“เกาหลีเหนือไม่ใช่ประเทศ แต่เป็นลัทธิ”

1

เจ้าหน้าที่สนามบินกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก ถึงกับระอา เมื่อต้องฟังเสียงบ่นของผู้โดยสารสาวที่ยืนยันว่า แบตเตอรี่ที่พบในสัมภาระจะนำมาใช้กับวิทยุ Panasonic ต่างหาก ไม่ใช่ของอันตรายที่ต้องห้ามเอาขึ้นเครื่อง

หญิงรายนี้ถึงกับสาธิตเอาแบตเตอรี่ใส่ในวิทยุ ก่อนจะกดเปิดได้ยินเสียงซ่าดังขึ้น ย้ำว่าไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมอะไรทั้งสิ้น นั่นทำให้ทางการอิรักยอมแพ้ไม่เถียงต่อ อนุญาตให้นำขึ้นเครื่องบินได้ 

เมื่อได้ยินแบบนี้ หญิงสาวถึงกับดีใจแล้วรีบพาพ่อไปขึ้นสายการบินโคเรีย เที่ยวบิน 858 ของเกาหลีใต้ โดยจะเดินทางออกจากอิรักมุ่งหน้าสู่กรุงโซล ในเวลา 11.30 น. ของวันที่ 29 พฤศจิกายน 1987

หนังสือเดินทางของทั้งสองระบุว่า มีสัญชาติญี่ปุ่น ลูกสาวชื่อ มายูมิ ฮาชิยะ (Mayumi Hachiya) ส่วนคนพ่อชื่อว่า ชินอิจิ ฮาชิยะ (Shinichi Hachiya) ทั้งคู่จะเดินทางจากปลายทางไปลงที่บาห์เรน

เที่ยวบินนี้มีผู้โดยสารรวมลูกเรือหลายร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นคนเกาหลีใต้ หากไม่นับพ่อลูกจากแดนอาทิตย์อุทัย ก็จะมีผู้โดยสารอีก 2 รายมาจากอินเดียและเลบานอน

คนเกาหลีใต้ที่เดินทางในไฟลต์ 858 ล้วนเป็นคนงานก่อสร้างที่มาทำงานในอิรักทั้งสิ้น พวกเขาเตรียมเดินทางกลับภูมิลำเนา ไปพบครอบครัว คนรัก มิตรสหาย

แต่ไม่มีใครถึงที่หมายแม้แต่คนเดียว

เมื่อเครื่องบินลำนี้ทะยานฟ้า สองพ่อลูกญี่ปุ่นเก็บวิทยุใส่ในกระเป๋า แล้วเอาไปไว้ที่ช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะ พอถึงบาห์เรน ครอบครัวฮาชิยะก็ลงไปตามปกติ แต่ไม่ได้เอาวิทยุเครื่องนี้ติดมือมา โดยปล่อยทิ้งไว้บนเครื่อง 

ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกตินี้

ไฟลต์ 858 เดินทางต่อ มีผู้โดยสารรวมลูกเรือทั้งหมด 115 ราย ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังกรุงเทพฯ เพื่อเติมน้ำมัน ก่อนจะบินรวดเดียวกลับเกาหลีใต้

ทว่า 6 ชั่วโมงต่อมา ขณะบินอยู่เหนือทะเลอันดามัน ในเขตรับผิดชอบของประเทศเมียนมา วิทยุที่ชาวญี่ปุ่นตั้งใจลืมบนเครื่องเกิดระเบิดขึ้น ทำให้เครื่องบินแหลกละเอียด ร่วงตกทะเล ตายยกลำ กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั้งโลก นี่คือการก่อการร้ายที่สะเทือนเกาหลีใต้ ซึ่งในปีหน้ากำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก

สองพ่อลูกชาวญี่ปุ่น เตรียมขึ้นเครื่องบินจากบาห์เรนเดินทางไปอิตาลี แต่ไฟลต์กลับถูกเลื่อนไปอีก 2 วัน ทำให้ทั้งคู่ต้องรอคอยอย่างอดทนในต่างแดน 

ผ่านไป 2 วัน ชายชราและลูกสาวยื่นหนังสือเดินทางให้กับเจ้าหน้าที่สนามบิน แต่ครั้งนี้ทางการละเอียดและรอบคอบกว่าของอิรัก ยิ่งมีข่าวเครื่องบินตกด้วย พวกเขาจึงยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม

สิ่งที่ค้นพบคือ พ่อลูกตระกูลฮาชิยะ พกพาสปอร์ตปลอม จึงถูกคุมตัวสอบสวน

เสี้ยววินาทีนั้น ชายชราควักบุหรี่ออกมา แล้วรีบเคี้ยวเข้าปากทันที โดยได้พูดกับบุตรสาวว่า

“สิ่งที่รอเราอยู่คือการทรมานและความตาย ฉันมีชีวิตอยู่ยาวนานจนมีโอกาสได้เป็นคนแก่ ส่วนเธอยังสาว ขอโทษด้วยนะ”

พูดจบพ่อชาวญี่ปุ่นก็น้ำลายฟูมปาก สร้างความตื่นตะลึงให้กับทางการบาห์เรนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อลูกสาวเห็นดังนั้น จึงรีบควักบุหรี่ออกมาแล้วเคี้ยวลงไป 

“ตอนนั้นฉันคิดว่า ชีวิตที่ผ่านมา 25 ปี คงสิ้นสุดลงเท่านี้”

แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หญิงรายนี้กลับตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาลของบาห์เรน เธอยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อมองออกไปโดยรอบ ก็พบเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้จำนวนมากรุมล้อมเตียง 

พวกเขารู้ความจริงทั้งหมดแล้ว

บุคคลผู้นี้ไม่ใช่ มายูมิ ฮาชิยะ ไม่ได้เป็นคนญี่ปุ่น แต่เป็นฆาตกรที่สังหารคนบนเครื่องบินไฟลต์ 858 ตายยกลำ

ชื่อจริงคือ คิม ฮยอนฮุย (Kim Hyon-hui)

เป็นสายลับเกาหลีเหนือ

2

คิม ฮยอนฮุยเกิดในเกาหลีเหนือ พ่อเป็นทูต ทำให้มีอภิสิทธิ์ความเป็นอยู่สะดวกสบายกว่าคนในประเทศทั้งหมด แม่คอยดูแลบ้าน เธอเป็นลูกคนโต มีพี่น้องอีก 3 คน ชีวิตโดยรวมมีทุกอย่างเพียบพร้อม

พ่อของเธอเคยไปประจำที่คิวบา นั่นทำให้เธอได้ใช้ชีวิตในต่างแดน มีโอกาสได้เรียนรู้หลายภาษา และเกือบจะมีเส้นทางในวงการบันเทิง แต่พ่อห้ามไว้ก่อน จึงไปเรียนมหาวิทยาลัยเปียงยาง เลือกเอกภาษาญี่ปุ่น

และที่นั่น เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของเกาหลีเหนือได้ทาบทามเธอให้เป็นสายลับ ด้วยวัยเพียง 18 ปีเท่านั้น

“วันนั้น มีรถซีดานสีดำขับมาหาที่มหาวิทยาลัย พวกเขาบอกว่ามาจากส่วนกลางของพรรค และฉันเป็นคนที่ถูกเลือก”

“คุณมีเวลา 1 คืนกับครอบครัวเท่านั้น”

นี่ไม่ใช่การบอกกล่าว แต่คือคำสั่ง ในเกาหลีเหนือซึ่งปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ ที่มีตระกูลคิมครอบครองประเทศอีกที ทุกคนล้วนทำเพื่อผู้นำ โดยไม่ตั้งคำถาม สิ่งที่สั่งจากส่วนกลาง ต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้หรือสิทธิปฏิเสธ

“ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ลาเพื่อนด้วยซ้ำ”

7 ปี ก่อนจะวางระเบิดไฟลต์ 858 อดีตนักศึกษาสาวถูกส่งไปยังโรงเรียนสายลับ ซึ่งอยู่ในภูเขาห่างไกล ได้รับชื่อใหม่ เพื่อตัดขาดจากตัวตนเดิม และเข้ารับการฝึกศิลปะป้องกันตัว การใช้อาวุธ 

ที่นี่เธอเรียนภาษาญี่ปุ่น เพื่อฝึกพูดให้ชำนาญ จากเจ้าของภาษาตัวจริง ซึ่งเป็นหญิงสาวที่หย่าขาดจากสามี และถูกลักพาตัวมาจากดินแดนอาทิตย์อุทัย นำจับมาขังเพื่อสอนวัฒนธรรมของประเทศตัวเองให้กับสปายเกาหลีเหนือ

ครูจำเป็นรายนี้จะถูกเกาหลีเหนือลงบันทึกแจ้งญี่ปุ่นว่า ตายจากอุบัติเหตุรถชนในปี 1986 แต่มีข้อมูลว่า ในปีต่อมายังมีคนเห็นเธออยู่ในประเทศของตระกูลคิมอยู่เลย

ขณะเข้ารับการฝึกฝน คิม ฮยอนฮุยมีครูพี่เลี้ยง ซึ่งเป็นตำนานสายลับของประเทศ นามว่า คิม ซองอิล (Kim Sung-il) ซึ่งพูดได้ 4 ภาษา ชำนาญเรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยบุรุษรายนี้คอยสอนทักษะการสอดแนมให้กับเธอ จนทั้งสองสนิทกัน ทางผู้บังคับบัญชาเล็งเห็นความสัมพันธ์นี้ จึงวางตัวว่าในภารกิจสำคัญภายภาคหน้า ทั้งคู่จะถูกปลอมตัวเล่นบทบาทพ่อลูกได้อย่างแนบเนียนแน่ๆ

ประเทศคอมมิวนิสต์แห่งนี้มีผู้นำสูงสุดคือ คิม อิลซุง (Kim Il Sung) มีปฏิบัติการข่าวกรองรวมถึงการลักพาตัวชาวต่างชาติ เพื่อให้มาสอนภาษาแก่สปายเกาหลีเหนือ ซึ่งมีคนไทยโดนด้วย โดยแผนการสุดเหี้ยมนี้เกิดจากมันสมองของ คิม จองอิล (Kim Jong-il) ลูกชายผู้จะได้ครองประเทศนี้ต่อจากพ่อในปี 1994 ก่อนตายไปในปี 2011 และส่งมรดกนี้ให้กับลูกชาย ผู้นำคนปัจจุบันอย่าง คิม จองอึล (Kim Jong Un)

แต่ในช่วงยุค 80s คิม จองอิลคือคนวางแผนลอบสังหารและลงมือก่อการร้ายต่อเกาหลีใต้และศัตรูการเมืองอย่างแท้จริง และเขามีดำริขั้นสุด คือต้องการบึ้มเครื่องบินเกาหลีใต้สักลำ 

เมื่อสั่งการมาแบบนี้ ลูกน้องจึงรับบัญชาโดยไม่เถียง ไม่โต้แย้ง ปฏิบัติการถูกร่างขึ้น โดยต้องการสร้างความขายขี้หน้าให้กับเกาหลีใต้ จนไม่มีใครกล้ามาร่วมงานโอลิมปิกที่เป็นเจ้าภาพในปี 1988

หัวหน้าหน่วยข่าวกรองเลือกอาจารย์กับศิษย์เอก คิม ซองอิลกับคิม ฮยอนฮุยไปลงมือ ทั้งสองรับคำสั่งโดยไม่ปฏิเสธ

“ฉันเหมือนหุ่นยนต์ นายสั่งมาก็ทำ โดยเชื่อว่ามันมีผลดีต่อประเทศทั้งสิ้น”

แม้นั่นจะหมายถึงการก่อการร้ายก็ตาม

อย่างไรก็ดีปฏิบัติการนี้ ผู้นำสูงสุดของประเทศ คิม อิลซุงเป็นคนเขียนจดหมายมายังสายลับทั้งสอง โดยย้ำว่า หากภารกิจนี้สำเร็จ

“พวกคุณจะมีชีวิตอย่างสุขสบาย ได้กลับไปอยู่กับครอบครัว ไม่ต้องทำงานเป็นสายลับอีก”

3

คิม ฮยอนฮุยและคิม ซองอิลเดินทางจากเกาหลีเหนือไปยังสหภาพโซเวียต ก่อนเดินทางมุ่งหน้าโรมาเนีย และเจอกับสปายเกาหลีเหนือ ซึ่งมอบหนังสือเดินทางญี่ปุ่นปลอม บัดนี้ครูฝึกกับลูกศิษย์แปรสภาพเป็นพ่อลูกกันแล้ว

ทั้งสองเดินทางไปทั่วยุโรป เพื่อให้มีประวัติการเดินทาง ทำให้พาสปอร์ตไม่น่าสงสัย และอีกอย่างคือการชมหลายเมือง ทำให้เห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่สนามบิน จะได้สังเกตและวางแผนในการตบตาพวกเขาได้

ครูกับศิษย์เอกสาวเดินทางไปยังออสเตรีย และนั่งเครื่องมายังยูโกสลาเวีย ที่นั่นสายลับเกาหลีเหนือมอบวิทยุยี่ห้อ Panasonic ซึ่งเป็นของปลอมทำเลียนแบบ แท้จริงแล้วแบตเตอรี่ของเครื่องดังกล่าวคือส่วนประกอบของระเบิด C-4 เมื่อนำมาใส่ในวิทยุก็จะเป็นอาวุธสังหารได้ในฉับพลัน

สปายชายชรากับหญิงสาววัยแค่ 25 ปีจะตั้งเวลาไว้ 9 ชั่วโมง หลังเครื่องทะยานขึ้นฟ้า โดยผู้ที่ลงมือทุกอย่างคือคิม ฮยอนฮุยนั่นเอง

เมื่อผ่านด่านเจ้าหน้าที่สนามบินอิรักได้จากการโวยวาย และลงมือโชว์ว่านี่เป็นวิทยุจริงๆ ทั้งสองจึงได้ขึ้นไปบนไฟลต์ 858 หญิงสาวเป็นคนจุดชนวนตั้งเวลาระเบิดสังหาร

“ตอนนั้นฉันไม่ได้ตระหนักเลยว่าจะมีคนตาย มันน่าแปลกมาก เพราะมัวแต่นึกว่า เราทำสิ่งนี้เพื่อให้เกาหลีได้รวมชาติ”

สปายสาวถูกล้างสมองให้เชื่อว่า ภารกิจนี้จะนำไปสู่การปฏิวัติรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว

สิ่งที่อยู่ในห้วงคิดตอนลงมือคือ กลัวว่าจะถูกจับได้เท่านั้น เมื่อทำสำเร็จจึงกินยาเพื่อผ่อนคลาย ทั้งสองเห็นข่าวไฟลต์ 858 ถูกระเบิดตายยกลำ ปฏิบัติการนี้สำเร็จ เตรียมตัวจะกลับบ้าน

แต่เมื่อทางการบาห์เรนพบว่า หนังสือเดินทางเป็นของปลอมและเตรียมเข้าจับกุม อาจารย์หยิบบุหรี่ซึ่งมีสารไซยาไนด์ซ่อนไว้ เป็นไปตามที่ฝึกไว้ คือถ้าถูกรวบตัว ให้กินยาปลิดชีพเสีย

ชายชราที่สอนคิม ฮยอนฮุยตายในไม่กี่ชั่วโมง หญิงสาวทำตาม แต่กลับรอดชีวิต เพราะเจ้าหน้าที่ช่วยไว้ทัน

บัดนี้เธอโดนจับกุมและถูกตราหน้าจากทั้งโลกว่า เป็นฆาตกรสังหารผู้บริสุทธิ์ 115 ราย

เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้คุมตัวหญิงสาวรายนี้ออกจากบาห์เรน มุ่งหน้าไปยังกรุงโซล คุมตัวลงเครื่องบิน ในสภาพใส่กุญแจมือ พร้อมเอาผ้าปิดปาก เพื่อไม่ให้ฆาตกรพูดอะไรออกมาได้ ช่างภาพรัวชัตเตอร์ให้เห็นสายลับเกาหลีเหนือในสภาพน่าอดสู ท่ามกลางความชิงชังของคนทั้งประเทศ

นี่คือผู้ก่อการร้ายสุดโหด

หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้เข้ามาสอบปากคำ แต่คิม ฮยอนฮุยไม่ให้ความร่วมมือ เธอรักในเกาหลีเหนือ ศรัทธาในผู้นำตระกูลคิม พวกเขาเปรียบเสมือนพระเจ้า ไม่มีทางที่จะพูดอะไรต่อหน้าศัตรูคู่อาฆาตได้

เกาหลีใต้เวลานั้นกำลังจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงเป็นครั้งแรก โดยอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากระบบเผด็จการทหารมาสู่ประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองเห็นว่า การทรมานสปายสาวรายนี้ ไม่น่าจะประสบความสำเร็จ

วิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายร่วมมือคือพาไปเห็นว่า ดินแดนนี้ไม่ได้เป็นเหมือนที่หญิงสาวคิด

8 วันหลังโดนคุมตัวไว้ ทางการเกาหลีใต้พาคิม ฮยอนฮุยนั่งรถไปยังย่านเมียงดง ซึ่งเป็นศูนย์การช็อปปิงและมีความศิวิไลซ์ ตึกสูง ผู้คนแต่งตัวอย่างมีอิสระ และมีสีสันอย่างมาก

พลันที่ฆาตกรระเบิดเครื่องบินเห็น เธอถึงกับช็อก เพราะสิ่งที่พบตรงข้ามกับทุกอย่างที่เกาหลีเหนือบอกเกี่ยวกับเกาหลีใต้

“พวกเขาเจริญมากๆ เลย”

เมียงดงเปลี่ยนชีวิตคิม ฮยอนฮุย เมื่อพาตัวกลับมา เจ้าหน้าที่บอกว่าพวกเขามีสิทธิพูดอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ จะด่ารัฐบาล ผู้นำก็ได้ ไม่มีใครจับไปลงโทษ

วินาทีนั้นเอง สปายสาวจากเกาหลีเหนือจึงตระหนักว่า สิ่งที่กระทำลงไปต่อไฟลต์ 858 คือการพรากชีวิตประชาชนที่ไม่รู้เรื่องในความขัดแย้งอะไรด้วยเลย

“ฉันสมควรถูกประหารชีวิตแล้วล่ะ”

4

ความจริงในเกาหลีใต้ทำให้หญิงสาวจากเกาหลีเหนือ ตาสว่าง เข้าใจแล้วว่าตลอดเวลาที่อยู่ในเปียงยาง เธอถูกสอนและล้างสมองให้เคารพตระกูลคิม เชื่อโดยไม่เถียง ทั้งที่ความจริง โลกภายนอกมันกว้างกว่าที่คิด และรุ่งเรืองกว่าประเทศตัวเอง

เธอรับสารภาพผิดในสิ่งที่กระทำ

“ฉันควรตกนรกหมกไหม้ ในบาปที่ก่อไว้”

ผลงานสุดอื้อฉาวที่วางระเบิดเครื่องบิน ฆ่าคนนับร้อย ทำให้คิม ฮยอนฮุยถูกศาลพิพากษาประหารชีวิต แต่ขณะโดนคุมขัง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ตัดสินใจอภัยโทษให้ เพราะเห็นว่าเธอเป็นเพียงแค่เหยื่อจากการถูกโฆษณาชวนเชื่อ

“คนที่ควรถูกลงโทษคือพวกผู้นำตระกูลคิมมากกว่า”

พลันที่ออกมาสัมผัสกับอิสรภาพ หญิงสาวตัดสินใจลี้ภัย และได้พบรักกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของเกาหลีใต้ ทั้งสองแต่งงานและมีลูกด้วยกัน 2 คน

ทว่าการกระทำของคิม ฮยอนฮุยคือการทรยศเกาหลีเหนือ แน่นอนว่าครอบครัวเธอที่นั่นน่าจะถูกลงโทษขั้นรุนแรง แต่หญิงสาวก็ยอมรับว่าคงทำอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยทุกอย่างไว้แบบนั้น กระนั้นเธอก็ยังฝันถึงการรวมชาติเกาหลี และหากเป็นจริง คงได้กลับไปพบครอบครัวที่นั่นอีกครั้ง 

“หวังว่าสักวัน ระบอบตระกูลคิมจะล่มสลายลงเสียที”

ระเบิดเครื่องบินไม่อาจสร้างความกลัวแก่ทั้งโลก เกาหลีใต้สามารถจัดโอลิมปิก 1988 อย่างงดงาม และพัฒนาตัวเองจนรุ่งเรือง ส่วนเกาหลีเหนือยังคงเป็นแดนสนธยาที่ขาดแคลนแทบทุกอย่าง

ทุกวันนี้หญิงสาวกับครอบครัว ต้องมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลถึง 6 คน ที่พักต้องปิดเป็นความลับ เพื่อป้องกันโดนสปายเกาหลีเหนือลอบฆ่า นั่นคือชีวิตที่เธอเลือก อย่างน้อยมันก็ยังสบายกว่ากลับไปอยู่ที่บ้านเกิด

“ตอนที่ฉันได้รับการอภัยโทษ มันเหมือนได้ชีวิตกลับคืนอีกครั้ง ฉันคิดถึงแม่ เธอคงดีใจที่ลูกสาวซึ่งเกือบจะตายยังรอด มีโอกาสหายใจอยู่ ทว่าสิ่งที่ฉันทำลงไป คือเวรกรรมอันรุนแรง อีกใจก็คิดว่าตัวเองสมควรตาย”

แต่ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ นั่นทำให้คิม ฮยอนฮุยไม่ยอมปิดปากเงียบ เธอเขียนหนังสือบอกเล่าชีวิตตั้งแต่เกิด ขณะอยู่ในเกาหลีเหนือ ถูกทาบทามเป็นสายลับ ก่อนไปลงมือก่อการร้ายในปี 1987 

ปัจจุบันหญิงสาวยังเดินทางไปพบครอบครัวผู้เสียชีวิต เพื่อขอโทษ และบอกเล่าโศกนาฏกรรมในวันนั้นให้คนไม่ลืมเหตุการณ์ดังกล่าว 

“การที่ตัวเองยังมีชีวิตรอดจนถึงวันนี้ คงเพราะฉันคือพยานคนเดียวของการก่อการร้ายไฟลต์ 858 มันจึงเป็นชะตาชีวิตที่ต้องพูด บอกเล่าความจริง ถึงความโหดร้ายจากเกาหลีเหนือ

“นี่คือภารกิจของฉันที่จะต้องทำ จนกว่าจะตายจากโลกใบนี้”

ข้อมูลอ้างอิง

https://m.koreaherald.com/article/3142346

https://www.nbcnews.com/news/north-korea/north-korean-ex-spy-kim-hyon-hui-casts-doubt-kim-n839746

https://www.ibtimes.com/kim-hyon-hui-north-korean-spy-who-came-cold-war-1208329

https://www.abc.net.au/news/2013-04-10/my-life-as-a-north-korean-super-spy3a-exclusive/4621358

https://edition.cnn.com/2018/01/22/asia/north-korea-secret-agent-blew-up-plane-intl?cid=ios_app

Tags: , , , , ,