1.
ปี 1982 โรเบิร์ต เคปเพล (Robert Keppel) เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษที่รัฐวอชิงตันตั้งขึ้นมาเพื่อไล่ล่าฆาตกรต่อเนื่องที่สังหารหญิงสาวไปแล้ว 4 ราย ก่อนนำศพไปทิ้งที่แม่น้ำกรีน จนสื่อตั้งสมญานามให้ว่า ‘นักฆ่าแห่งแม่น้ำกรีน’ (The Green River Killer) โดยทีมนี้จะสำรวจหาเบาะแสทุกอย่างเพื่อติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาให้ได้
อย่างไรก็ดี ผ่านมา 4 ปี ทีมชุดนี้ก็ยังไม่สามารถจับกุมฆาตกรได้ แถมยอดผู้เสียชีวิตก็พุ่งไปถึง 48 ศพ ทุกคนจึงทำงานท่ามกลางแรงกดดัน แต่ก็ไม่ท้อถอย แม้จะคว้าน้ำเหลวมาตลอดก็ตาม
วันหนึ่ง เดฟ ไรเคิร์ต (Dave Reichert) นักสืบดาวรุ่งได้แจ้งข่าวกับโรเบิร์ตผู้เป็นหัวหน้าชุดว่า เท็ด บันดี (Ted Bundy) เขียนจดหมายมาหาว่าอยากให้ข้อมูลเรื่องฆาตกรต่อเนื่องรายนี้
โรเบิร์ตขมวดคิ้ว เพราะเท็ด บันดี คือฆาตกรต่อเนื่องชื่อกระฉ่อน เจ้าของคดีฆ่าข่มขืนหญิงสาวไปมากกว่า 36 ราย ตัวเท็ดนั้นฉลาดเป็นกรด มีเสน่ห์ หน้าตาหล่อเหลา แถมยังเรียนจบมหาวิทยาลัย ทำให้เหยื่อผู้หญิงหลงเชื่อ ก่อนถูกเขาล่อลวงไปฆ่าข่มขืน ซึ่งขณะนั้นเท็ดถูกจับขังอยู่ในเรือนจำรัฐฟลอริดา กำลังรอการกำหนดโทษประหารชีวิต และเขาได้เขียนจดหมายหาชุดปฏิบัติการพิเศษที่กำลังไล่ล่านักฆ่าแม่น้ำกรีน โดยย้ำว่ามีเบาะแสที่จะช่วยจับฆาตกรสุดโหดรายนี้ได้
โรเบิร์ตกับเดฟตกลงไปพบกับเท็ด บันดี ระหว่างนั่งเครื่องบิน โรเบิร์ตนึกย้อนไปถึงปี 1974 ราวเดือนกันยายน ขณะนั้นเป็นเวลาตี 5 เขาเพิ่งได้เป็นนักสืบแผนกฆาตกรรมได้เพียง 2 สัปดาห์ ในตอนเช้ามืดนั้นเองที่เขาได้รับแจ้งว่าพบศพหญิงสาว 2 รายถูกฆ่า แล้วนำศพมาทิ้งไว้ในทะเลสาบแห่งหนึ่ง โรเบิร์ตตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด และสืบสวนตามรอยจนทราบชื่อเหยื่อผู้เสียชีวิตทั้งสองราย ซึ่งทางญาติแจ้งว่าหายตัวไปเมื่อหลายเดือนก่อน
นักสืบหนุ่มติดตามเบาะแสต่อจนพบว่าศพหญิงสาวทั้งสองคนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่ถูกนำศพมาทิ้งจุดเดียวกัน โดยมีพยานเห็นว่าทั้งคู่ขึ้นรถโฟล์กสวาเกนคันเดียวกัน โรเบิร์ตลุยหาหลักฐานเพิ่มเติมจนพบข้อมูลจากพยานว่า ชายคนหนึ่งมักจะชวนผู้หญิงขึ้นรถโฟล์ก โดยเขาจะแนะนำตัวเองว่าชื่อ ‘เท็ด’
ข้อมูลนี้ทำให้โรเบิร์ตนั่งค้นหาข้อมูลเจ้าของทะเบียนรถโฟล์กในรัฐวอชิงตัน ซึ่งมีจำนวนมหาศาล จนรู้ว่าไอ้หนุ่มชื่อเท็ดที่เป็นบุคคลต้องสงสัย ชอบขับรถโฟล์กสวาเกนตระเวนรับตัวหญิงสาวจนถูกพบเป็นศพในทะเลสาบ มีชื่อเต็มว่า เท็ด บันดี นั่นเอง
นักสืบหนุ่มมาทราบว่าตัวเท็ดนั้นถูกจับตัวได้โดยตำรวจจากรัฐอื่นไปแล้ว หากจะสืบคดีนี้ต่อ มีทางเดียวคือต้องไปพบเท็ดเพื่อรีดเอาคำรับสารภาพ แต่งานนักสืบทำให้โรเบิร์ตไม่อาจปลีกตัวไปได้ จดหมายของเท็ดฉบับนี้จึงเป็นโอกาสดีที่โรเบิร์ตจะถามเท็ด บันดีว่าได้ก่อเหตุหรือเกี่ยวข้องกับการฆ่าหญิงสองคนนั้นจริงหรือไม่ หากเท็ดรับสารภาพ คดีก็จะได้ปิดลงอย่างเป็นทางการเสียที
ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา โรเบิร์ตไม่เคยลืมผู้เสียชีวิตทั้งสองราย เขามุ่งมั่นว่าวันหนึ่งจะได้ไปบอกกับญาติผู้เสียชีวิตว่ารู้ตัวฆาตกรที่ฆ่าพวกเธอแล้ว
2.
โรเบิร์ตไม่เคยอยากเป็นนักสืบหรือตำรวจนอกเครื่องแบบเลย เขามุ่งมั่นเรียนจบด้านตำรวจหวังจะใส่เครื่องแบบเหมือนพ่อ แต่เพราะนักสืบแผนกฆาตกรรมเป็นแผนกที่งานหนักและเครียด จึงมีตำรวจขอย้ายบ่อย หัวหน้าแผนกจึงต้องเลือกตำรวจหนุ่มๆ มา โดยหวังว่าความไฟแรงจะช่วยผ่านอุปสรรคงานหนักได้
ตามประวัติ โรเบิร์ตมีวุฒิปริญญาตรี ขณะเป็นตำรวจสายตรวจได้เพียงปีเศษ เขาก็ถูกหมายเรียกเกณฑ์ทหารไปรบในสงครามเวียดนาม ที่นั่นโรเบิร์ตทำงานเป็นสารวัตรทหาร ได้ประสบการณ์ในการตรวจสอบที่เกิดเหตุมามาก นี่เป็นเหตุผลให้โรเบิร์ตถูกเรียกตัวไปทดสอบการเป็นนักสืบ และหลังจากสอบผ่าน เขาจึงถูกเรียกตัวมารับตำแหน่งนักสืบแผนกฆาตกรรมทันที
จากนั้นชายคนนี้ก็ไม่เคยได้กลับไปใส่เครื่องแบบอีกเลย
แม้จะไม่ชอบ แต่โรเบิร์ตก็ทำงานสืบคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีหลายคดีที่เขาจับกุมคนร้ายได้ ยกเว้นก็เพียงคดีหญิงสาว 2 ศพเท่านั้น ภาพลักษณ์ของโรเบิร์ตออกแนวนักวิทยาศาสตร์ที่หมกมุ่นกับข้อมูลและคอมพิวเตอร์ เป็นคนละเอียดรอบคอบ งานเอกสารเป็นสิ่งที่เขาถนัดมาก โรเบิร์ตจะออกจากบ้านตี 5 กลับบ้าน 1 ทุ่ม เป็นประจำทุกวัน ความจำดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขคดีที่เขาทำ ชื่อเหยื่อ สถานที่เกิดเหตุ ลักษณะตอนพบศพ เขาจำได้หมด และย้ำกับนักสืบคนอื่นว่า ‘สำคัญมาก’ ที่นักสืบจะต้องจำรายละเอียดพวกนี้ให้ได้หมด
นอกจากนี้ ทักษะการสอบปากคำของโรเบิร์ตก็ไม่ธรรมดา วิธีการสอบสวนของเขาทำให้ผู้ต้องหาต้องยอมรับสารภาพ และที่สำคัญคือเขาจับฆาตกรต่อเนื่องได้หลายคนแล้วด้วย ดังนั้นเมื่อมีคนพบศพหญิงสาวซึ่งส่วนใหญ่เป็นโสเภณีที่มักจะขายตัวตามถนนไฮเวย์และรอบสนามบินเมืองซีแอตเทิล ก่อนถูกฆ่ารัดคอแล้วถูกนำมาทิ้งไว้ที่แม่น้ำกรีน รัฐวอชิงตัน จำนวน 4 ศพ ทางการจึงตั้งทีมปฏิบัติการพิเศษและตั้งโรเบิร์ตเป็นหัวหน้าทันที เพราะมั่นใจในฝีมือของนักสืบคนนี้มาก
เมื่อตกลงจะไปพบเท็ด บันดี โรเบิร์ตกับเดฟเตรียมตัวทำการบ้านด้วยการไปปรึกษากับนักจิตวิทยาว่าควรจะถามอย่างไร เพราะไม่รู้ว่าเท็ดจะพูดจริงหรือพูดไปเรื่อยกันแน่ จนเมื่อทั้งสองไปพบกับเท็ดเป็นครั้งแรก โรเบิร์ตและเดฟต่างตกใจในสภาพของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ ที่ไม่ได้ดูมีเสน่ห์เหมือนที่เห็นในสื่อเลย
“เขาตัวสั่น เหงื่อแตก เหมือนคนป่วยด้วยซ้ำ เราเพิ่งมารู้ว่าเขาโดนสั่งขังเดี่ยว 30 วัน ตอนนั้นเขาดูไม่มั่นใจเหมือนอย่างที่เห็นในทีวีเลย”
อย่างไรก็ดี พอตั้งหลักได้ เท็ด บันดีก็กลับมาเป็นชายมีเสน่ห์สุดอันตราย เขาให้ข้อมูลแก่นักสืบทั้งสองว่า นักฆ่าแห่งแม่น้ำกรีนมักจะกลับไปที่เกิดเหตุเดิมๆ เสมอ บางทีเขาก็เอาศพที่เพิ่งฆ่ามาทิ้งไว้จุดเดิม แล้วก็จะมีเซ็กซ์กับศพเหล่านี้ด้วย ถ้าเราพบซากศพที่ถูกนำมาทิ้งใหม่ๆ ก็ให้ไปเฝ้ารอได้เลย เพราะฆาตกรจะแวะกลับไปเสมอ
การพูดคุยครั้งนั้นเป็นเรื่องนักฆ่าแห่งแม่น้ำกรีนเสียส่วนใหญ่ จนดูเหมือนเท็ดอิจฉานักฆ่าคนนี้ที่แย่งความโด่งดังไปจากเขา ในช่วงท้ายการสัมภาษณ์ โรเบิร์ตตัดสินใจถามเท็ดถึงคดีหญิงสาวที่ทะเลสาบเมื่อหลายปีก่อน เขานำเสนอหลักฐาน และหวังว่าเท็ด บันดีจะรับสารภาพว่าก่อเหตุดังกล่าว แต่อีกฝ่ายปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ
เท็ดพูดถูกทุกเรื่องเกี่ยวกับนักฆ่าแห่งแม่น้ำกรีน แต่พอเป็นเรื่องศพหญิงสาวที่พบในทะเลสาบนั้น เขากลับโกหก!
3.
ข้อมูลที่สองนักสืบได้มาทำให้ชุดปฏิบัติการพิเศษนำมาประยุกต์ใช้ พวกเขากลับไปดูหลักฐานใหม่ ตัวเดฟนั้นก็เป็นนักสืบที่ไม่ธรรมดา เขาจดจำรายละเอียดในคดีได้ทั้งหมด เหยื่อ 48 รายที่ถูกฆ่า ทั้งชื่อ ลักษณะศพ ที่เกิดเหตุ เดฟก็จำได้แม่น ตัวเดฟกับโรเบิร์ตแทบจะเป็นคู่หูต่างวัย เดฟเองน่าจะได้รับการถ่ายทอดวิชาการสืบสวนจากโรเบิร์ตมาไม่มากก็น้อย ทั้งสองมีลักษณะการทำงานเหมือนกัน คือหมกมุ่นกับคดีเป็นอย่างยิ่ง
นักสืบหนุ่มนำคดีเก่าๆ มาดูใหม่อีกครั้ง เขากลับไปสัมภาษณ์พยาน ท่ามกลางผู้ต้องสงสัยมากมาย แล้วในที่สุดก็พบหลักฐานสำคัญ เมื่อมีพยานรายหนึ่งให้การว่า หญิงที่เสียชีวิตขึ้นรถบรรทุกคันหนึ่ง คนขับเป็นชายผิวขาวอายุราว 30-40 ปี การสืบคดีดำเนินต่อไป เดฟพบพยานยืนยันพบเห็นชายคนหนึ่งอยู่กับผู้ตายเป็นคนสุดท้าย เมื่อนำคำให้การมาประมวลผล พบว่าเหยื่อรายหลายขึ้นรถบรรทุกไปกับผู้ชายคนหนึ่งซ้ำๆ กันหลายครั้ง และมีคนเห็นรถคันนี้จอดอยู่ที่หน้าบ้านของชายที่ชื่อว่า แกรี ริดจ์เวย์ (Gary Ridgway)
ทีมปฏิบัติการพิเศษนำข้อมูลของเดฟไปพิจารณา แกรีเคยถูกจับฐานซื้อบริการทางเพศ พวกเขาจับกุมตัวแกรีและนำตัวไปสอบปากคำ ก่อนค้นรถ แต่ไม่พบหลักฐานน่าสงสัย แกรีให้การว่าเขาไม่รู้เรื่องหญิงสาวที่หายไป แม้จะตำรวจจะยืนยันว่ารถของแกรีถูกพบขณะรับตัวเหยื่อไปถึง 2 รายด้วยกัน แต่แกรีก็ยืนกรานปฏิเสธ
ตำรวจดูประวัติชายคนนี้ เขาเป็นอดีตทหารผ่านศึกเวียดนาม ทำงานรับพ่นสีรถบรรทุก แต่งงานแล้วก็หย่าร้าง ข้อมูลจากเท็ด บันดีถูกนำมาพิจารณา แกรีนิ่ง ไม่ตื่นตระหนก ยืนยันว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักฆ่าแม่น้ำกรีน แต่ตำรวจก็ไม่เชื่อ เพราะแกรีนิ่งเกินกว่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์ เขานิ่งจนน่ากลัว
“ข้อแรกเลยคือนักฆ่าคนนี้ไม่มีความสำนึกผิดอะไรทั้งสิ้น ไม่มีความรู้สึกแบบนั้น และเขาฉลาดมากด้วย” เท็ด บันดีบอกกับโรเบิร์ตและเดฟ
เจ้าหน้าที่ไม่อาจเค้นคำรับสารภาพจากแกรีได้เลย แถมไม่มีหลักฐานเพียงพอในการตั้งข้อหา นิติวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าสุดในตอนนั้นก็คือการเอาเข้าเครื่องจับเท็จ ซึ่งปรากฏว่าแกรีสอบผ่านทุกอย่าง
ตำรวจจำต้องปล่อยตัวไป แม้จะมั่นใจว่าชายคนนี้คือนักฆ่าแห่งแม่น้ำกรีนอย่างแน่นอน แต่หลักฐานไม่พอจะตั้งข้อหาได้ ก่อนจะปล่อยตัวไป เดฟได้ขอตัวอย่างเส้นผมของแกรีเก็บไว้ เผื่อจะนำไปใช้เทียบกับหลักฐานที่พบในอนาคตได้ในสักวัน
หลังจากปล่อยตัวแกรีไป ดูเหมือนการสังหารโหดของนักฆ่าแม่น้ำกรีนก็หยุดไปทันที ทีมเฉพาะกิจถูกสั่งสลายตัวเมื่อไม่มีใครพบเห็นการฆ่าในลักษณะนี้อีก แต่เดฟยังเก็บหลักฐานเส้นผมของแกรีไว้ ตอนนั้นทุกคนคิดว่านักฆ่าแห่งแม่น้ำกรีนตายไปแล้ว
จนกระทั่งในปี 2001 รัฐวอชิงตันนำระบบวิเคราะห์ดีเอ็นเอมาใช้เป็นครั้งแรก เดฟนำเส้นผมของแกรีไปตรวจเทียบกับเส้นผมหรือหลักฐานอื่นๆ ที่พบในจุดเกิดเหตุ ในที่สุดผลก็ออกมาว่าผมของแกรีตรงกับผมที่พบในจุดเกิดเหตุที่นักฆ่าแห่งแม่น้ำกรีนนำศพไปทิ้งไว้จำนวน 3 ศพด้วยกัน
ตำรวจบุกจับกุมตัวแกรีอีกครั้ง คราวนี้หลักฐานทุกอย่างชัดเจน ดีเอ็นเอก็ปรากฏ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าหญิงสาวที่ถูกฆ่าไปถึง 48 ศพนั้น เพียงพอให้แกรีต้องถูกตัดสินประหารชีวิต ในที่สุดแกรีก็รับสารภาพว่า เขานี่แหละคือนักฆ่าแห่งแม่น้ำกรีน
แกรีเล่าว่าเขาจะซื้อบริการโสเภณี พาขึ้นรถบรรทุกกลับมาบ้าน แล้วก็รัดคอเหยื่อ บางทีก็มีอะไรกับศพ แล้วนำร่างไปทิ้งลงแม่น้ำกรีน หลายครั้งก็เอาศพไปทิ้งที่จุดเดิม บางทีก็กลับไปดูจุดทิ้งศพเสมอ คาดกันว่าเขาฆ่าเหยื่อไปถึง 80 ศพ ถึงทุกวันนี้ก็ยังมีผู้เสียชีวิตในคดีที่ปิดไม่ลงถูกนำมาตรวจดีเอ็นเอใหม่ ก่อนจะพบว่าถูกฆ่าโดยแกรีนั่นเอง โดยเหยื่อที่อายุน้อยสุดอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น ทำให้ตัวเลขอย่างเป็นทางการมีคนถูกฆ่าทั้งหมด 49 ศพด้วยกัน
แกรีไม่สะทกสะท้านใดๆ เขาไม่มีความรู้สึกผิดถูกในเรื่องนี้ และเพราะการรับสารภาพ ศาลจึงสั่งจำคุกเขาตลอดชีวิต
ส่วนชายผู้ให้ข้อมูลอย่างเท็ด บันดีกลับถูกประหารชีวิตในปี 1989 หรือไม่กี่ปีหลังจากเดฟและโรเบิร์ตไปสัมภาษณ์ ก่อนจะถูกประหาร โรเบิร์ตและเดฟเดินทางไปพบเท็ดอีก 2 ครั้ง เพื่อถามเรื่องนักฆ่าแห่งแม่น้ำกรีน และถามเรื่องศพหญิงสาวที่พบในทะเลสาบเมื่อหลายปีก่อน ครั้งที่ 2 เท็ดปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ ต้องเป็นการพบกันครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย เท็ดก็รับสารภาพว่าได้ก่อเหตุฆ่าหญิงสาวทั้งสองเอง โดยพวกเธอคือเหยื่อรายที่ 5 และรายที่ 6 ที่เขาก่อเหตุฆ่าในรัฐวอชิงตัน
ในที่สุดคดีที่โรเบิร์ตค้างคาใจมานานก็จบลง คราวนี้เขาสามารถไปบอกญาติของผู้หญิงทั้ง 2 รายได้แล้ว
4.
โรเบิร์ตกับเดฟมีเส้นทางที่น่าสนใจ พวกเขาเป็นยอดนักสืบที่ร่วมกันปิดคดีนักฆ่าแห่งแม่น้ำกรีนและสะสางคดีค้างเก่าที่เท็ด บันดีก่อเหตุไว้ได้ ทั้งสองเขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด ต่อมาเดฟกลายเป็นนายอำเภอที่ได้รับการเลือกจากประชาชน ฝีมือการทำงานสืบสวนทำให้เขาโด่งดังจนลงสมัครเป็นผู้แทนราษฎร เขต 8 รัฐวอชิงตันจากพรรครีพับลิกันยาวนานตั้งแต่ปี 2005-2018 ก่อนจะขอเกษียณอายุตัวเองไป ปัจจุบัน อดีตนักสืบดาวรุ่งผู้ปิดคดีนักฆ่าแห่งแม่น้ำกรีน อายุ 71 ปีแล้ว
ส่วนโรเบิร์ต เขาได้ก่อตั้งหน่วยงานรวบรวมคดีของรัฐวอชิงตัน มุ่งเน้นการเก็บข้อมูลแผนประทุษกรรมการก่อเหตุทั้งหมดไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้เจ้าหน้าที่รู้ว่าหลายคดีที่เกิดขึ้น ถ้ามีรูปแบบการก่อเหตุซ้ำๆ กันนั้น เป็นไปได้ว่าจะเป็นฆาตกรรายเดียวกัน ระบบนี้มีไว้เพื่อรับมือกับฆาตกรต่อเนื่อง กระทั่งปี 1999 โรเบิร์ตเกษียณอายุตัวเองไปเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย เน้นเรื่องฆาตกรเป็นหลัก และในเดือนมิถุนายน 2021 ที่ผ่านมา เขาก็เสียชีวิตลงด้วยวัย 76 ปี
เดฟกล่าวถึงอดีตหัวหน้าทีมปฏิบัติการพิเศษว่า “เขาต้องการให้ทุกคนทุ่มเททำงาน 110% ตลอดเวลา ผมไม่อาจเก่งเท่าเขาได้ แต่เขาก็สอนและดูแลให้คำแนะนำผมเป็นอย่างดี”
ใครหลายคนบอกว่าโรเบิร์ตนั้นมุ่งมั่นมาก เท็ด บันดีคิดว่าจะปั่นประสาทเขาได้เหมือนคนอื่นๆ แต่กับโรเบิร์ตที่ไม่ยอมแพ้ เกาะติดคดีศพผู้หญิง 2 รายที่ถูกนำมาทิ้งไว้ที่ทะเลสาบ สุดท้ายตัวเท็ดก็ต้องยอมเปิดปากรับสารภาพ
นี่คือเรื่องราวของสองยอดนักสืบที่มุ่งมั่นทำคดี ไม่ยอมแพ้จนสามารถติดตามจับกุมคนร้ายสุดโหดได้สำเร็จ แม้จะใช้เวลานาน ด้วยหลักฐาน ด้วยหลักการความถูกต้อง นับเป็นสองนักสืบที่ทำให้ฆาตกรต่อเนื่องต้องรับสารภาพผิดได้ถึง 2 คนด้วยกัน ซึ่งมีตำรวจน้อยคนมากที่จะทำได้แบบทั้งคู่
ตัวโรเบิร์ตนั้นเคยให้สัมภาษณ์ย้ำความสำคัญของการเก็บข้อมูลเหตุฆาตกรรมและอาชญากรรม เพราะมันทำให้เราเข้าถึงฆาตกรต่อเนื่องรายอื่นๆ ได้ เขาย้ำว่าที่ผ่านมาเรารู้จักแต่พวกฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังจากการนำเสนอของสื่อเท่านั้น
“แต่ความจริงแล้วยังมีฆาตกรต่อเนื่องสุดอันตรายอีกจำนวนมาก พวกมันอาจกำลังเริ่มฆ่าคนศพที่สอง ศพที่สาม และศพที่สี่อยู่ในตอนนี้ก็เป็นได้”
อ้างอิง
https://www.oxygen.com/crime-news/robert-keppel-who-helped-catch-ted-bundy-has-died
https://archive.seattletimes.com/archive/?date=19990627&slug=2968771
https://www.biography.com/news/ted-bundy-help-catch-green-river-killer
https://www.biography.com/crime-figure/ted-bundy
https://www.biography.com/crime-figure/gary-ridgway
https://www.nytimes.com/2003/11/07/us/21-year-hunt-for-killer-shapes-man-and-family.html
https://www.crimemuseum.org/crime-library/serial-killers/gary-ridgway/
https://www.seattletimes.com/seattle-news/timeline-of-the-green-river-killer-case/
https://www.grunge.com/384392/how-the-green-river-killer-was-eventually-caught/
Tags: ฆาตกรต่อเนื่อง, คดีสะเทือนขวัญ, Haunted History, คดีดัง, นักสืบ, สหรัฐอเมริกา