เมื่อหัวค่ำของวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 เกิดเหตุโศกนาฏกรรมอีกครั้งใจกลางเมืองเก่าเดลี (Old Delhi/ Purana Delhi) รถยนต์คันหนึ่งระเบิดขึ้นขณะจอดติดไฟแดง บริเวณแยกด้านหน้าป้อมแดง (Red Fort) โบราณสถานที่สร้างขึ้นโดยพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์มุฆัล ราชวงศ์อิสลามอันยิ่งใหญ่แห่งอนุทวีป  

เหตุการณ์เขย่าขวัญนี้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกมากมายรอรักษาตัว เจ้าหน้าที่ยังไม่สรุปผลว่า เหตุการณ์นี้เป็นเพียงอุบัติเหตุจากเครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงที่ไม่ได้มาตรฐาน หรืออาจเป็นความจงใจของใครบางคนบางกลุ่มที่จะสุมไฟแห่งการโจรกรรมก็ยังไม่อาจรู้ได้

ส่วนตัวต้องขอยอมรับว่า รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อย เพราะย่านนั้นเป็นหนึ่งในย่านการค้าที่คึกคัก และมีอาหารอร่อยอยู่มาก โดยเฉพาะเมนูอาหารมุสลิมที่ปรุงได้อย่างถึงเครื่อง และตัวผมก็ไปเดินเล่นแถวนั้นอยู่บ่อยๆ เพื่อหาอะไรส่งลงไปเติมพื้นที่ว่างในกระเพาะ ทุกครั้งที่ไปยังบริเวณนั้น เราจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่เรียกได้ว่า ‘อินเดียแบบตะโกน!’ ความวุ่นวาย ร้านค้า ตรอกซอกซอย โดยมีฉากหลังที่ใหญ่โตมโหฬารอย่าง Red Fort และ Jama Masjid ประกบสายตาของเราอยู่เสมอ 

Red Fort ป้อมแดง

ป้อมแดง (Red Fort) สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 17 (ค.ศ. 1639) โดยพระจักรพรรดิผู้ทิ้งมรดกหินอ่อนสีขาวไว้กับโลก ชาห์ จาฮาน (Shah Jahan) เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของจักรวรรดิมุฆัล แทนที่เมืองอัครา (Agra) ที่แออัดขึ้นทุกวัน เมืองแห่งใหม่นี้มีชื่อว่า ชาห์ จาฮานาบาด (Shah Janhanabad) แปลว่า ‘เมืองแห่งพระเจ้าชาห์ จาฮาน’ มีประตูเมืองทั้งสิ้น 14 ประตู อยู่รอบเมืองตามทิศต่างๆ ปัจจุบันยังมีเหลือให้เห็นอยู่บ้างพอให้ตื่นเต้นเวลาเดินหรือนั่งรถผ่าน แม้ประตูเหล่านั้นจะตั้งชื่อตามเมืองสำคัญที่ตั้งอยู่ในทิศนั้นๆ แต่เมื่อเข้ามาในเมืองแล้วถนนทุกสายล้วนมุ่งเข้าสู่พระราชวังหลวงขนาดใหญ่ของพระจักรพรรดิ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิที่ครั้งหนึ่งเคยร่ำรวยที่สุดบนผืนแผ่นดินนี้ 

ป้อมแดงสร้างขึ้นด้วยหินทรายสีแดง วัสดุเดียวกับป้อมปราการเมืองอัครา (Agra Fort) เป็นที่มาของชื่อเรียกในปัจจุบันว่า Red Fort หรือที่คนอินเดียรู้จักกันในชื่อ Lal Qila (ลาล กีลา) ซึ่งมีความหมายเหมือนกับภาษาไทยว่า ‘ป้อมแดง’ 

ป้อมปราการแห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางอำนาจของพระจักรพรรดิ เป็นสถานที่ประดิษฐานพระราชบัลลังก์นกยูงทองคำ (Takht-i Tavus/ Mayurasan) บัลลังก์แห่งอำนาจที่งดงามยากเปรียบเปรย น่าเสียดายว่าบัลลังก์ทองคำนั้นถูกเผาทำลายไปแล้ว แต่บางชิ้นส่วนยังคงหลงเหลืออยู่แบบกระจัดกระจาย

 

 

พระจักรพรรดิชาห์ อาลัม ที่ 2 ประทับบนบัลลังก์นกยูง (จำลอง) (ที่มาภาพ: Wikipedia)

ด้วยความที่พระจักรพรรดิ (จะว่าก็ว่านะครับ) ตัดสินใจค่อนข้างฉับพลันในการย้ายเมือง ซึ่งเราเชื่อกันว่า เหตุนั้นอาจจะมาจากความโศกเศร้าหลังการสิ้นพระชนม์ของ พระนางมุมตาช (Mumtaz Mahal) เมื่อปี 1631 แต่ถ้าเราย้อนดูไปก็จะพบว่า จักรพรรดิมุฆัลมีแนวโน้มที่จะย้ายเมืองหลวงอยู่เนืองๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้แผนผังของตัวพระราชวังใหม่นี้ถอดแบบตามผังของ Agra Fort โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ ที่ออกว่าราชการ (พระราชฐานชั้นนอก) และที่ประทับส่วนพระองค์ (พระราชฐานชั้นใน)

หากใครมีโอกาสได้มาเที่ยวอินเดียและได้แวะเวียนมายังป้อมแห่งนี้ อาจจะรู้สึกว่า ภายในกำแพงป้อมมีอาคารอยู่น้อยหลังมาก โดยผมจะกล่าวถึง 3 อาคารหลัก

ดีวานอีอาม (Diwan-i-Aam)/ Hall of Public Audience/ ท้องพระโรงฝ่ายหน้า

ท้องพระโรงแห่งนี้มีลักษณะโดยรวมเป็นอาคารโถงสร้างขึ้นจากหินทรายแดงเป็นวัสดุหลัก เพื่อใช้เป็นที่ออกว่าราชการอย่างเป็นทางการของพระจักรพรรดิ โดยบริเวณตรงกลางของท้องพระโรงเราจะเห็นความแตกต่างสำคัญคือ บัลลังก์หินอ่อนขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นซุ้มอย่างเบงกอล (ฌาโรข่า/ Jharoka) ประดับด้วยการฝังหินสีเป็นลวดลายพันธุ์พฤกษาและนกนานาพันธุ์อย่างพิสดาร พระจักรพรรดิจะออกประทับบนบัลลังก์องค์เฉพาะในโอกาสสำคัญ เช่น ออกมหาขุนนางและมหาสมาคม ซึ่งเรียกอย่างทางว่า ‘ฌาโรข่า ดารชัน’ (Jharokha Darshan) 

ดีวานอีอาม (ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

บัลลังก์หินอ่อน (ฌาโรข่า)(ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

รังค์มาฮัล (Rang Mahal) และขาสมาฮัล (Khas Mahal) 

หลังผ่านท้องพระโรงส่วนหน้า เราจะพบน้ำพุและสระน้ำซึ่งสร้างขึ้นตามแนวคิดสายน้ำแห่งสรวงสวรรค์ (Nahr-i-Bihisht) ในพระคัมภีร์อัลกุรอาน เชื่อมไปยังฐานไพทีขนาดใหญ่ ซึ่งด้านบนเป็นที่ตั้งของอาคารสำคัญกลุ่มหนึ่ง โดยองค์ที่ตรงกับท้องพระโรงส่วนหน้าอย่างพอดิบพอดีคือ ‘รังค์มาฮัล’ หากแปลตามศัพพ์จะหมายถึง ‘พระที่นั่งแห่งสี’ (รังคะ ตรง กับคำว่า รงค์ ในภาษาไทย แปลว่า สี) เป็นที่ประทับ/ พักของเหล่าเจ้านายและข้าราชการฝ่ายใน ตามขื่ออาคารหลังนี้เคย (เน้นว่า ‘เคย’) มีการประดับประดาอย่างสวยงามด้วยกระจกสี ภาพเขียนทอง และต่างๆ ซึ่งปัจจุบันหลงเหลือเพียงร่องรอยเล็กน้อยที่รอดภัยสงครามมาจนถึงปัจจุบัน

ใกล้ๆ กับรังค์มาฮัลไปทางทิศขวามือของตึกเป็นที่ตั้งของ ขาส มาฮัล หรือ พระที่นั่งสำหรับพระองค์ น่าเสียดายว่าเราไม่สามารถมองเห็นภายในพระที่นั่งได้ เนื่องจากเป็นอาคารที่มีกำแพงรอบไม่ได้เป็นอาคารโถงอย่างรังค์มาฮัล แต่สิ่งที่สามารถเห็นได้เด่นชัดคือ หอคอยแปดเหลี่ยม (Muthamman Burj) หรืออาจเรียกอย่างบ้านเราว่า สีหบัญชร ก็คงได้ ใช้สำหรับให้ผู้คนบริเวณแม่น้ำยมุนา ซึ่งไหลผ่านด้านหลังของป้อม มารอเข้าเฝ้าฯ 

รังค์ มาฮัล (ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

ขาส มาฮัล (ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

ดีวานอีขาส (Diwan-i-Khas)/ Hall of Private Audience/ ท้องพระโรงฝ่ายใน

ท้องพระโรงองค์นี้เป็นที่ออกว่าราชการส่วนพระองค์ของพระจักรพรรดิกับเหล่าเชื่อพระองค์และบรรดาขุนนางเฉพาะกลุ่ม หากมองมาจากท้องพระโรงฝ่ายหน้า ท้องพระโรงฝ่ายในองค์นี้จะอยู่เยื้องไปทางซ้ายมือ (ทิศเหนือ) สิ่งที่น่าดูของท้องพระโรงองค์นี้คือ ลวดลายประดับที่ยังพอเหลือให้เห็น และพระแท่นตรงกลางโถงซึ่งครั้งหนึ่งเคยประดิษฐานบัลลังก์นกยูง 

นอกจากนั้นบริเวณซุ้มที่อยู่สุดมุมอาคารทั้ง 2 ข้าง มีการสลักคำพูดของท่านอาเมียร์ ขุสโรว์ (Amair Khurow) เอาไว้ ความว่า “หากสวรรค์สามารถถล่มตัวลงมายังพื้นโลกนี้ คือสิ่งนี้ คือสิ่งนี้ คือสิ่งนี้” ช่างเป็นข้อความที่ชวนให้ผู้คนที่ได้มายืนหน้าท้องพระโรงองค์นี้จินตนาการย้อนกลับไปถึงความงดงามซึ่งครั้งหนึ่งฉาบเคลือบสถาปัตยกรรมชิ้นเอกนี้ 

ดีวานอีขาส (ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

พระแท่นประดิษฐานบัลลังก์นกยูงทองคำ(ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

อย่างที่กล่าว อาคารหลายหลังภายในป้อมแห่งนี้อยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์สวยงามดังที่ควรจะเป็น เหตุสำคัญคือ เมื่อปี 1739 พระจักรพรรดินาเดียร์ ชาห์ (Nader Shah) แห่งราชวงศ์อัฟซาริด (Afsharid) ของเปอร์เซีย กรีฑาทัพมายึดกรุงเดลีหลังมีชัยชนะเหนือ พระจักรพรรดิมุฮัมมัด ชาห์ รังคีล่า (Muhammad Shah Rangila) ในสมรภูมิที่การนัล (Karnal) 

ป้อมแดงในฐานะพระราชวังหลวงของจักรพรรดิถูกเผาทำลายอย่างหนัก พระราชบัลลังก์นกยูงทองคำองค์เดิมถูกทำลาย และขนย้ายไปยังเปอร์เซียในฐานะตัวแทนแห่งชัยชนะ จักรพรรดิมุฆัลต้องลี้ภัยสงครามไปพึ่งจักรวรรดิมารฐีแห่งแคว้นมหาราษฏร์ ไม้เบื่อไม้เมาของชาวมุฆัล 

ถัดมาในปี 1857 เจ้าอาณานิคมอังกฤษ (บริษัท British India ในขณะนั้น) ได้ปราบกบฏซีปอย ซึ่งลุกขึ้นจับอาวุธต่อต้านจักรวรรดินิยมอังกฤษในนามพระจักรพรรดิมุฆัล บาฮาดูร์ ชาห์ ที่ 2 (Bahadur Shah II) พระจักรพรรดิองค์ที่ 20 ผู้ทรงเป็นพระจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์มุสลิมอันยิ่งใหญ่แห่งอินเดีย 

หลังการปราบปรามอย่างรุนแรงของฝ่ายเจ้าอาณานิคม กองทหารอังกฤษเข้ายึดพระราชวังหลวง ปลดพระจักรพรรดิ เนรเทศพระองค์ไปพม่า สิ่งของมากมายถูกขนย้าย รวมทั้งพระราชบัลลังก์นกยูงทองคำองค์จำลอง อาคารต่างๆ ภายในเขตพระราชวังถูกรื้อทำลายเหลือไว้เพียงอาคารหลังสำคัญบางหลัง สร้างอาคารสำนักงานและคลังเก็บยุทโธปกรณ์ขึ้นมาแทนที่ส่งผลให้อาคารภายในกำแพงของป้อมแดงเหลืออยู่ราว 10% พื้นที่ส่วนใหญ่กลายสภาพเป็นลานโล่งๆ ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยความทรงจำใด

ผ่านพ้นวันวาน

แม้ว่าป้อมปราการแห่งนี้จะผ่านพ้นวันวานอันรุ่งเรืองของมันมาไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่ความใหญ่โตของมันยังคงเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาอย่างค้านไม่ได้ ท้ายที่สุดนี้ความยิ่งใหญ่ของป้อมปราการขนาดยักษ์กลางกรุงเดลียังคงรับใช้อินเดียอยู่มาจวบจนปัจจุบัน

โดยเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1947 ท่านบัณฑิตเนห์รู (Pandit Jawaharlal Nehru) นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย ขึ้นปราศรัยประกาศเอกราชในกับชาติเก่าแก่นี้ต่อหน้าประชาชนผู้มารวมตัวกันนับล้านชีวิต จนทุกวันนี้นายกฯ ทุกคนยังคงขึ้นปราศรัย ณ ป้อมแห่งนี้เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ 

กระนั้น ดังที่เกรินไว้ข้างต้น ป้อมปราการแห่งนี้กลับมาเป็นประจักษ์พยานของเหตุการณ์โศกนาฏกรรมอีกครั้ง แม้เรายังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอย่างแน่ชัด แต่มันก็เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับใคร ชีวิตมากมายต้องมาศูนย์เสียอีกครั้งบริเวณป้อมแห่งนี้ โดยส่วนตัวผมหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ขอให้หินทรายสีแดงของป้อมแดงเป็นเพียงสีแทนแห่งเอกราชของประเทศยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียใต้ ไม่ใช่สีอันชวนให้นึกถึงความสูญเสียใดๆ อีก

ที่มาข้อมูล

Archaeological Survey of India. (2009). World Heritage Series – Red Fort, New Delhi: Archaeological Survey of India.

Tags: , , , , , ,