เมื่อหลายปีก่อน ผมมีโอกาสเดินทางไปเยือนปราสาทตาเมือนธม พื้นที่ซึ่งกำลังระอุไปด้วยข่าวร้อนเกี่ยวกับเขตแดน

ปราสาทแห่งนี้มีความสำคัญมากในฐานะศูนย์กลางสำคัญแห่งการแสวงบุญสำหรับเหล่าพราหมณ์ผู้นับถือพระตรีเนตร-ศิวะ ตามข้อความในจารึกตาเมือนธม 1 จารบนพื้นหินธรรมชาติภายในลานปราสาท ด้วยตัวอักษรปัลลวะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 

‘กฤต…สายุชฺยํ ศิวมาปยาต’

(ท่านทั้งหลายพึงถึงพระศิวะ โดยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเทพเจ้า…ตามกรรมที่กระทําแล้ว)

พระศิวะที่จารึกกล่าวคงหมายถึง ‘แท่งหินธรรมชาติ’ ที่ประดิษฐานอยู่ภายในห้องครรภคฤหะของปราสาท นักวิชาการตีความแท่งหินนี้ต่างกันไป 2 แขนง แขนงหนึ่งชี้ว่า แท่งหินนี้คือ ‘สวยัมภูลึงค์’ หรือศิวลึงค์อันเกิดเองตามธรรมชาติ นับเป็นศิวลึงค์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด มากกว่าที่สร้างโดยมนุษย์

ขณะที่อีกแขนงหนึ่งตีความว่า แท่นหินนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง เพราะตามข้อความในจารึกปราสาทตาเมือนธม 5 (พ.ศ.1563) ด้านที่ 2 ระบุว่า ปราสาทแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐาน ‘กัมรเตงชคัตศิวบาทปัศจิม’ หรือพระบาททิศตะวันตกแห่งพระศิวะ

พระบาททิศตะวันตกแห่งพระศิวะ ปราสาทตาเมือนธม (ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

แม้จารึกปราสาทตาเมือนธม 5 จะสะท้อนถึงคติการบูชารอยศิวบาทในช่วงครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 16 แต่หลักฐานการบูชาศิวบาทนั้นแท้จริงแล้วเก่าไปกว่านั้นมาก มากเสียจนอาจจะเรียกได้ว่า พร้อมกับการสถาปนาอาณาจักรเมืองพระนครเลยก็ว่าได้ แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ผมขอแวะเล่าถึงประสบการณ์เมื่อหลายปีก่อนที่ปราสาทตาเมือนธมสักเล็กน้อย 

การเดินทางไปยังปราสาทตาเมือนธมนั้นเป็นส่วนหนึ่งในรายเรียนวิชาโบราณคดีในประเทศไทย 2 วิชาบังคับสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรในสมัยนั้น

เอาเข้าจริงปราสาทแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางแต่แรก แต่มันเกิดขึ้นอย่างฉับพลันโดยอาจารย์ประจำวิชา รองศาสตราจารย์ ​ดร.สฤษดิ์พงศ์ ขุนทรง มีความเห็นว่า เวลาที่มีอยู่สามารถเพิ่มปราสาทแห่งนี้เข้าไปได้ วันนั้นระอุไปด้วยความทรงจำที่สุดแสนจะประทับใจมากมายระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ซึ่งยังคงฝั่งแน่นอยู่จวบจนถึงปัจจุบัน 

การเดินทางของสนัตกุมาร (Sanatkumara)

ในสกันทปุราณะ (เขียนขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 9 โดยพราหมณ์ไศวนิกาย ลัทธิปศุปตะ) ระบุถึงบทสนทนาระหว่างสนัตกุมารกับฤษีวยาส (Vyasa) ถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์พระศิวะบนโลก (หมายถึงดินแดนอินเดีย) ภายในรายชื่ออันยาวเหยียดนั้น ปรากฏสถานที่หนึ่งเรียกว่า ‘มหาลัย’ มีความศักดิ์สิทธิ์เทียบได้กับเมืองกาศี ปัจจุบันคือเมืองสิทธปุระ รัฐคุชราต

สกันทปุราณะระบุว่า ครั้งหนึ่งพระศิวะทรงประทับพระบาทของพระองค์เอาไว้ ณ สถานที่แห่งนั้น 

การประทับพระบาทเอาไว้ ณ สถานที่หนึ่งๆ เช่น การประทับรอยพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกระทำ สะท้อนถึงการตั้งอยู่ สถิตอยู่ ประจำอยู่ ณ สถานที่นั้นๆ ชัดเจนมากในตำนานการเสด็จเยือนศรีลังกาครั้งที่ 3 ของพระพุทธเจ้า ความตามคัมภีร์มหาวงศ์ พุทธองค์ทรงประทับรอยพระบาทของพระองค์ ณ ยอดเขาสุมณกูฏ เพื่อตั้งมั่นพระศาสนาของพระองค์ ณ ทวีปแห่งนี้ 

ตำนานเกี่ยวเนื่องด้วยศิวบาทนั้นปรากฏซ้ำๆ ในอนุทวีปมิต่างไปจากคติทางพุทธ สถานที่สำคัญอีกแห่งคือ เขาตุงคีษบรรพต ในพื้นแคชเมียร์ ตำนานเล่าว่า พระศิวะทรงประทับพระบาทของพระองค์เอาไว้ ณ สถานที่แห่งนั้น เขาลูกนี้หากใครได้มาปฏิบัติ ‘ปศุปตะโยคะ’ เชื่อว่า จะได้รับผลบุญเป็นอันมาก ผมอยากให้ทุกคนจำชื่อเขาลูกนี้เอาไว้ เพราะจารึกเขมรโบราณระบุไว้ว่า สำหรับชาวอุษาคเนย์ ยอดเขาแห่งแคชเมียร์นี้ก็มีความสำคัญไม่ต่างกัน 

ไหว้สาบาทเจ้าแห่งอุษาคเนย์ 

จารึกพนมวิหาร (K.733) กล่าวถึง ปศุปตาจารย์ วิทยปุษปะ (Pasupatacarya Vidyapuspa) ราชครูแห่งพระเจ้าภววรมันที่ 2 (?) (พ.ศ. 1182-1200) นิมิตว่า ตนเดินทางไปยังยอดเขาตุงคีษบรรพต ณ ที่นั้นพราหมณาจารย์ผู้นี้ได้เข้าเฝ้าพระศิวะ พระองค์ทรงประทับบนหนังสัตว์ ทาพระองค์ด้วยขี้เถ้า ทรงตรีศูลในพระหัตถ์ ในความฝันนั้นพระศิวะประทานศิวลึงค์ และทรงประทับศิวบาทไว้ ณ ยอดเขา

สัฉฉิทอนันทะ สาไฮ (Sachchidanand Sahai) นักวิชาการชาวอินเดีย ผู้เชี่ยวชาญพิเศษเกี่ยวกับการบูรณะปราสาทเขมร ระบุเอาไว้ในหนังสือของเขาว่า พนมวิหาร ภูเขาลูกเล็กๆ ไม่ไกลจากทะเลสาบเขมร ถูกเปลี่ยนให้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์สำหรับเหล่าผู้ศรัทธาในพระศิวะ ดังที่จารึกรุ่นหลังหลายหลักระบุว่า มีนักบวชมากมายเดินทางมาแสวงบุญยังสถานที่แห่งนี้ 

คติเกี่ยวกับศิวบาทในวัฒนธรรมเขมรนั้นแพร่หลายมาก ทั้งในสมัยก่อนเมืองพระนครจนถึงสมัยเมืองพระนคร ดังจารึกปราสาทตาเมือนธมข้างต้น อย่างไรก็ดีหลักฐานหนึ่งที่น่าสนใจจะพูดถึงคือ จารึกศิวบาทจากสตึงเตรง อายุร่วมสมัยกับจารึกพนมวิหารข้างต้น

จารึกหลักนี้จารบนแผ่นหินทรายด้วยข้อความว่า ‘ศิวบาททฺวายามฺโภจมฺ’ (พระปัทมบาทแห่งพระศิวะเป็นเจ้า) หลักฐานชิ้นนี้ถือว่าพิเศษมาก เนื่องจากเป็นหลักฐานซึ่งมีรูป ‘พระบาท’ ชิ้นแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป ก่อนจะพบอีกในรุ่นถัดมา เช่น ศิวบาทจากกบาลสะเบียน และพระบาทแห่งตาเมือนธม

จอห์น กาย (John Guy) ภัณฑารักษ์ใหญ่ประจำ The MET (Metropolitan Museum of Art) สรุปความเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า ศิวบาทจากสตึงเตรงเป็นตัวแทนอย่างพิสดารถึงระยะต้นการขยายอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์แห่งศิวบาท ออกจากอินเดียสู่อาณาบริเวณวัฒนธรรมเขมรโบราณ และดูเหมือนว่า สกันทปุราณะน่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้เชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้ากับสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า ‘The Hindu World’ โครงข่ายยึดโยงของกลุ่มชนต่างๆ ภายใต้วัฒนธรรมฮินดู

 

ศิวบาทจากสตึงเตรง ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ กรุงพนมเปญ (ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

 

การแบ่งบันโครงสร้างจากสกันทปุราณะมาสู่เขตแดนของอุษาคเนย์โบราณ จึงสะท้อนถึงการปรับใช้วัฒนธรรมอินเดียของชนท้องถิ่นแถบนี้ โดยการจำลองสถานที่บางแห่งให้เสมือนกับภูมิศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ภายในอนุทวีป ผ่านการตั้งชื่อหรือจำลองรูปแบบของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสถานที่นั้นๆ

ด้วยเหตุนี้ปราสาทตาเมือนธมจึงสำคัญ เพราะถูกยึดโยงเข้าไว้กับโครงสร้างคติศิวบาทของอาณาจักรเขมรโบราณ กษัตริย์เขมรโบราณหลายพระองค์จึงได้รับการเชื้อเชิญให้พระราชทานที่ดิน สิ่งของ และข้าทาสจำนวนมาก แด่พระศิวบาทแห่งทิศตะวันตกองค์นี้ ดังข้อความในจารึกหมายเลข 4, 5, และ 9 เพื่อยึดโยงตนเองเข้ากับโครงสร้างศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว 

อย่างไรก็ดีสถานที่ตั้งของปราสาทโบราณแห่งนี้ยังมีความสำคัญอีกประการคือ ปราสาทตั้งอยู่บนช่องทางธรรมชาติ ซึ่งอย่างน้อย (หากเชื่อตามจารึกตาเมือนธม 1) ใช้งานสัญจรไปมาโดยคนในชุมชนต่างๆ บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 (1,400 ปีมาแล้ว)

นอกจากความเชื่อเนื่องด้วยศิวบาท ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทรอบๆ จึงเป็นเหมือนวัตถุพยานซึ่งพบเห็นผู้คนจำนวนเดินทางผ่านไปมาตลอดเวลานับสหัสวรรษ

หากสามารถฟื้นเติมความทรงจำเข้าไปในระดับชั้นอันซับซ้อนแห่งความทรงจำของพื้นที่ตาเมือน สำหรับผมสถานที่แห่งนี้คงมิได้เป็นเพียงบุญสถานแห่งพระศิวะ แต่กลับเป็นบุญสถานแห่งความสัมพันธ์ของผมกับอาจารย์ ของผมกับเพื่อน ของผมกับคณะ และของผมกับโบราณคดี 

 

ที่มาข้อมูล

จารึกปราสาทตาเมือนธม 1, 5 ฐานข้อมูลจารึก ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. (2554). “ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย”. นิตยสารศิลปวัฒนธรรม เดือนมิถุนายน. 

Guy, John. (2014). Lost kingdoms: Hindu-Buddhist sculpture of early Southeast Asia. Bangkok: River Books.

Stark, Miriam. (2019). “Universal Rule and Precarious Empire: Power and Fragility in the Angkorian State.” in The Evolution of Fragility: Setting the Terms edited by Norman Yoffee. Cambridge: McDonald Institute for Archaeological Research. 

Sanderson, Alexis. (2009). “The Saiva Age: The Rise and Dominance of Saivism during the Early Medieval Period” in Genesis and Development of Tantrism, pp. 41–350. Edited by Shingo Einoo. Tokyo: Sankibo Busshorin, Heisei. 

_________. (2003-2004). “Saiva Religion among the Khmers, Part 1.” in Bulletin de l’École fran çaise d’Extrême-Orient, Vol. 90/91, pp. 349–462. Paris: École française d’Extrême-Orient.

Sahai, Sachchidanand. (2011). Shivapada in Khmer Art: Rediscovering Angkor in the Footprints of Shiva. Bangkok: White Lotus Press.

Tags: , , , , , ,