“ดูแลน้องๆ ให้ดี เดี๋ยวแม่ก็กลับ”

1

วันที่ 1 ธันวาคม 1972 

จีน แม็กคอนวิลล์ (Jean McConville) อายุ 38 ปี เป็นแม่ม่ายลูก 10 สามีเพิ่งเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเมื่อ 11 เดือนก่อน ทิ้งหญิงสาวกับลูกอยู่ในแฟลตห้องเล็กๆ แถวด้านตะวันตกของกรุงเบลฟาสต์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ

สถานการณ์ในประเทศช่วงนั้นรุนแรงมาก เกิดความแตกแยกระหว่างคนไอร์แลนด์เหนือที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก กับนิกายโปรเตสแตนต์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษ

ประชาชนที่นับถือคริสต์แบบคาทอลิกอยากแยกดินแดน เอาไอร์แลนด์เหนือไปรวมกับไอร์แลนด์ แต่รัฐบาลอังกฤษไม่ยอม เพราะถือว่าพื้นที่ตรงนี้คือส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร ความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น กลุ่มโปรเตสแตนต์หวาดกลัว มีการปะทะโจมตี สังหารวางระเบิด จนทางลอนดอนต้องส่งทหารเข้าประจำการ

ฝ่ายที่ต้องการแยกดินแดนรวมกลุ่มเรียกตัวเองว่า กองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์ (Irish Republican Army) หรือเรียกย่อๆ ว่า IRA (ไออาร์เอ) พวกเขามีการจัดกำลัง มีทหารในคราบพลเรือน คอยก่อกวนทหารอังกฤษ วางระเบิด ประท้วง โดยมีประชาชนในพื้นที่ให้ความช่วยเหลือมาหลายสิบปี

ทหารอังกฤษเจอกับปฏิบัติการก่อการร้าย ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการแยกผู้ก่อเหตุกับประชาชน หลายครั้งกองทัพจากลอนดอนประสบความล้มเหลว หลายคราสังหารประชาชนบริสุทธิ์ จับกุมแพะ ทารุณคนทั่วไป ยิ่งสร้างแรงกระเพื่อมมุมกลับ ติดอาวุธและความนิยมให้กับไออาร์เออย่างมาก

ทางการต้องพลิกตำราจัดการ พวกเขาเริ่มซื้อใจคนพื้นที่ให้เงินหาสายข่าว ก่อนพบว่า ไออาร์เอบางรายไม่ได้มีแนวคิดแยกดินแดน แต่เพราะเกิดในชุมชน เห็นรุ่นพ่อรุ่นพี่เป็น มันเท่เลยอยากทำตาม จุดนี้ทำให้ทางการจ่ายเงินแลกข้อมูล

นี่เองทำให้ไออาร์เอต้องยกระดับ พวกเขาตรวจสอบชาวบ้าน หากใครเป็นสายข่าวให้กับรัฐบาลจะต้องถูกจัดการ ไม่มีการไต่สวน ไม่มีศาลยุติธรรม มีแต่ข้อกล่าวหา โทษถึงขั้นต้องตาย

ผู้ถูกสังหารเหล่านี้บางคนเป็นมิตรสนิทกับคนในขบวนการ บางคนเป็นไออาร์เอ และบางคนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เหมือนเช่น จีน แม็กคอนวิลล์

ในวันดังกล่าวหญิงสาวกำลังนอนสบายๆ ในอ่างอาบน้ำ มันเป็นสถานที่ส่วนตัว ซึ่งเธอจะได้ผ่อนคลายจากการเลี้ยงลูก

ช่วงเวลา 19.00 น. เสียงเคาะประตูดังขึ้น ลูกชายของจีนไปเปิดประตู นึกว่าเป็นพี่สาวที่ไปซื้ออาหารเย็น ปรากฏว่าไม่ใช่

แต่เป็นชายหญิง ส่วนใหญ่ใส่ไอ้โม่ง ถือปืนบุกเข้ามา พวกเขามากันราว 8-12 คน

“บางคนในกลุ่ม ไม่ได้ปิดบังใบหน้า และเขาเป็นเพื่อนบ้านในแฟลตนี้ด้วย”

จีนใส่เสื้อคลุมอาบน้ำออกมา กลุ่มผู้ก่อเหตุเดินตรงไปหาเธอ “ใส่เสื้อผ้าซะ” ใครในนั้นตะคอกด้วยน้ำเสียงดุดัน

“เกิดอะไรขึ้น”

กินเวลาไม่นานลูกๆ และจีนก็รู้ในฉับพลันว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้บุกรุกคือไออาร์เอ และต้องการนำหญิงสาวไปสอบปากคำ

เด็กๆ พยายามยื้อยุดแม่ แต่ไม่สำเร็จ พวกเขาให้ลูกชายคนโตเดินตามไปส่งที่รถตู้

“เราจะคุยอะไรกับแม่เธอนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก” 

จีนลงจากแฟลต ตรงไปที่รถ ลูกชายคนโตเดินตามติด ไม่ยอมให้แม่คลาดสายตา

เมื่อหญิงสาวขึ้นรถไป ปืนก็แนบชิดแก้มของบุตรที่เดินมาส่ง

“กลับขึ้นห้องไปซะ” ไออาร์เอขู่

เด็กน้อยตื่นตะลึง สบตากับแม่

หญิงสาวพูดประโยคสุดท้ายในชีวิตกับลูกสุดที่รักของเธอว่า

“ดูแลน้องๆ ให้ดี เดี๋ยวแม่ก็กลับ”

แต่จีน แม็กคอนวิลล์ ไม่เคยกลับมาหาลูกๆ อีกเลย 

2

ข่าวการหายตัวไปของจีน เป็นเรื่องใหญ่ แม่ม่ายลูก 10 ถูกอุ้มหายไปจากที่พัก นักข่าวท้องถิ่นนำเสนอ หลายสัปดาห์ต่อมา ทีมข่าวบีบีซี (BBC) ลงพื้นที่เพื่อทำข่าว และเด็กๆ ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่

“พวกเราภาวนาว่า สักวันแม่จะกลับมา”

แต่ความหวังนี้ไม่เคยเป็นจริง

การอุ้มคนหายในช่วงเวลานั้นถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อย มีเสียงกระซิบกระซาบว่า คนที่โดนกระทำแบบนี้คือพวกสายข่าวให้กับรัฐบาลอังกฤษ ดังนั้นจึงสมควรแล้วที่จะต้องตาย

นั่นทำให้ญาติมิตรครอบครัวของผู้ถูกอุ้มหาย ทำได้เพียงก้มหน้ารับชะตากรรม และหวังว่าสักวันคนที่รักจะกลับมา เช่นเดียวกับลูกๆ ของจีน 

เมื่อแม่หาย ความเลวร้ายของเด็กตระกูลแม็กคอนวิลล์ก็ทวีรุนแรงขึ้น พอไร้ผู้ปกครอง ทางนักสังคมสงเคราะห์ก็เดินทางมารับตัวพวกเขาทั้ง 10 คนให้ไปอยู่ในบ้านพักเยาวชนแทน สิ่งนี้ทำให้ครอบครัวแม็กคอนวิลล์แตกสลาย พี่น้องถูกจับแยก ผู้หญิงไปอยู่อีกที่ ผู้ชายไปอยู่อีกแห่ง

ทุกคนเก็บความเจ็บปวด พร้อมคำถามตัวโตๆ ทำไมพวกเขาทำแบบนี้กับแม่ของเรา

3

หลายปีผ่านไป เมื่อถึงเดือนสิงหาคม 1994 หรือราว 22 ปีที่จีนหายตัวไป ไออาร์เอประกาศหยุดยิง และเริ่มเข้าสู่กระบวนการเจรจา เพื่อวางอาวุธยุติการต่อสู้กับรัฐบาลอังกฤษ เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้กับสมาชิกไออาร์เอจำนวนมาก บางส่วนวิพากษ์วิจารณ์แกนนำที่ตัดสินใจตั้งพรรคการเมืองเพื่อต่อสู้ตามระบบประชาธิปไตย โดยมีหัวหน้าพรรคชื่อว่า เจอร์รี อดัมส์ (Gerry Adams)

อดัมส์เคยถูกจับติดคุก เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นไออาร์เอ อยู่เบื้องหลังความรุนแรงมากมาย แต่เขาปฏิเสธย้ำว่าตัวเองไม่เคยเป็นสมาชิกขบวนการนี้ และตั้งพรรคการเมืองเพื่อหยุดการนองเลือด

คำโกหกนี้ ทำให้สมาชิกไออาร์เอที่เคยร่วมงานกับอดัมส์ส่ายหน้า พวกเขาเหมือนถูกหลอกใช้ ทุกอย่างที่ทำมาสูญเปล่า มิตรร่วมรบที่ตายไป ศัตรูที่ถูกสังหาร เมื่อไออาร์เอยอมแพ้ ไม่สู้เพื่อแยกประเทศอีกต่อไป ทุกอย่างก็ไร้ค่า

อย่างไรก็ดีเมื่อมีประกาศหยุดยิง มันทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายกว่าเดิม จนคนเริ่มตั้งคำถามกับช่วงเวลาแห่งความรุนแรงและความชอบธรรมของไออาร์เอ หนึ่งในนั้นมีหญิงสาววัย 37 ปี ชื่อว่า เฮเลน แม็กคอนวิลล์ (Helen McConville) ที่ตัดสินใจให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เพื่อต้องการให้รื้อฟื้นคดีที่แม่เธอถูกอุ้มหาย 

ตอนนี้เฮเลนรู้แล้วว่า มารดาเสียชีวิตไปแล้วแน่นอน แต่สิ่งที่เธอออกมาเรียกร้องก็คือ อยากรู้ว่า ศพของแม่อยู่ที่ใด

ระหว่างนั้นมีสมาชิกไออาร์เอบางราย แอบให้ข้อมูลว่า พวกเขาพบว่าจีนเป็นสายข่าวให้กับทางการ ก่อนหน้านี้มีคนเห็นแม่เธอช่วยทหารอังกฤษที่บาดเจ็บร้องขอความช่วยเหลือในแฟลต

แต่เรื่องนี้เฮเลนยืนกรานปฏิเสธ

“ไม่มีทางที่แม่จะเป็นสายข่าวเพื่อหาเงินแน่ เพราะถ้าทำแบบนั้น พวกเราคงไม่มาอยู่ในแฟลตห้องเท่ารูหนู คงย้ายไปอยู่สถานที่ซึ่งสะดวกสบายกว่านี้”

การให้สัมภาษณ์เรียกร้องความเป็นธรรมให้แม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถึงขนาดที่เจอร์รี อดัมตัดสินใจเดินทางไปพบเฮเลน

แม้จะยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่ขอสัญญาว่า จะค้นหาความจริงให้

ทุกอย่างใช้เวลายาวนาน จนถึงปี 2003 หลังรอคอยมากว่า 31 ปี พลันที่พายุซัดโหมกระหน่ำชายหาดในสาธารณรัฐไอร์แลนด์ นั่นทำให้มีพลเมืองดีที่พาหมามาเดินเล่น ได้พบกับศพที่ซ่อนหมกไว้ จึงรีบแจ้งตำรวจ ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบดีเอ็นเอ ก่อนแจ้งครอบครัวแม็กคอนวิลล์

“พวกเขาพบแม่เราแล้ว”

จีนถูกพาตัวออกจากไอร์แลนด์เหนือ ลงใต้ ก่อนมาพบจุดจบในประเทศไอร์แลนด์ เมื่อชันสูตรโดยละเอียด ทางการพบกระสุน 3 นัดฝังอยู่ที่หัว และตัวของหญิงสาว

เมื่อเจอร่างก็เท่ากับคนในครอบครัวรู้แล้วว่า แม่เสียชีวิตอย่างแน่นอน ยิ่งเมื่อพบกระสุนก็เท่ากับว่า ร่างนี้ถูกฆาตกรรม เจ้าหน้าที่จึงต้องสืบสวนเพื่อหาตัวว่าใครคือผู้ก่อเหตุ

กระนั้นในวัฒนธรรมของไออาร์เอ ทุกอย่างที่สมาชิกดำเนินการจะต้องปิดเป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายให้ใครทราบ ใครถามก็ห้ามตอบ นี่คือธรรมเนียมที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนยึดเป็นกฎเหล็ก ดังนั้นการจะไปง้างปากสอบสวนอดีตไออาร์เอ คงจะยากที่จะได้ข้อมูลแน่นอน

อย่างไรก็ดีเหล่านักสืบพบข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจ เพราะมีการบันทึกคำรับสารภาพ และเหตุผลว่า ทำไมจีนต้องถูกฆ่า โดยมีหลักฐานชัดแจ้งเป็นเอกสาร พร้อมทั้งเสียงสัมภาษณ์ของสมาชิกไออาร์เอ

และมันถูกเก็บไว้ในห้องสมุดของวิทยาลัยบอสตัน (Boston College) ประเทศสหรัฐอเมริกา นี่เอง

4

หลักฐานตรงนี้เกิดขึ้นจากงานวิจัยเพื่อรวบรวมประวัติศาสตร์ โดยนักวิชาการจากวิทยาลัยบอสตัน ซึ่งได้รับเงินทุนจากเศรษฐีเชื้อสายไอริช ที่มีความประสงค์อยากเก็บข้อมูลเรื่องราวช่วงความวุ่นวายในยุคไออาร์เอปะทะกับทหารอังกฤษให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ 

แม้จะมีวัฒนธรรมห้ามพูด แต่ข้อตกลงในโครงการนี้ก็คือ ทุกอย่างจะถูกเก็บไว้ในห้องสมุด ณ อเมริกา และจะเผยแพร่ออกมาได้ เมื่อคนให้สัมภาษณ์ตายไปแล้ว

ด้วยความผิดหวังที่ไออาร์เอวางอาวุธยอมแพ้ ทำให้คนในกลุ่มยอมให้สัมภาษณ์ถึงความหลัง และเมื่อผู้ให้ข้อมูลเสียชีวิต ตำรวจสามารถเข้าไปดูคำให้สัมภาษณ์ได้ 

เมื่อเข้าไปอ่านเรื่องราวทั้งหมด พวกเขาก็พบความจริง

ในปี 2014 เกิดข่าวใหญ่ เมื่อเจอร์รี อดัมถูกจับกุม และโดนตั้งข้อหามีส่วนร่วมกับการฆาตกรรมจีน แม็กคอนวิลล์ โดยตำรวจมีหลักฐานจากเทปให้สัมภาษณ์ของสมาชิกไออาร์เอ ยืนยันว่าอดัมเป็นหัวหน้าปฏิบัติการในกรุงเบลฟาสต์ และมีคำสั่งตั้งชุดอุ้มฆ่าสายข่าวชาวบ้านที่ลอบให้ข้อมูลกับทหารอังกฤษ และเป้าหมายหนึ่งในนั้นก็คือจีนนั่นเอง

ข้อมูลที่อดีตสมาชิกไออาร์เอเล่าให้นักวิชาการจากวิทยาลัยบอสตันฟังพบว่า ทีแรกพวกเขาจะยิงจีน แล้วปล่อยศพทิ้งไว้กลางถนน เพื่อขู่สายข่าวคนอื่นๆ ว่า หากไม่เลิกเป็นหนอนบ่อนไส้ก็จะมีจุดจบแบบนี้

แต่อดัมยืนกรานว่า จะทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะเธอเป็นแม่ม่ายลูก 10 หากใครเห็นร่าง ภาพพจน์ของไออาร์เอจะเสื่อมเสีย เลยให้พาหญิงสาวขับรถข้ามไปยังไอร์แลนด์ เพื่อยิงทิ้งแล้วฝังอำพรางร่างไว้ที่ชายหาดแทน

แม้จะมีหลักฐานถึงเพียงนี้ แต่อดัมยังปฏิเสธ และสุดท้ายทางการก็ถอนแจ้งความ เพราะไม่อาจหาหลักฐานเพิ่มเติมได้ นอกจากคำบอกเล่าของสมาชิกไออาร์เอ

โดยอดัมได้ย้ำต่อสังคมผ่านสื่ออีกรอบว่า เขาไม่ได้เป็นสมาชิกไออาร์เอ ดังนั้นเขาจะไปสั่งอุ้มฆ่าใครได้เล่า

“ขออย่าเชื่อข้อกล่าวหาของอดีตสมาชิกพวกนี้ พวกเขารังเกียจผมเป็นการส่วนตัว และมีอคติไม่เห็นด้วยกับกระบวนการสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือ”

5.

เรื่องราวของจีน แม็กคอนวิลล์ ไม่ใช่กรณีเดียวที่ถูกอุ้มหายในช่วงยุค 70s เมื่อเวลาผ่านไปมีคนมากมายที่โดนกระทำแบบเดียวกัน ญาติมิตรเหยื่อได้ออกมาเรียกร้องผ่านสื่อและสังคมมากขึ้น แต่ถึงปัจจุบัน หลายเคสยังไม่พบศพ ครอบครัวผู้สูญหายยังรอคอยด้วยความหวังริบหรี่ต่อไป

กระนั้นมีนักข่าวขุดคุ้ยสืบสวนหาข้อมูลอย่างไม่ลดละ และถูกเขียนเป็นหนังสือเรื่อง Say Nothing โดยมีข้อมูลน่าสนใจที่ชี้ชัดว่า ใครคือฆาตกรสังหารจีน แม็กคอนวิลล์

หนังสือเล่มนี้ระบุว่า มีสมาชิกไออาร์เอรายหนึ่งเป็นหญิงสาวนาม โดเลอร์ส ไพรซ์ (Dolours Price) ซึ่งเจ้าตัวกับน้องสาวเคยร่วมวางระเบิดคาร์บอมบ์ในอังกฤษแล้วถูกจับติดคุก ก่อนประท้วงอดอาหารจนเจ้าหน้าที่ต้องจับให้อาหารทางท่อ เป็นการต่อสู้อย่างดุเดือด จนทางการยอมแพ้ ยอมส่งพวกเธอไปติดคุกในไอร์แลนด์เหนือ ก่อนปล่อยตัวออกมา

หญิงสาวทั้งสองถูกยกย่องว่า เป็นวีรสตรีแห่งไอร์แลนด์เหนือ พวกเธอเป็นไออาร์เอ โด่งดังระดับตำนาน มีชื่อเสียงกระฉ่อน 

โดยตัวโดเลอร์สเคยให้สัมภาษณ์กับวิทยาลัยบอสตัน ยอมรับว่า เธอเป็นคนขับรถพาจีน แม็กคอนวิลล์ ข้ามไปยังไอร์แลนด์ เพื่อให้ชุดสังหารยิงทิ้ง

แต่แล้วกลุ่มมือปืนดันไม่กล้าลงมือ เธอกับสมาชิกอีก 2 ราย จึงต้องขับรถกลับไปจัดการ แล้วลั่นไกฆ่าเอง

“มีคนยิงเธอที่ท้ายทอย”

“ใครเหรอ”

โดเลอร์สไม่ตอบ

“งั้นเอางี้ มีใครนั่งรถไปกับคุณด้วย” ผู้ให้สัมภาษณ์ถาม

“ปิดไมโครโฟนก่อน”

แม้บันทึกเอกสารจะไม่บอกว่า ใครคือผู้ลั่นไก แต่ทีมงานแย้มข้อมูลกับนักข่าวว่า ผู้ลงมือก่อเหตุเคยเกือบได้งานขับรถให้กับอดัม

พอสื่อไปตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง พวกเขาพบว่า คนที่ลงมือสังหารจีนคือน้องสาวของโดเลอร์สนั่นเอง

เมื่อหนังสือเผยแพร่ ในช่วงที่โดเลอร์ตายไปแล้ว น้องสาวของเธอ ก็รีบปฏิเสธ ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องในคดีนี้ เช่นเดียวกับอดัม และสมาชิกไออาร์เอรายอื่นๆ ไม่มีใครกล้ารับสารภาพว่าได้ร่วมกันฆ่าจีน แม็กคอนวิลล์ โดยต่างย้ำเพียงว่า

“ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องโกหก”

นั่นทำให้ความจริงที่หลายคนสงสัย ยังคงเป็นเรื่องปริศนาจนถึงปัจจุบัน ทิ้งไว้เพียงเสียงร่ำลือว่าไออาร์เอ กลุ่มนักต่อสู้เพื่อเอกราชของไอร์แลนด์เหนือ ที่แท้ก็เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือด ไม่แตกต่างอะไรจากผู้ก่อการร้ายหรือทหารอังกฤษ ที่พวกเขาประณามว่าเป็นผู้ใช้ความรุนแรง

แถมความเลวร้ายในอดีต คนที่ซวยสุดก็คือประชาชนในพื้นที่นั่นเอง ไม่ถูกผลักว่าเป็นผู้ก่อความไม่สงบ ก็โดนฆ่าเพราะเป็นสายให้อังกฤษ โดยที่ความจริงแล้ว พวกเขาอาจเป็นเพียงราษฎรธรรมดากลางดงสงครามกลางเมือง ที่ต้องทนต่อความขมขื่น เจ็บปวด เพราะฆาตกรตัวจริงไม่เคยโดนจับกุม ไม่มีใครโดนดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็นไออาร์เอหรือทหารของรัฐบาลสหราชอาณาจักร

ช่างเลวร้ายยิ่งนัก

ทุกวันนี้เฮเลนและน้องต่างยืนยันว่า จีน แม่ของเธอ ไม่ใช่สายข่าวให้กับทหารอังกฤษ โดยเรื่องราวทั้งหมด เป็นการอุ้มผิดตัว ฆ่าผิดคน สังหารผู้บริสุทธิ์อย่างชัดเจน

โดยทุกคนย้ำเตือนว่า แม้จะเอาคนผิดมาดำเนินคดีไม่ได้ แต่ก็หวังว่า สักวันความยุติธรรมคงจะมาถึง ส่วนการให้อภัยผู้ก่อเหตุนั้น ครอบครัวแม็กคอนวิลล์ ยืนยันว่า ความแค้นที่มารดาถูกอุ้มฆ่านั้น จะยังคงสุมอยู่ในใจ ไม่มีวันจางหายไปอย่างแน่นอน

“พวกเราไม่มีวันยกโทษให้คนที่ทำกับแม่เรา อย่างแน่นอน

“ไม่มีวัน”

ข้อมูลอ้างอิง

หนังสือ Say Nothing โดย Patrick Radden Keefe

https://www.theguardian.com/uk-news/2024/nov/21/son-of-jean-mcconville-killed-by-ira-condemns-cruel-disney-series-say-nothing

http://news.bbc.co.uk/1/hi/northern_ireland/3186709.stm

http://news.bbc.co.uk/2/hi/uk_news/northern_ireland/3186709.stm

https://www.newyorker.com/magazine/2015/03/16/where-the-bodies-are-buried

https://www.npr.org/2012/07/15/156811081/who-killed-jean-mcconville-a-battle-for-ira-secrets

https://www.bbc.com/news/uk-northern-ireland-27278039

Tags: , , , , ,