เพราะเราหลงใหลในสถานที่รกร้างซึ่งมีความงามบางอย่างซ่อนอยู่ เช่น สวนสนุก หรืออาคารเก่าที่ถูกปล่อยทิ้งจนต้นไม้ปกคลุม สถานที่เหล่านี้มีความโรแมนติกแปลกประหลาดที่มักจะดึงดูดให้เราเข้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันไม่เกี่ยวกับการล่าท้าวิญญาณหรือเสพความน่ากลัวใดๆ เลย เท่าที่เราต้องการก็คือการได้เข้าไปดูทุกซอกทุกมุม สัมผัสบรรยากาศ ร่องรอยของอดีตที่ยังหลงเหลือ ซึมซับความเงียบงันเปลี่ยวร้างที่ไม่มีใครจับต้องมาเป็นเวลานาน และถ่ายภาพเพื่อบันทึกทุกสิ่งเอาไว้
เมื่อเรามีโอกาสได้ไปพักผ่อนที่ประเทศอังกฤษ จึงไม่รอช้าที่จะค้นหาพวกคฤหาสน์เก่าแก่อายุร้อยปีขึ้นไป ผสานกับความชอบส่วนตัวเรื่องสวนและป่า ทำให้สถานที่ส่วนใหญ่ที่เข้าตาเราจะเป็นพวก ‘Manor & Garden’ (คฤหาสน์ & สวน) ซึ่งในชนบทของอังกฤษก็มีให้เลือกมากมาย
เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องคฤหาสน์และธรรมชาติที่สวยงามจะอยู่ในโซนคอตส์โวลด์ส (Cotswolds) ที่มีพิกัดอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของลอนดอน มีพื้นที่โดยรอบราวๆ 2,000 ตารางกิโลเมตร
บริเวณนี้ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติและบ้านเมืองที่ยังคงรักษาความงดงามแบบอังกฤษในยุคศตวรรษที่ 17-18 เอาไว้ได้ราวกับหยุดการแกว่งไกวของเข็มนาฬิกาไว้ตั้งแต่ 300 ปีที่แล้ว กับบรรยากาศที่ชวนให้นึกถึงบ้านที่อยู่ในหนังสือนิทาน กับอาณาจักรที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าและเนินเขาสีเขียวคล้ายเมืองหมีพูห์ มีถนนสายเล็กๆ ให้เราขับรถดูความสวยงาม ข้างทางเต็มไปด้วยฟาร์มและป่าไม้ที่มีลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่าน มีหงส์และห่านที่เป็นมิตร มีบ้านกระท่อมหลังกระจิริดที่ก่อด้วยอิฐสีน้ำผึ้ง
งดงามเสียจนรัฐบาลอังกฤษถึงกับยกย่องให้เป็น ‘Area of Outstanding Natural Beauty’
เราจึงตั้งใจว่าจะพาทุกคนไปสัมผัสกับสถานที่ที่มักสร้างแรงปรารถนาให้เข้าไปเหยียบย่างอยู่เสมอ กับเรื่องราวที่ใครหลายคนได้หลงลืมและทอดทิ้งไว้โดยไร้จริตปรุงแต่งอีกต่อไป
ในสุสานเก่า และปราสาทปรักหักพัง เสน่ห์ลึกลับที่ดึงดูดเราไว้จนไม่อาจละสายตา
สุสานไฮเกต (Highgate Cemetery)
สุสานเก่าแก่ในลอนดอน สถานที่ที่หนังฮอลลีวูดหลายเรื่องเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ ภายในสุสานมีเส้นทางหลักให้เดินชมสุสานของผู้คนมีชื่อเสียงต่างๆ ทั้งกวี นักปราชญ์ นักดนตรี เช่น Karl Marx, Douglas Adams, Patrick Caulfield, George Eliot, Anna Mahler, Malcolm Mclaren, Christina Rossetti เป็นต้น
การจะเข้าชมที่นี่ได้ต้องจองล่วงหน้าทางเว็บไซต์และมีไกด์นำเที่ยวชมภายในสุสานด้วย
หากเดินเข้าไปตามทางสายเล็ก ซึ่งเป็นทางดินรกร้างลัดเลาะไปตามแนวสุสานที่เบียดเสียด จะพบว่าบรรดาหลุมศพซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปนั้นมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่เก่าโทรมจนอ่านคำจารึกไม่ออก อีกทั้งบางหลุมยังมีประติมากรรมที่หักพังประดับประดาอยู่ และมีตะไคร่กับวัชพืชขึ้นปกคลุมทำให้ดูงดงามแปลกตาไปอีกแบบ
คฤหาสน์เกรฟทาย (Gravetye Manor)
คฤหาสน์อายุกว่า 400 ปี เป้าหมายที่เราตั้งใจข้ามโลกมาสัมผัส
คฤหาสน์เกรฟทายตั้งอยู่ทางตอนใต้ของลอนดอน สร้างขึ้นในปี 1598 โดยริชาร์ด อินฟิลด์ (Richard Infield) เพื่อมอบเป็นของขวัญแด่ แคเธอรีน คอมป์ตัน (Katharine Compton) เจ้าสาวของเขา ต่อมาในปี 1884 นักจัดสวนอังกฤษในตำนาน วิลเลียม โรบินสัน (William Robinson) ได้ซื้อคฤหาสน์และพื้นที่โดยรอบซึ่งเต็มไปด้วยป่า ต้นไม้หลากสายพันธุ์ สวนแอปเปิ้ล สวนอังกฤษ ทุ่งดอกไม้ ทะเลสาบ รวมแล้วกินพื้นที่ 1,000 เอเคอร์ (2,500 ไร่ โดยประมาณ)
หลังจากโรบินสันเสียชีวิต คฤหาสน์แห่งนี้ได้ถูกดัดแปลงให้เป็นโรงแรมระดับ 7 ดาว ตกแต่งเนี้ยบในสไตล์อังกฤษวินเทจ ที่ยามค่ำคืนจะมีพื้นที่ให้ได้ดินเนอร์ใต้แสงเทียนสุดหรูที่จัดแต่งในแบบย้อนยุคเข้ากับคฤหาสน์โบราณ
คฤหาสน์สโนว์ชิลล์ (Snowshill Manor)
เราก้าวขึ้นทางลาดมุ่งหน้าไปยังประตูหน้าของคฤหาสน์สโนว์ชิลล์ (Snowshill Manor) หรือที่เราเรียกมันว่า คฤหาสน์มืด เมื่อมองลงไปจากคฤหาสน์ ซึ่งตั้งอยู่บนที่สูง จะเห็นสวนของคฤหาสน์อยู่เบื้องล่างและยังคงมองทอดยาวออกไปได้อีกไกล โดยไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดบังหน้าเลย บริเวณด้านหลังของคฤหาสน์มีอาคารเล็กเงียบสงัดโอบล้อมเกาะเกี่ยวด้วยไม้เลื้อย
คุณลุงชาวอังกฤษรูปร่างท้วมอัธยาศัยดีออกมาเชื้อเชิญเราเข้าสู่คฤหาสน์
เราเข้ามารวมตัวกันในห้องที่มีกลิ่นอับตามกาลเวลาและมืดสลัว เนื่องจากหน้าต่างถูกพรางแสงลงด้วยม่านเพื่อยืดอายุของวัตถุล้ำค่า ที่ชาร์ลส พาเจต์ เวด (Charles Paget Wade, 1883-1956) ชาวอังกฤษ ผู้มีอาชีพสถาปนิก ที่ชื่นชอบการเขียนบทกวี และรักงานฝีมือทุกรูปแบบ ได้รวบรวมงานฝีมือไว้กว่า 20,000 ชิ้น
พื้นไม้สีเข้มส่งเสียงออดแอดอยู่ใต้ฝ่าเท้าตามจุดต่างๆ มีเพียงไฟสีเหลืองรูปเชิงเทียนให้แสงสลัว ถึงอย่างนั้นก็ทำให้เราเห็นว่าทุกมุมของห้องเต็มไปด้วยข้าวของพิสดารจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นหัวสิงโตปั้นแบบญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่จ้องมองเราลงมาจากมุมสูง อีกมุมหนึ่งของห้องมีดาบและชุดเกราะที่ไม่รู้ว่ามาจากประเทศอะไร ภายในตู้กระจกสีดำ-ทอง มีงานศิลปะจีนฝีมือละเอียดเป็นเรือเล็กจิ๋ว อีกทั้งยังมีสัตว์สตัฟฟ์ งาช้างแกะสลักเป็นคนกำลังร่วมเพศ ธงผ้าจารึกอักษรที่เราไม่รู้จักแขวนอยู่ตามขื่อคาน และอื่นๆ ทุกอย่างดูเก่าแก่ เปราะบาง บ้าคลั่ง และมีมากมายเบียดเสียดเกินกว่าจะจดจำรายละเอียดหรือบันทึกภาพได้หมด
ข้าวของสารพัดรูปแบบในคฤหาสน์ถูกจัดหมวดหมู่ไว้ในระดับหนึ่งโดยแบ่งเป็นห้องเป็นมุม ลุงไกด์คอยเล่าเรื่องไปพร้อมกับบอกให้เราเดินอย่างระมัดระวัง เพราะบางจุดมีพื้นที่ลาดเอียงเหมือนบ้านผีสิงโดยไม่ตั้งใจ แถมบางช่วงทางยังแคบและมืดอีกด้วย
ทางเดินชั้นสอง จะพบกับตุ๊กตาเก่าข้ามศตวรรษที่จ้องมองมาจากในตู้
เราถ่ายรูปเอาไว้โดยหวังว่าวิญญาณที่สิงสู่มันจะไม่ติดมาในกล้อง
ติดกันเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่มีเครื่องดนตรีทุกประเภทอัดแน่นอยู่ ส่วนอีกห้องก็เต็มไปด้วยศิลปะบาหลีที่ดูคล้ายไทยไม่น้อย แต่ข้อมูลจริงคือไม่มีของชิ้นใดที่มาจากไทยเลย นอกจากนี้ยังมีห้องที่เต็มไปด้วยข้าวของสารพัด ทั้งห้องหลังคาที่เต็มไปด้วยจักรยาน จักรสุดคลาสสิกหลายร้อยชิ้น ภาพเขียน งานแกะสลัก ชุดเกราะ ไปจนถึงเครื่องครัว เรียกว่าเยอะจนบรรยายไม่หมดกันเลยทีเดียว ทำเอาเราอยากมีพลังไซโคมิตทรีที่ทำให้หยั่งรู้ว่าข้าวของพวกนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรขึ้นมาเลย
ปราสาทซูดลีย์ (Sudeley Castle)
หนึ่งในปราสาทเก่าแก่แห่งดินแดนบริเตน เรามาถึงอาณาเขตปราสาทโดยจอดรถที่ทางเข้าด้านหน้า รอบข้างคือทุ่งกว้างไกลที่มีเพียงต้นไม้และสายลม เรายังมองไม่เห็นตัวปราสาท มีเพียงป้ายบอกทางให้มุ่งไปข้างหน้า ไร้ผู้คนให้สอบถามทาง
เราเดินผ่านป้อมยามเก่าแก่ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าทาวน์เฮาส์ราคาแพงบางแห่งในบ้านเราเสียอีก เส้นทางจากประตูหน้าสู่ตัวปราสาทนั้นยิ่งใหญ่ยาวไกลกว่าที่คิดมาก ระหว่างเดินบนสะพานหินข้ามบึงเล็กๆ ก็เริ่มเห็นยอดปราสาทอยู่ห่างออกไปหลังแนวต้นไม้ครึ้ม เราเดินตัดทุ่งหญ้าซึ่งเต็มไปด้วยฝูงแกะ ทางที่เราใช้ดูเหมือนจะเป็นทางนอกกระแสเกินไป มันพาเราไปมุมไหนของปราสาทก็ไม่รู้ ซึ่งมีกำแพงมากกว่าประตู และไม่น่าจะใช่ทางเข้าที่ถูกต้องแน่ๆ แต่เราก็หาทางเข้าไปในปราสาทได้ในที่สุด
เราเดินเข้าไปยังสวนของปราสาท ซากปรักหักพังที่งดงามและสูงตระหง่านตั้งอยู่เหนือแนวต้นไม้ซึ่งตัดแต่งเป็นเขาวงกตย่อมๆ
ปราสาทแห่งนี้เก่าแก่และมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี 1441 หรือประมาณ 575 ปีที่แล้ว ถูกเปลี่ยนเจ้าของมาแล้วหลายครั้ง โดยการมอบให้กันเป็นของขวัญบ้าง ตลอดช่วงอายุของปราสาทมีทั้งช่วงรุ่งเรือง ถูกทอดทิ้ง และผ่านสงครามจนเสียหาย ทว่ามันยังคงอยู่รอดและคงความงดงามมาจนถึงปัจจุบัน
ด้านหลังปราสาทมีสวนเล็กๆ เต็มไปด้วยต้นองุ่นและฝูงนกยูง ตั้งเป็นสุสานฝังศพ แคเธอรีน พารร์ ราชินีที่เสียชีวิตลงหลังจากให้กำเนิดเด็กสาวที่หายสาบสูญไปโดยที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครทราบที่ไปหลังจากเธอสิ้นใจ
ว่ากันว่าเคยมีคนเห็นสุภาพสตรีในชุดสีเขียวหรูหราย้อนยุค มองออกมาจากหน้าต่าง ซึ่งเชื่อกันว่าสุภาพสตรีผู้นี้คือ ราชินีแคเธอรีน พารร์ อดีตภรรยาของเจ้าชายเฮนรีที่ 8 และอดีตภรรยาของลุงของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดที่ 6
นอกจากสุสานที่เต็มไปด้วยมนตร์ขลังและปราสาทเก่าแก่อายุหลายร้อยปี อีกมุมหนึ่งที่นี่ยังงดงามไปด้วยสภาพบ้านเรือนท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ชวนไปสัมผัส เช่น
เมืองสโตว์ออนเดอะโวลด์ (Stow on the Wold)
หนึ่งในเมืองน่ารักแบบวินเทจที่ควรไปเยือน บ้านเรือนส่วนใหญ่รักษาสภาพไว้ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยมากนัก ตัวเมืองตั้งอยู่บนที่สูงสามารถเดินทั่วได้ในวันเดียว เมื่อมองลงมาจากตัวเมืองจะเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล ภายในตัวเมืองมีร้านรวงน่ารัก เหมาะจะเป็นฉากสดใสในนวนิยาย มีกลิ่นอายของการพักผ่อนอยู่ทุกหนแห่ง บนความวินเทจที่ไม่เงียบเหงาจนเกินไป
สวนไฮด์โคต (Hidcote Park)
สวนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดมหึมาท่ามกลางพรรณไม้สารพัดรูปแบบ มีดอกไม้หลากชนิดแข่งกันแสดงสีสัน มีเรือนกระจกที่เต็มไปด้วยไม้กระถางอย่างกุหลาบหินยักษ์ มีงานประติมากรรมแทรกตัวอยู่ตามมุมต่างๆ และมีจุดเด่นเป็นทางเดินเขียวงามสง่าที่ได้รับการดูแลตัดแต่งอย่างดีราวกับเตรียมไว้ให้เจ้าสาวสูงศักดิ์สักคน
ไม่มีฝนในอังกฤษ: NO RAIN IN BRITAIN โดย ทรงศีล ทิวสมบุญ และกฤติการ ชัยกล้าหาญ (ผู้แต่งร่วม) เรียบเรียง จินตนา ประชุมพันธ์
FACT BOX:
Area of Outstanding Natural Beaut (AONB) หรือบริเวณธรรมชาติงดงามดีเด่น เป็นบริเวณชนบทของอังกฤษ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ที่ได้รับการพิจารณาว่ามีความสำคัญทางคุณค่าทางภูมิทัศน์ โดยมีจุดประสงค์เพื่ออนุรักษ์และเพิ่มพูนความงดงามของทรัพยากรของภูมิทัศน์ทางธรรมชาติให้เป็นประโยชน์แก่ผู้มาใช้สอย ไปพร้อมกับการคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้อยู่อาศัยและผู้ทำมาหากินในบริเวณที่ระบุด้วย
DID YOU KNOW?
ร่วมเดินทางไปกับวรรณกรรมเดินทางเล่มแรกของเจ้าของลายเส้นที่เราคุ้นเคย ‘Beansprout & Firehead in The Infinite Madness’ ที่พาเราออกเดินทางไปยังปราสาทโบราณ ท่ามกลางชนบทอันกว้างใหญ่และเก่าแก่ของประเทศอังกฤษ ที่ซึ่งเขาและคนรักได้รับโอกาสอีกครั้งในการใช้ชีวิตร่วมกัน หลังจากสายฝนในชีวิตผ่านพ้นไป ใน NO RAIN IN BRITAIN