1
“พอวิทยุประกาศยุติการค้นหา ทุกคนก็ตัดสินใจได้ทันที เราเริ่มกินเนื้อคนตั้งแต่ตอนนั้น”
วันที่ 13 ตุลาคม 1972 เจ้าหน้าที่หอควบคุมการบินของชิลีเห็นความผิดปกติขึ้น เมื่อเครื่องบินลำหนึ่งของกองทัพอากาศอุรุกวัย หายไปจากจอเรดาร์
เครื่องบินลำนี้บรรทุกผู้โดยสารรวมกัน 45 คน โดยมีกัปตันและลูกเรือรวม 2 ราย และหญิงสาวคนหนึ่งที่จะเดินทางไปงานแต่งลูกที่ชิลีอีกหนึ่ง ส่วนที่เหลือ 42 ราย คือทีมนักรักบี้สมัครเล่น ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย พวกเขาจะเดินทางไปแข่งการกุศลเชื่อมสัมพันธไมตรีทางศาสนาคริสต์ โดยบางคนก็พาครอบครัวไปด้วย
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า เครื่องลำดังกล่าวหายไปบริเวณเทือกเขาแอนดีส เทือกเขาที่ยาวสุดในโลก พาดผ่านหลายประเทศในอเมริกาใต้ โดยจุดที่เครื่องหายไปนั้นอยู่ใกล้ๆ กับพรมแดนชิลี-อาร์เจนตินา จึงมีการประสานงานส่งเฮลิคอปเตอร์ออกสำรวจ ทีมกู้ชีพระดมกำลังทันที
อย่างไรก็ดีทางการกลับด่วนสรุปว่า เครื่องลำดังกล่าวน่าจะชนเทือกเขาแอนดีสและตกลงไปในความขาวโพลนแห่งหิมะ ไม่น่าจะมีใครรอดชีวิตได้
10 วันหลังการค้นหา เจ้าหน้าที่ก็ยุติปฏิบัติการดังกล่าว เพราะเชื่อว่าผู้โดยสารบนเครื่องลำนี้ตายยกลำแล้ว
มีการออกข่าวผ่านช่องวิทยุ ซึ่งทางการไม่รู้เลยว่า ภายใต้หิมะที่โหมกระหน่ำและความหนาวสุดยะเยือก จะมีซากเครื่องบินติดอยู่ในนั้น พร้อมผู้รอดชีวิตอยู่จริงๆ
พลันที่พวกเขาเหล่านั้นได้ยินข่าวหยุดปฏิบัติการค้นหาพวกเขา ต่างก็สิ้นหวัง และจึงนำไปสู่การตัดสินใจเอาตัวรอดครั้งสำคัญ นั่นก็คือ
‘การกินเนื้อคน’
2
นักรักบี้สมัครเล่นหลายคน เป็นหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ ที่อยากจะเดินทางไปแข่งขันกระชับมิตรต่างแดนอย่างยิ่ง “ผมได้ยินว่าการไปแข่งครั้งก่อนมันสนุกมาก เลยไม่ยอมพลาดการเดินทางนัดนี้อย่างแน่นอน”
อย่างไรก็ดีไม่มีใครคิดว่า มันจะเป็นหายนะของพวกเขาทุกคน
เริ่มจากเครื่องบินที่จัดหามามีสมรรถภาพต่ำมาก เครื่องลำนี้ไม่อาจพาผู้โดยสารจากอุรุกวัยไปยังชิลีได้ เพราะพายุและหิมะตกหนัก พวกเขาจึงลงจอดในอาร์เจนตินา แต่เพราะเป็นเครื่องที่เช่ามาจากกองทัพอากาศอุรุกวัย จึงไม่สามารถจอดได้นาน 24 ชั่วโมง
กัปตันจึงต้องนำเครื่องขึ้นในที่สุด และตัดสินใจสุดอหังการ คือพาผู้โดยสารบินผ่านเทือกเขาแอนดีสอันสูงชัน ตระหง่านและสุดอันตราย เพื่อไปยังปลายทางให้ได้
ปัญหาก็คือกัปตันดันคำนวณเส้นทางผิด ประกอบกับพายุหิมะที่บดบังวิสัยทัศน์ ทำให้เครื่องชนเข้ากับเทือกเขาแอนดีสอย่างแรง ลำตัวฉีกขาดและร่วงกระแทกกับพื้นอย่างจัง จากเครื่องบินลำใหญ่ เหลือเพียงซากตัวเครื่องอันนิดเดียว พร้อมกับวิญญาณของผู้โดยสารบนเครื่องรวมกัน 12 ชีวิตที่ถูกมัจจุราชพรากไป
“เสียงมันดังมาก เหมือนระเบิดเลย”
“ผมคิดว่าตายแล้ว แต่ตอนนั้นกลับรู้สึกกระหายน้ำ ถ้าผมตาย ทำไมยังรู้สึกแบบนี้อยู่”
คำบอกเล่าของพยานรอดชีวิตเผยนาทีมรณะสุดสลด
พวกเขาเหลือกันเพียง 33 คน เป็นนักรักบี้สมัครเล่นที่ตอนแรกจะได้เดินทางไปแข่งกระชับมิตรอย่างสนุกสนานทั้งหมด
แต่บัดนี้ พวกเขาต้องเอาตัวรอดท่ามกลางความขาวยะเยือกแห่งเทือกเขาแอนดีส พร้อมทั้งหิมะและอากาศที่หนาวเย็น ทุกคนต้องเอาตัวรอดจากธรรมชาติสุดโหดร้าย ทุกอย่างดูน่าสะพรึงไปหมด นี่คือหายนะอย่างแท้จริง
“ผมคิดในตอนนั้นว่า ฉิบหาย กูจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไงวะ”
3
สิ่งที่ผู้รอดชีวิตทำ นั่นก็คือการคุ้ยหาอาหารทั้งหมดในตัวเครื่อง ขนมทุกอย่างถูกเอาออกมา และก็ถูกกินหมดไปภายใน 3 วัน ระหว่างนั้นพวกเขาพบว่า วิทยุของเครื่องบินยังทำการได้อยู่ จึงได้ฟังเสียงทีมกู้ภัยออกค้นหา ทุกคนเห็นเฮลิคอปเตอร์บินผ่านไปมา แม้จะยกมือโบก ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
แต่ไม่มีใครเห็นพวกเขาจากบนฟากฟ้า เพราะหิมะบดบังทุกอย่างหมด
เวลาผ่านไปทุกคนเริ่มสิ้นหวังไปเรื่อยๆ หลายคนบาดเจ็บ ในสภาพอากาศติดลบแบบนี้ ร่างกายจะสูญเสียน้ำเร็วกว่าปกติถึง 3 เท่า
ผู้รอดชีวิตจึงเอาหิมะมาใส่ถ้วย เพื่อรอให้มันละลายกลายเป็นน้ำ แล้วแบ่งกันกิน เมื่ออาหารเริ่มร่อยหรอและหมดไป พวกเขาก็คุ้ยเอาหนังของกระเป๋าเอกสารมากิน กัดเบาะมาประทังชีวิต กินอะไรที่คุณไม่มีวันทำตอนมีชีวิตปกติแน่ๆ
พวกเขาทุกคนเป็นผู้ศรัทธาในพระเจ้า เชื่อมั่นในศาสนาคริสต์ ต่างสังเวชใจกับซากศพที่แข็งตายกระจายอยู่โดยรอบ แต่เมื่อความหิวเริ่มครอบงำหนักขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ความดำดิ่งแห่งสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ ก็เริ่มสั่งการขึ้น
ศพพวกนี้ มีเนื้อที่นุ่ม เราสามารถกินมันได้
33 ชีวิตเริ่มมาคุยกันในลำตัวของเครื่องบินที่ยังหลงเหลืออยู่ พวกเขานั่งบนเก้าอี้ที่กลายเป็นเตียงนอน ห่มผ้าห่มอะไรก็ได้ให้อุ่น หน้าตาซีดเซียว มีรอยแผลจากหิมะกัด ทุกคนสุขภาพโรยรา น้ำหนักลดลง หากไม่ทำอะไรสักอย่าง พวกเขาจะตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
และจะไม่มีใครมาพบเจออีกตลอดกาล
นั่นจึงนำไปสู่การถกเถียง ทีแรกทุกคนมองว่าการกินเนื้อมนุษย์ จะเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่เมื่อ 10 วันผ่านไป พอทางการประกาศยุติการค้นหา
33 ชีวิตจึงเริ่มจับมือกันและตกลงกันว่า “ถ้าฉันตาย กินร่างฉันไปเถอะ อย่างน้อย แกจะได้มีแรงออกไปจากที่นี่ และไปบอกครอบครัวฉันว่า ฉันรักพวกเขามากแค่ไหน”
พวกเขาหาเศษแก้ว เหลาให้คม แล้วเฉือนเนื้อมนุษย์ที่เสียชีวิต ก่อนแจกจ่ายกินกัน มันเป็นความสะอิดสะเอียนอย่างมาก หลายคนไม่กล้าแม้แต่อ้าปากด้วยซ้ำ
แต่เพราะสภาวะจำเป็น หากไม่ทำก็จะต้องอดตาย ทุกคนจึงต้องฝืนกิน เพื่อเอาชีวิตรอด
หลายศพถูกกิน 33 ชีวิตรอคอย หวังให้ร่างกายมีเรี่ยวแรง เพื่อจะได้ออกไปขอความช่วยเหลือ
แต่ดูเหมือนเคราะห์ซ้ำยังกรรมซัดต่อเนื่อง วันที่ 17 หลังเครื่องบินตก พายุหิมะก็ถล่มใส่ตัวเครื่องบิน 33 ชีวิตถูกฝังอยู่ภายใน ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 8 รายด้วยกัน
25 ชีวิตที่ยังมีโอกาสหายใจ ตะเกียกตะกายขุดหิมะ หนีรอดจากการถูกฝังทั้งเป็นได้สำเร็จ และ 3 วันต่อมา พวกเขาก็เริ่มกินเนื้อคนอีกครั้ง
หลายคนเฝ้ามองเพื่อนรักจากไป บาดแผลและความเจ็บปวดจากเครื่องบินตก มันค่อยๆ พรากชีวิตผู้รอดตายที่ติดอยู่ในซากเครื่องบินไปทีละคน จนเหลือกันแค่ 16 รายเท่านั้น
ถึงตรงนี้ 16 ชีวิตเข้าใจตรงกันแล้วว่า ต่อให้กินเนื้อพวกเดียวกันเองมากแค่ไหน ก็ไม่อาจหยุดความจริงได้ว่า ทุกคนจะต้องตายจนหมด และคนที่เหลือรายสุดท้าย ก็ทำได้แค่กินเนื้อเพื่อนเท่านั้น แล้วก็แค่รอวันลาโลกอย่างแน่นอน
ทุกคนมีอาการบาดเจ็บ ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะเดินออกไปกลางเทือกเขามหึมาเนื้อที่กว้างใหญ่ได้เลย อย่างไรก็ดี เมื่อถึงจุดหนึ่ง ทั้งการกินเนื้อคน ความสิ้นหวังที่ต้องมองเพื่อนตาย สมาชิกในทีม 3 คนซึ่งร่างกายดีที่สุด ก็ตัดสินใจจะเดินออกจากที่ตรงนี้ เพื่อไปขอความช่วยเหลือ
“ตอนที่ผมตัดสินใจที่ออกจากซากเครื่องบิน ก็คิดว่าคงไม่ได้กลับมาแล้ว มันเป็นภารกิจฆ่าตัวตายชัดๆ”
แต่การทำแบบนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย 3 ชีวิตจะต้องฝ่าพายุหิมะ ปีนขึ้นเขา เดินอย่างช้าๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ทำให้ระหว่างทาง 1 รายขอกลับไปอยู่ที่เครื่องบินดีกว่า
เหลือเพียง 2 ชีวิต ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน พวกเขานึกได้ว่าก่อนที่เครื่องจะร่วง นักบินบอกว่า ขณะนี้พวกเขาอยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาแอนดีส ใกล้กับชิลี หากเราเดินไปเรื่อยๆ ก็อาจจะเห็นมนุษย์คนอื่นก็เป็นได้
พวกเขาออกเดินและก็ไม่พบอะไร แต่ 2 ชีวิตที่ตัดสินใจอย่างกล้าหาญต่างปลอบประโลมใจกันว่า
“เพื่อนฟังนะ ฉันเดินไปคนเดียวไม่ได้ เราจะไปกลับที่ซากนั้นอีกทำไม เพื่อที่จะตายต่อหน้านายนะเหรอ”
ทั้งคู่เห็นด้วย ไปต่อก็ตาย ไม่ไปต่อก็ตายแน่ๆ ดังนั้น ไปต่อดีกว่า อย่างมากก็แค่ตาย
พวกเขาออกเดินฝ่าหิมะ ฝ่าพายุ ฝ่าความหนาวเย็น ฝ่าความมืดอันยะเยือกสุดสะพรึง ฝ่าทุกความกลัวว่าจะต้องเสียชีวิต ฝ่าทุกความหวั่นไหวว่าจะหลงในเทือกเขาแห่งนี้ ฝ่าทุกอุปสรรค ฝ่าทุกสิ่งทุกอย่าง เดินไปเรื่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ แค่นั้น
ถ้าท้อก็ปลอบใจกัน ถ้าเหนื่อยก็พักสักนิด ถ้ากลัวก็จับมือกันให้แน่น กล้าก้าวไปต่อ ขยับเท้าไปทีละนิด ทีละหน่อย เท่านี้
ด้วยสภาพร่างกายแบบนั้น ความเจ็บปวด ความเศร้า ความท้อดำเนินผ่านไปแต่ละวัน แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว จะเป็น จะอยู่ หรือจะตาย ทั้งสองไม่รู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น
ขาขยับไปทีละนิดทีละหน่อย กินเวลาราว 10 วัน รวมระยะทางจากจุดเครื่องบินตก เกือบ 60 กิโลเมตร พวกเขาก็เดินไปถึงแม่น้ำสายหนึ่ง แล้วก็เห็นคนเลี้ยงสัตว์อยู่อีกฟาก
2 ผู้รอดชีวิตตะโกนสุดเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เพราะหิมะที่พัดอย่างโหมกระหน่ำ ทำให้ชายอีกฟากไม่ได้ยินเสียง แต่ได้ส่งสัญญาณให้ใจเย็น อีกวัน เขาพาลูก 2 คนมาด้วย ก่อนจะนำดินสอกระดาษและขนมปัง มัดกับก้อนหิน แล้วโยนไปให้อีกฝ่าย
กินเวลาไม่นาน ผู้รอดตาย 2 คนนั่งลงเขียนข้อความแล้วโยนกลับมา มันปรากฏตัวหนังสือสรุปมาได้ว่า
“ผมมาจากเครื่องบินที่ตกในภูเขา เป็นคนอุรุกวัย พวกเราเดินมากันกว่า 10 วันแล้ว ผมมีเพื่อนที่บาดเจ็บอีก 14 คนอยู่ที่ซาก พวกเราต้องการความช่วยเหลือ พวกเราไม่มีอาหารเลย โปรดข้ามมาแล้วช่วยพวกเราด้วย”
พลันที่คนเลี้ยงสัตว์อ่านข้อความนี้ เขาก็รีบเดินทางกว่า 10 ชั่วโมง ไปพบกองทัพชิลี เพื่อแจ้งข่าวให้ทราบ ทางเจ้าหน้าที่ทหารตัดสินใจนำเฮลิคอปเตอร์และทีมกู้ชีพรุดข้ามแม่น้ำ แล้วพาตัวทั้งสองปฐมพยาบาลเบื้องต้นทันที
หลังจากนั้นจึงตัดสินใจให้ทั้งคู่ช่วยชี้จุดว่า ซากเครื่องบินนั้นอยู่ที่ไหน ผู้รอดตายชี้จุด ทำเอานักบินช็อก เพราะมันไกลจากระยะทางที่เดินมามากๆ
72 วันแห่งความบ้าคลั่ง ปาฏิหาริย์แห่งเทือกเขาแอนดีสก็เกิดขึ้นจริงๆ
14 ชีวิตที่นั่งอยู่ในซากเครื่องบินอย่างสิ้นหวัง คิดว่าคงจะไม่รอดไปจากตรงนี้แล้ว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคล้ายเครื่องยนต์บินเข้ามาเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มเดินอย่างอ่อนล้าเพื่อออกไปดู และเห็นเฮลิคอปเตอร์ลงจอด พร้อมเพื่อนของพวกเขา 2 คนที่หายไปกว่า 10 วัน
“พอประตูเปิด เพื่อน 3 คนก็กระโดดมาหาผม จูบและตะโกน มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อและบีบคั้นมาก มันเป็นครั้งแรกที่พวกเรารู้สึกมีชีวิตกันอีกครั้ง”
เจ้าหน้าที่ลงมาช่วยเหลือ และเริ่มอพยพนักรักบี้สมัครเล่น ซึ่งแต่ละคน น้ำหนักลดไปครึ่ง สุขภาพย่ำแย่อาการสาหัส การช่วยเหลือต้องดำเนินการ 2 เที่ยว มีผู้รอดชีวิตต้องค้างในเครื่องอีกคืน เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้พาตัวส่งโรงพยาบาล
หนึ่งในผู้ที่ออกไปขอความช่วยเหลือ ถูกพาตัวจากเฮลิคอปเตอร์มาหน้าโรงพยาบาล และเขาได้ปฏิเสธที่จะนอนบนเตียง โดยให้เหตุผลว่า
“หยุดเลย ผมเดินข้ามเทือกเขาแอนดีสมาด้วยตีนเปล่า ดังนั้น ผมจะไม่มีวันนอนบนเปลเพื่อถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินอย่างแน่นอน”
ชายหนุ่มก้าวลงจากเฮลิคอปเตอร์ แล้วเดินเท้าเข้าไปในโรงพยาบาลอย่างองอาจ
4
การรอดชีวิตครั้งนี้ เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก ไม่น่าเชื่อว่า 72 วันจากเครื่องบินตก จะมีคนรอดตายมาได้ มันเป็นปรากฏการณ์แห่งปาฏิหาริย์ แต่ขณะที่ผู้รอดตายรักษาตัวในโรงพยาบาล นักข่าวก็เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ และพวกเขาก็พบซากศพถูกชำแหละ ซึ่งเป็นไปได้อย่างเดียวว่า มันถูกกินโดยผู้รอดชีวิตแน่ๆ
นี่ก็กลายเป็นข่าวใหญ่เช่นกัน อย่างไรก็ดีผู้รอดตายทั้งหมด ไม่แยแสกับความสะอิดสะเอียนที่สังคมปกติบรรจงมอบให้แม้แต่น้อย เพราะพวกเขายืนยันว่าในสภาพแบบนั้น คุณจะให้ทำอย่างไรล่ะ
เรื่องราวการกินเนื้อคนในเหตุเครื่องบินตกครั้งนี้ ถูกถกเถียงมากมายในสังคมชาวโลก ผู้รอดตายบอกว่า สิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่การกินเนื้อคน เพราะถ้าจะทำแบบนั้นต้องฆ่ามนุษย์ก่อน แต่พวกเขาแค่กินศพที่ตายไปแล้วเท่านั้น
การถกเถียงดำเนินไปอย่างดุเดือด แต่ผู้รอดชีวิตทั้ง 16 คน ต่างพอใจที่ได้รอดตายอีกครั้ง หลังหายดี และใช้ชีวิตต่อไป บางคนก็ออกมาตอบโต้เรื่องกินเนื้อมนุษย์ และบางคนก็เลือกจะเขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด
กินเวลาผ่านไป สังคมจากที่สะอิดสะเอียนผู้รอดชีวิต เริ่มเปลี่ยนมุมมอง เมื่อมีการนำเสนอเรื่องราวในความเลวร้ายทั้ง 72 วันมากขึ้น หลายฝ่ายก็พอยอมรับว่าในสภาพแบบนั้น ถ้าไม่ให้กินเนื้อคน แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า เพราะพวกเขาทุกคนก็ต้องพยายามเอาตัวรอดทั้งนั้น
แถมเมื่อตรวจสอบเรื่องราวดีๆ ก็พบว่า ทั้งหมดไม่ได้ฆ่าใคร พวกเขาแค่เอาศพที่ตายไปแล้วมาชำแหละเพื่อกินเนื้อประทังชีวิต โดยมีการสัญญาอนุญาตให้เพื่อนในทีมกินเนื้อตัวเองได้ หากตายก่อน โดยทุกคนมุ่งมั่นที่จะเอาตัวรอด และพากันมีชีวิตต่อ เพื่อขอความช่วยเหลือให้ได้
แล้วทุกอย่างก็เป็นดังที่หวัง 72 วันที่เกือบตาย แต่16 ชีวิตก็ไม่ได้ตาย แต่ยังมีลมหายใจสืบมาจนถึงทุกวันนี้
เหตุการณ์นี้ถือเป็นปาฏิหาริย์ที่มีกลิ่นอายแห่งความกล้าหาญซึ่งยิ่งใหญ่เอามากๆ จนในที่สุด ก็สามารถบดบังการกินเนื้อคนไปได้อย่างมิดชิด
เพราะถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่มีใครลืมความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นที่จะเอาตัวรอด โดยไม่เห็นแก่ตัว ไม่ทิ้งซึ่งกันและกัน ท่ามกลางโศกนาฏกรรม ความโหดเหี้ยม ความน่าสะอิดสะเอียน มันมีความงดงามต่อความไม่หวั่นไหว และรักในผองเพื่อนเท่ากับชีวิตตัวเองอยู่
ส่วนเรื่องการกินเนื้อคนนั้น ผ่านไปหลายปี หนึ่งในผู้รอดชีวิตได้บอกกับนักข่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า “บางคนคิดว่าการกระทำแบบนี้ มันก็พอรับไหว ทว่าบางคนก็รับไม่ได้ แต่ตัวผมนั้นไม่ได้แคร์อะไรเลย เพราะจากเรื่องทั้งหมดนี้
“ใครก็ไม่ควรมีสิทธิมาตัดสินอะไรพวกเราทั้งสิ้น”
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.esquire.com/entertainment/movies/a46288794/society-of-the-snow-true-story/
https://www.theguardian.com/world/2023/dec/04/nando-parrado-andes-plane-crash-1972-rugby-team
https://abcnews.go.com/US/survivors-1972-uruguay-plane-crash-revisit-tale-extremes/story?id=98405303
http://news.bbc.co.uk/onthisday/hi/dates/stories/december/22/newsid_3717000/3717502.stm
https://www.history.com/news/miracle-andes-disaster-survival
Tags: ชิลี, Haunted History, อเมริกาใต้, แอนดีส, อุรุกวัย, Society of the Snow