอกสารหรือวัสดุที่จำเป็นแก่การตรวจสอบพันธุ์พืชใหม่ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด’ มูลนิธิชีววิถีระบุว่า การแก้ไขดังกล่าว ‘มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการขออนุญาตและแบ่งปันผลประโยชน์ในกรณีที่มีการนำเอาสารพันธุกรรมและพันธุ์พืชพื้นเมืองไปใช้ประโยชน์นั่นเอง’

ข้าวโพดข้าวเหนียวสามสี
อย่างไรก็ตาม หลังจากมูลนิธิชีววิถีเปิดเผยข้อมูลข้างต้น นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ก็ปฏิเสธข้อมูลของมูลนิธิชีววิถี โดยเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2017 เว็บไซต์ของรัฐบาลไทยเผยแพร่คำชี้แจงของนายสุวิทย์ สรุปได้ดังนี้
- ร่างพระราชบัญญัติไม่ได้ตัดสิทธิของเกษตรกร แต่ปรับปรุงให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น และแก้ไขการจำกัดสิทธิเกษตรกร จากให้ขยายพันธุ์พันธุ์พืชได้ไม่เกินสามเท่าของปริมาณที่ได้มา เป็นเปิดให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการพิจารณากำหนดได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์และชนิดพืชตามสภาพการทำการเกษตร ดังนั้น เกษตรกรจึงยังคงเก็บเมล็ดพันธุ์ไปปลูกในฤดูต่อไปในพื้นที่ของตนเองได้โดยไม่มีโทษ
- การแก้ไขนิยามพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการตีความขอบเขตของพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปให้มีขอบเขตที่ชัดเจน โดยกำหนดเฉพาะในส่วนพันธุ์พืชที่มีแพร่หลาย ไม่มีหลักฐานว่าเป็นพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และเป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นสมบัติสาธารณะ เช่น พันธุ์พืชที่มีอยู่พื้นเมืองดั้งเดิม ซึ่งต้องแยกออก ไม่รวมไปถึงพันธุ์ที่บุคคลพัฒนาขึ้นมา และมีหลักฐานชัดเจน ทั้งนี้ หากการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์โดยใช้ฐานพันธุกรรมจากพันธุ์พืชพื้นเมืองดั้งเดิม กฎหมายกำหนดให้ต้องขออนุญาตและทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์อยู่แล้ว
- ร่างพระราชบัญญัติไม่ได้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการคุ้มครองพันธุ์พืช แต่เปลี่ยนแปลงวิธีการที่ได้มา เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงาน เป็นการปรับปรุงเพื่อลดขั้นตอนให้การแต่งตั้งคณะกรรมการทำได้รวดเร็วขึ้นและมีความต่อเนื่อง ทำให้ดำเนินการได้ทันต่อเหตุการณ์ จึงแก้ไขวิธีการคัดเลือกคณะกรรมการจากการคัดเลือกกันเองซึ่งมีปัญหาติดขัดในการส่งรายชื่อและมีความล่าช้า ให้เป็นการแต่งตั้ง โดยยังคงไว้ซึ่งองค์ประกอบของคณะกรรมการจากทุกภาคส่วนเช่นเดิม
- กรณีเว็บไซต์กรมวิชาการเกษตรเผยแพร่ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ…. (ฉบับใหม่) และให้ยกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 โดยเปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นได้จนถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2560 เป็นการปิดโอกาสในการเคลื่อนไหวคัดค้านกฎหมายดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืชทางเว็บไซต์ ซึ่งเป็นขั้นตอนขั้นต้นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นประกอบการเสนอต่อกระทรวงและคณะรัฐมนตรีตามลำดับต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่หน่วยงานต้องทำการรับฟังความคิดเห็นทางเว็บไซต์
- องค์ประกอบ คุณสมบัติ และการเสนอชื่อผู้ที่จะสมัครเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิยังคงเหมือนพระราชบัญญัติฉบับปัจจุบัน โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง 12 คน ยังคงมาจากทุกภาคส่วน

ดอกผักโขม
หลังจากนั่งคุยกันพักใหญ่ พี่นันทาก็พาผมไปดูสวนผักของลุงจุกกับป้าแป้ง ซึ่งเป็นกำลังหลักในการเพิ่มจำนวนเมล็ดพันธุ์พืชผักพื้นบ้านให้กับพี่นันทา
จำรัส ชูพรม และ แป้ง บานไม่รู้โรย สองสามีภรรยาวัย 70 กว่าปี คือผู้ที่ช่วยพี่นันทาปลูกพืชผักมากกว่า 30 ชนิด
วันนั้น ลุงจุกกับป้าแป้งยกเมล็ดพันธุ์จากในตู้เย็นออกมาให้ผมดู เมล็ดพันธุ์ถั่ว ข้าวโพด พริก และอื่นๆ อีกหลากหลายสายพันธุ์ถูกเก็บไว้ในกระปุกพลาสติก รอเวลาส่งถึงมือของผู้ที่ต้องการหย่อนมันลงในผืนดินเพื่อปลดปล่อยพลังชีวิตของพืชต้นใหม่ให้หยั่งราก ชูใบ และสร้างเมล็ดพันธุ์รุ่นต่อๆ ไป
สำหรับคนจำนวนหนึ่ง เมล็ดพันธุ์เหล่านี้อาจดูไร้คุณค่าและความหมาย กระทั่งตั้งคำถามกับผู้ที่หวงแหนมันราวกับชีวิต แต่สำหรับคนอีกจำนวนมาก เมล็ดพันธุ์เหล่านี้คือมรดกตกทอดที่มีอายุยาวนานกว่า 12,000 ปีนับตั้งแต่มนุษย์เรียนรู้การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ และมันเป็นทรัพย์สมบัติของเราทุกคน
สำหรับพวกเขา เมล็ดพันธุ์คือพ่อ คือแม่ คือญาติพี่น้อง คือจิตวิญญาณ คือวัฒนธรรมประเพณี คือชีวิต และคือความอยู่รอด
สำหรับบางคน ข้อเท็จจริงที่ว่านับตั้งแต่ปี 1903 เมล็ดพันธุ์ผักถึงร้อยละ 96 สูญหายไปแล้วจากโลกใบนี้อาจไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แต่สำหรับบางคน นี่คือข้อเท็จจริงที่ทำให้พวกเขาลงมือถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีที่เผยให้เห็นความเชื่อมโยงอันไร้ตัวตนระหว่างอาหารของมนุษย์กับโลกธรรมชาติ ภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้ชมรู้ว่า เสียงของนักเก็บรวบรวมเมล็ดพันธุ์ เกษตรกร นักวิทยาศาสตร์ และชนพื้นเมืองนั้นแหบพร่าเพียงใด เมื่อเทียบกับเสียงของบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงไม่กี่แห่งที่ควบคุมการผลิตอาหารสำหรับมนุษย์บนโลก
เมล็ดพันธุ์ 70 กว่าชนิดในมือของ นันทา กันตรี อาจจะเป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับผมซึ่งเกิดมาในยุคสมัยที่หลงเหลือพืชผักผลไม้ให้เลือกกินอยู่ไม่กี่ชนิด แต่รู้หรือไม่ว่าในศตวรรษที่ผ่านมา เมล็ดพันธุ์ร้อยละ 94 สูญหายไปแล้วจากโลกใบนี้
มันสูญหายไปพร้อมกับความทรงจำ ภูมิปัญญา สารอาหาร ยารักษาโรค และอาจเป็นสาเหตุของการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นๆ
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นันทา กันตรี ก็จะยังคงทำงานของเธอต่อไป เช่นเดียวกับผู้คนอีกมากมายบนโลกที่ต้องการดูแลรักษาสิ่งมหัศจรรย์อย่าง ‘เมล็ดพันธุ์’ ไว้เป็นมรดกตกทอดสำหรับเราทุกคน

ลุงจุก-จำรัส ชูพรม