“แซม ช่วยอะไรผมอย่างสิ”

1

ประโยคปลายสายจากโทรศัพท์ที่ แซม อมิแรนตี (Sam Amirante) ได้รับช่วงกลางเดือนธันวาคม 1978 เปลี่ยนชีวิตของอดีตอัยการ ซึ่งลาออกจากตำแหน่งมาเริ่มงานเป็นทนายไปตลอดกาล 

สิ่งที่อีกฝ่ายร้องขอคือ ขณะนี้ตัวเขากำลังถูกตำรวจสะกดรอยตามแทบจะ 24 ชั่วโมง เพราะตกเป็นผู้ต้องสงสัยการหายตัวไปของเด็กหนุ่มวัย 15 ปี

ทนายมือใหม่รับฟังคร่าวๆ และตอบรับที่จะไปพูดคุยกับตำรวจโรงพักเดสเพลนส์ รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

แซมบอกกับเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ว่า หากเจ้าหน้าที่ยังเฝ้ามองสะกดรอย โดยไม่มีหลักฐานหรือหมายจับอย่างจะแจ้ง เขาจำต้องร้องเรียนการประพฤติมิชอบต่อผู้บังคับบัญชาของตำรวจเหล่านี้แน่นอน

ตำรวจรับฟัง แต่ไม่หยุดพฤติกรรมนี้ ยังคงดำเนินกดดันผู้ต้องสงสัยรายนี้อย่างต่อเนื่อง

นั่นทำให้ช่วงเย็นของวันที่ 20 ธันวาคม 1978 เลขานุการิณีของแซม แจ้งมาว่า “มีคนมารอพบคุณนะ เขาชื่อ จอห์น เวยน์ เกซี (John Wayne Gacy)” หรือชายที่เป็นลูกค้าคนแรกในเส้นทางกฎหมายของอดีตอัยการนั่นเอง

เกซีเป็นคนมีชื่อเสียงในชุมชน ทั้งร่วมรณรงค์ทางการเมืองในท้องถิ่น ดูเป็นคนดี ตลก คุยสนุก ในเวลานั้นเขาเดินทางมาหาทนายหนุ่มถึงที่ออฟฟิศ โดยนอกสำนักงาน มีรถตำรวจหนึ่งคันจอดเฝ้าอยู่ พวกเขาติดตามลูกความของแซม ออกจากบ้านมาที่นี่

“เด็กคนนั้นตายแล้ว เขาอยู่ในแม่น้ำเดสเพลนส์”

ประโยคนี้ทำให้ทุกเรื่องราวที่อดีตอัยการรับรู้มาเกี่ยวกับเกซีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คำว่าหน้ามือเป็นหลังเท้า ยังน้อยเกินไป 

“ผมเป็นผู้พิพากษา ลูกขุน และเพชฌฆาตให้กับใครหลายๆ คน”

พูดภาษาชาวบ้านว่า เกซีเป็นฆาตกรนั่นเอง

แซมสำนึกในฉับพลัน ลูกความของเขากำลังสารภาพความผิดในคดีฆาตกรรม แต่ทนายผู้นี้ไม่เคยรู้เลยว่า นี่เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของความโหดร้ายนี้ เพราะนี่ไม่ใช่ศพแรกที่เขาลงมือฆ่า

2

ทุกอย่างเริ่มต้นจากการหายตัวไปของเด็กหนุ่มวัย 15 ปี ซึ่งแม่มารอรับที่ร้านขายของชำในวันเกิดของเธอ โดยเด็กหนุ่มบอกว่าจะไปคุยเรื่องทำงานก่อสร้างที่บริษัทของเกซี ก่อนหายสาบสูญไปตลอดกาล

แม่ของผู้สูญหายแจ้งความ ตำรวจสืบสวนอย่างรวดเร็ว พวกเขาเชิญตัวเกซีมาสอบปากคำ แล้วพบร่องรอยพิรุธมากมาย เมื่อค้นบ้าน แม้ไม่เจออะไร แต่ก็พบบรรยากาศแปลกๆ ในบ้านหลังนี้ จึงดำเนินการสะกดรอยสอดแนม เฝ้าให้อีกฝ่ายเห็นตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มแรงกดดัน หวังว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้จะทำอะไรพลาด

เกซี่โทร.ไปหาแซม เพื่อหวังขอความช่วยเหลือทางกฎหมาย โดยพูดไม่หมดว่า สาเหตุที่เขาโดนแบบนี้คืออะไร แน่นอนอดีตอัยการ กำลังต้องการลูกความคนแรก ในอาชีพทนายคดีอาญา จึงตกลงดูเรื่องนี้ให้ 

แต่พลันที่เกซีรับสารภาพทุกอย่าง เขาถึงกับตกตะลึง ช่วงเวลานั้น ตำรวจมีหลักฐานที่ได้มาหลังจากเกซีเชิญเจ้าหน้าที่ ซึ่งสะกดรอยเขาไปกินอะไรในบ้าน ก่อนเริ่มพล่ามอะไรบางอย่าง ชวนน่าหวาดผวา จนนักสืบพบว่า มีกลิ่นเหม็นเน่าโชยมาจากชั้นใต้ดินของบ้าน จึงขออนุมัติศาลออกหมายจับ 

เมื่อรื้อบ้านทั้งหลัง แล้วพวกเขาก็พบว่า สิ่งที่ชวนสะอิดสะเอียนนั้น แท้จริง คือศพที่ถูกฝังในชั้นใต้ดินนั่นเอง

แถมไม่ได้มีเพียงร่างเดียว โดยเจ้าหน้าที่พบว่ามีนับ 20 กว่าร่างด้วยกัน

เมื่อคุมตัวเจ้าของบ้านมาสอบ ก็ได้รับคำรับสารภาพในทันทีว่า เป็นคนก่อเหตุทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นเด็กหนุ่ม ซึ่งชายคนนี้มักจะลวงนัดสัมภาษณ์งานบริษัทก่อสร้างที่เขาก่อตั้งมา แล้วก่อเหตุทั้งย่ำยี ทำร้ายร่างกาย ก่อนสังหารแบบโหดเหี้ยม

“ผมต้องสร้างชั้น 2 กลบร่างที่ฝังในชั้นแรก เพราะเนื้อที่ไม่พอและไม่อยากขับรถไปที่แม่น้ำ เพื่อทิ้งศพอีกต่อไปแล้ว”

หลายครั้งเกซีเอาตราตำรวจ บังคับเหยื่อซึ่งเป็นเด็กชายวัยรุ่นขึ้นรถ ไปทำทารุณแบบเลือดเย็น เขาฝังร่างผู้เสียชีวิตในบ้าน ไปโยนทิ้งน้ำก็มี แล้วเก็บทรัพย์สินของคนตายไว้เป็นที่ระลึก ตามฉบับฆาตกรต่อเนื่อง ที่เชื่อว่าสิ่งนี้คือถ้วยเกียรติยศในการฆ่าของเขา

และข้าวของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แหละ ทำให้ตำรวจสามารถสืบค้นไปยังผู้เสียชีวิตหลายรายได้ 

นี่คือสิ่งที่แซม ทนายหนุ่มประสบพบเจอ เขาไม่เหลือทางต่อสู้อะไรได้เลย ลูกความของเขา รับสารภาพต่อตำรวจหมดเปลือก อีกทั้งยังพาดูในบ้าน ชี้บริเวณที่ฝังร่างเหยื่อ แถมยังนำเจ้าหน้าที่ไปยังจุดทิ้งศพในแม่น้ำเดลเพลนส์ด้วย และย้ำหลายครั้งว่าตัวเองคือฆาตกรสังหารเด็กหนุ่มอย่างเลือดเย็น

“เขาเล่าเรื่องการฆาตกรรมศพแล้วศพเล่า เล่าถึงการฝังร่าง แถมอยากพิสูจน์ว่าที่พูดมานั้นเป็นเรื่องจริง”

อดีตอัยการฟังเกซีเล่าเรื่องราวให้นักสืบฟังอย่างสนุกปาก ซึ่งสิ่งที่ได้ยินนั้น แซมฟังจากปากเขามาหมดแล้ว ในจังหวะที่พบกัน ณ สำนักงาน แค่เปิดเผยไม่ได้ ตามหลักอภิสิทธิ์ระหว่างลูกความกับทนาย

หากยังทำงานรับใช้รัฐอยู่ แซมไม่ลังเลจะดำเนินคดีด้วยโทษสูงสุด คือประหารชีวิตเกซีอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขาไม่ได้สวมหมวกใบนั้นอีกแล้ว ณ วินาทีนี้เขาคือทนายความคดีอาญา และมีหน้าที่ตามกฎหมาย ต้องดูแลฆาตกรต่อเนื่องผู้นี้

“มีคนพยายามจัดการจอห์นอย่างถึงที่สุด แล้วผมดันมาขวางทางของพวกเขา”

กระนั้นแซมยังเด็ดเดี่ยว ยืนยันจะว่าปกป้องลูกความเขาแบบเต็มที่ โดยจะยื่นให้ศาลพิจารณา เห็นว่าชายคนนี้มีอาการบกพร่องทางจิต พูดง่ายๆ ว่าเป็นบ้า ตอนก่อเหตุไม่รู้ตัวด้วยซ้ำขณะลงมือ

แม้สิ่งนี้จะสร้างความไม่พอใจให้อัยการ และตำรวจที่ต้องขุดศพขึ้นมาร่างแล้วร่างเล่า รวมถึงทำให้ครอบครัวเหยื่อของฆาตกรผู้นี้โกรธแค้น

แต่แซมจำเป็นต้องทำ เพื่อชนะคดีนี้ให้ได้

“ผมจะไม่รู้สึกแย่หรอก ถ้าทำให้เกซีพ้นผิด นี่คือหน้าที่ของผม นั่นคือการปกป้องรัฐธรรมนูญอเมริกา”

3

ชายหนุ่มยืนยันหลักการสำคัญของประเทศนี้ แซมเคยเป็นนาวิกโยธิน เขาปกป้องชาติ เป็นทหารปกป้องอุดมการณ์ของอเมริกาและรัฐธรรมนูญ ทุกคนมีสิทธิแต่งตั้งทนาย ประชาชนทุกคนถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำพิพากษาโดยลูกขุน ไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่อัยการ ไม่ใช่สื่อ

ทุกอย่างต้องดำเนินผ่านกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องชอบธรรมเท่านั้น

แม้ลูกความคนแรกของเขาจะเป็นปีศาจในสายตาคนทั้งโลก แต่เขาจำเป็นต้องทำหน้าที่อย่างดีที่สุด หากไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากเคสนี้ไป จะมีใครกล้าจ้างเขาทำหน้าที่ทนายให้อีกล่ะ

“เราจะไม่ให้นักข่าวเป็นคนตัดสินคดี แม้จะมีหลักฐานมากมายโยงถึงเขา แต่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ควรมีสิทธิได้โต้เถียงยืนยันความบริสุทธิ์ตัวเองในชั้นศาล”

นี่คือสิ่งที่แซมยืนยัน

เขาตอบโต้การทำงานของตำรวจหลายอย่าง อ้างว่าคำรับสารภาพที่เกซีพูดโม้ไว้นั้นเป็นการบอกเล่า นักสืบไม่เคยเขียนบันทึกการให้ปากคำอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้เขายังใช้จิตแพทย์มาประเมินยืนยันว่า ชายคนนี้วิปลาส ไม่ควรถูกนำไปขังคุก แต่ควรถูกส่งตัวรักษาในโรงพยาบาลแทน

สิ่งที่เขาทุ่มเทลงไปนั้นค่อยๆ ส่งผลต่อชีวิตและครอบครัวของตัวเอง ทีละนิดทีละหน่อย เจ้าตัวรู้ว่าลูกความตกเป็นรอง ทั้งในสื่อ สังคม และชั้นศาล เมื่อลูกขุนเห็นเกซี พวกเขาแทบจะมีคำพิพากษาล่วงหน้าไว้แล้ว

ยากจะพลิกฟื้นให้มองเป็นอื่นได้

ยิ่งอัยการมีหลักฐาน มีครอบครัวของผู้เสียชีวิต พร้อมให้ปากคำมากมาย รวมถึงความผิดในอดีตของเกซีที่เคยอนาจารเด็กชาย ทั้งหมดนี้ แทบจะโน้มน้าวให้เก้าอี้ไฟฟ้าทำงานประหารชีวิตได้ทันที

ความเครียดทั้งหมดนี้เองทำให้แซมอุทิศทุกอย่าง เพื่อโต้แย้งให้กับปีศาจ จนสุดท้ายต้องหย่าร้างกับภรรยาสุดที่รัก ต้องแยกกันอยู่ ไม่ได้เห็นบุตรชาย 2 คนเติบโต เพราะต้องทำคดีปกป้องฆาตกรต่อเนื่อง

วันเวลาผ่านไปหลายปี แซมถึงกับแสดงความเสียใจภายหลังว่า “ผมอยากขอโทษลูก 2 คน ที่ตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว รวมถึงอดีตภรรยา ซึ่งเป็นแบบนี้ เพราะผมไม่ได้ใช้เวลาเพียงพอกับเธอ

“สิ่งนี้มันติดค้างรบกวนผมจนถึงปัจจุบัน”

ทุกอย่างที่สูญเสีย เกิดขึ้นเพราะแซมต่อสู้อย่างหนักในชั้นศาล เพื่อให้เกซีได้รับประโยชน์สูงสุดในกระบวนการยุติธรรม

แม้ว่าเขาจะถูกตัดสินไว้ล่วงหน้านานแล้วว่า มีความผิดก็ตาม

4

ในที่สุดลูกขุนก็มีคำตัดสินว่า ฆาตกรต่อเนื่องผู้นี้ก่อเหตุฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมถึง 33 ศพ ผู้พิพากษามีคำพิพากษาให้นำตัวปีศาจร้ายไปประหารชีวิตด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า

นั่นคือความพ่ายแพ้ของแซมต่อเคสนี้ แม้เขาจะสู้อย่างถึงที่สุด งัดหลักฐานทุกอย่าง เพื่อปกป้องเกซีแล้ว แต่สุดท้ายความจริงก็ปรากฏ ชายคนนี้คืออสุรกายที่ฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมเลือดเย็นจริงๆ

โทษที่เขาได้รับจึงเหมาะสมแล้วทุกประการ

ผ่านไปหลายปี แซมจึงเล่าถึงลูกความคนแรกในชีวิตว่า “เกซีคือจอมบงการ หลอกคนอื่นได้เก่งมาก และฉลาดตั้งแต่เกิด”

ทนายหนุ่มยังเผยว่า นักฆ่าผู้นี้ยืนยันว่าก่อเหตุสังหารคนมากไปกว่า 33 ศพ แต่เขาไม่บอกตำรวจว่าร่างที่เหลืออยู่ไหน และเขาจะไม่มีวันเปิดปากเล่าอีกต่อไป

มันเป็นหน้าที่ของทางการ ที่ต้องไปค้นหาเอง

วันที่ 10 พฤษภาคม 1994 เกซีถูกประหารชีวิต โดยอาหารมื้อสุดท้ายคือไก่กับกุ้งชุบแป้งทอด คำพูดสุดท้ายก่อนตายคือคำว่า “มาจุ๊บตูดกูสิ”

อัยการที่ไต่สวนและลากตัวเขาเข้าคุกพูดกับสื่อว่า 

“เขาตายอย่างทรมานน้อยกว่าเหยื่อที่ฆ่าเสียอีก”

ผ่านไปหลายปี แซมออกหนังสือบอกเล่าชีวิตของตัวเองในช่วงที่ต้องว่าความให้เกซี มันได้รับความนิยมมาก และสังคมยกย่องชายที่ยึดมั่นว่าหลักกฎหมายย่อมเหนือกว่าความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ต้องมีความชอบธรรม และเที่ยงตรง ไม่ว่าใครจะถูกหรือผิด พวกเขาควรมีตัวแทนในกระบวนการพิจารณาคดี

การเป็นทนายให้กับเกซีเปลี่ยนชีวิตแซม ทั้งแง่ร้ายและดี แม้ครอบครัวจะแตกสลาย แต่ก็ทำให้ทนายหนุ่มรู้วิธีการรับมือกับสื่อ เห็นอกเห็นใจคนมากยิ่งขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งของการเขียนกฎหมาย เปลี่ยนแปลงการทำงานของตำรวจต่อเด็กหาย จากที่ต้องรอถึง 72 ชั่วโมง ก็สามารถดำเนินการได้ทันที

หลักปฏิบัตินี้ทำให้เด็กกว่า 3,000 คน ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ภายในปีแรกที่กฎหมายฉบับนี้ผ่านบังคับใช้

ต่อมาเจ้าตัวได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้พิพากษา เขาดำรงตำแหน่งนี้จนเกษียณ ก่อนออกมาเปิดสำนักกฎหมายว่าความให้ประชาชนดังเดิม

สำหรับลูกความคนแรกนั้น แซมเห็นว่าเกซีไม่ควรถูกประหารชีวิต “พวกเขาควรจะศึกษาชายคนนี้ และค้นหาว่าทำไมถึงก่อเหตุ จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกมากกว่า”

ทุกวันนี้ เจ้าตัวยังเก็บภาพที่เกซีวาดให้ พร้อมกับความทรงจำมากมาย ต่อคนที่ได้รับการขนามนามว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดของโลก ซึ่งยังมีการค้นพบเหยื่อที่เขาฆ่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้

“คุณคิดว่าเมื่อตายไป เกซีจะตกนรกหมกไหม้หรือเปล่าครับ” นักข่าวเคยถามแซม “หรือขึ้นสวรรค์” 

ชายชราฟังประโยคนี้แล้ว ถึงกับหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนพูดไปเรียบๆ ว่า

“มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้คำตอบนี้

“ผมไม่อาจตอบมันได้หรอก”

ข้อมูลอ้างอิง

https://www.sj-r.com/story/news/2011/08/14/attorney-sheds-light-on-one/43907951007/

https://www.nbc.com/nbc-insider/john-wayne-gacy-last-words-and-last-meal

https://web.archive.org/web/20190920225430/https://www.deseret.com/1994/5/10/19108035/serial-killer-executed-by-injection-in-illinois

https://www.nbcchicago.com/news/local/gacy-attorney-when-he-was-bad-he-was-the-worst-of-evil/1907476/

https://www.seattlepi.com/lifestyle/blogcritics/article/Interview-Judge-Sam-Amirante-Author-of-John-3910437.php

https://www.oxygen.com/crime-news/where-is-sam-amirante-serial-killer-john-wayne-gacys-defense-lawyer-now

https://www.cbsnews.com/chicago/news/gacy-lawyer-reveals-chilling-details-of-mass-murder/?utm_source=chatgpt.com

https://www.flicks.com.au/features/documenting-pure-evil-interview-with-scott-prestin-co-director-of-defending-a-monster/?utm_source=chatgpt.com

Tags: , , , , ,