วันนี้ (16 พฤศจิกายน 2022) สำนักข่าวเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ (The South China Morning Post) รายงานถ้อยแถลงของโฆษกฝ่ายบริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ที่โต้ตอบรายงานประจำปีของคณะกรรมาธิการว่าด้วยการพิจารณาทบทวนเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน (US-China Economic and Security Review Commission) ซึ่งมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการเมืองภายในของฮ่องกงและจีนว่า สหรัฐฯ ควรหยุดแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกง และคำกล่าวทั้งหมดของสหรัฐฯ ล้วนเป็นการ ‘ใส่ร้าย’ และ ‘โจมตีทางการเมือง’ 

สหรัฐฯ ได้เผยแพร่รายงานความยาว 2,700 คำ ฉบับนี้ เพียง 2 วัน หลังจากที่ สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประธานาธิบดีจีน และโจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้าร่วมการเจรจาแบบตัวต่อตัว เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2022 ณ​ งานประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศ G20 ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการประชุมที่เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์บนเกาะไต้หวัน

สำหรับรายงานฉบับนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้จัดทำรายงานซึ่งมีเนื้อหาเจาะจงในประเด็น ‘ภัยคุกคามของของจีนในแต่ละประเทศ’ เพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ทุกปี โดยคณะกรรมาธิการฯ เน้นย้ำในบทหนึ่งว่าปัจจุบัน จีนเข้ามามีอิทธิพลเหนือการเมืองฮ่องกงมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ฮ่องกงก็มีความสำคัญในฐานะ ‘ตัวกลาง’ เชื่อมต่อระหว่างจีนกับตลาดการเงินโลก 

“จีนเข้ามาควบคุมการทำงานของรัฐบาลฮ่องกงในทุกๆ ด้าน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ จอห์น ลี (John Lee) ผู้บริหารสูงสุดของเขตปกครองพิเศษฯ และคณะทำงานส่วนมากต่างเป็นคนของรัฐบาลกลางปักกิ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากการ ‘ยกเครื่อง’ คณะทำงานในฝ่ายบริหารใหม่ทั้งหมดเมื่อปีที่แล้ว”

รายงานดังกล่าวระบุว่า กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับท้องถิ่น ในมาตรา 23 ของประมวลกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกง มีบทบาทในการกำกับดูแลองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ทั้งในประเทศและต่างต่างชาติอย่างเข้มงวด อีกทั้งกฎหมายดังกล่าวยังขยายขอบเขตอำนาจให้กลุ่มคนอื่นนอกจากฝ่ายบริหารอีกด้วย เช่น ให้อำนาจหน่วยงานความมั่นคงในการ ‘เฝ้าระวัง’ หน่วยงานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครอง

คณะกรรมาธิการฯ ระบุในรายงานว่า รัฐบาลจีนได้ทำให้ฮ่องกงกลายสภาพจากประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยมีเสรีภาพมากที่สุดในภูมิภาค เป็นประเทศที่ประชาชนผู้เห็นต่างถูกดำเนินคดีอย่างโหดร้าย หนึ่งในนั้นคือ พระคาร์ดินัล โจเซฟ เซน (Cardinal Joseph Zen) วัย 90 ปี ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาละเมิดกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ

“ขณะนี้ฮ่องกงได้เปลี่ยนสถานะจากการเป็นศูนย์กลางความมั่งคั่งในภูมิภาค มาเป็นเพียงประตูสู่ประเทศจีนเท่านั้น และจากทั้งมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวด และการที่ชาวฮ่องกงจำนวนมากย้ายออกนอกประเทศ ล้วนส่งผลให้สถานการณ์ในฮ่องกง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจแย่ลงไปอีก” รายงานระบุ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลฮ่องกงกล่าววันนี้ว่า รายงานดังกล่าวของสหรัฐฯ ไม่เป็นความจริง และคณะกรรมาธิการฯ นำเสนอข้อมูลที่เบี่ยงเบนออกไปจากความเป็นจริง เพราะต้องการ ‘ให้ร้าย’ กฎหมายความมั่นคงของรัฐบาลจีน 

“ทั้งหมดเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ เป็นการกระทำที่หวังผลทางการเมือง และข้อมูลในรายงานฉบับนี้ก็ไม่เป็นความจริง”

โฆษกของฝ่ายบริหารฮ่องกงกล่าวว่า การออกกฎหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ และกฎหมายมาตรา 23 เป็นแนวปฏิบัติ ‘ปกติและเป็นสากล’ ทางการทูตอยู่แล้ว โดยทั้งหมดเป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกประการ

ในประเด็นเรื่องการจัดการโควิด-19 โฆษกระบุว่า โควิด-19 ยังคงเป็นปัญหาหลักของระบบสาธารณสุขโลก และมาตรการโควิด-19 เป็นศูนย์ (Zero COVID) ของจีนนั้นมีประสิทธิภาพอย่างมาก ที่เห็นได้ชัดคือผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในจีนน้อยมาก ในขณะที่สหรัฐฯ ตัวเลขทั้งสองพุ่งสูงขึ้นทุกขณะ

“ที่สำคัญคืออัตราผู้ได้รับวัคซีนในฮ่องกงนั้นสูงกว่าสหรัฐฯ อย่างมาก ดังนั้น สหรัฐฯ ไม่มีความชอบธรรมใดๆ ที่จะมาสั่งสอนประเทศอื่นในประเด็นเรื่องโควิด-19” 

 

ที่มา: https://www.scmp.com/news/hong-kong/politics/article/3199791/hong-kong-vehemently-refutes-us-advisory-report-suggesting-city-new-era-total-control-rubber-stamp

Tags: , , , ,