ในยุคสมัยที่ทุกอุตสาหกรรมปรับตัวและเบนไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน ยานยนต์นับเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในไม่กี่ปีให้หลัง จากการเข้ามาของ ‘ยานยนต์ไฟฟ้า’ หรือ ‘รถอีวี’ ได้ทำให้อุตสาหกรรมเก่าอย่าง ‘รถสันดาป’ เดิมสั่นคลอน

เพราะแน่นอนว่ารถอีวีนั้นประหยัดกว่า มีเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า พิถีพิถันในการจัดวางอุปกรณ์ภายใน ไปไกลกว่ารถญี่ปุ่น และที่สำคัญราคายังย่อมเยากว่ามาก…

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ค่ายรถยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง ‘Geely’ เจ้าของคนใหม่ของวอลโว (Volvo) กระโดดเข้าสู่สนามการแข่งขันในตลาดประเทศไทยเช่นเดียวกัน โดยส่ง ‘Zeekr’ (ซีกเกอร์) เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างยิ่งใหญ่ เริ่มจากการเปิดตัว ‘Zeekr X’ รถคอมแพกเอสยูวี (Compact SUV) 

Zeekr นั้นวาง Position ให้อยู่ในระดับ ‘พรีเมียม’ กว่ารถ EV ของเจ้าอื่น เนื่องจากผู้บริหารของ Zeekr มองว่า การแข่งขันตลาดรถ EV ระดับพรีเมียมลักชูรียังมีช่องว่างทางการแข่งขันอยู่ จึงตั้งเป้าหมายอยากปั้นให้ตัวเองให้เป็นผู้นำในตลาดรถ EV ระดับไฮเอนด์

The Momentum ได้มีโอกาสไปทดลองขับ ‘Zeekr X’ รุ่นเรือธง ของค่ายนี้

‘Zeekr X’ ถูกออกแบบภายนอกรถให้สัมผัสได้ถึงความทันสมัย เรียบง่ายจากตามฉบับสแกนดิเนเวีย และผสมกับความสปอร์ตได้อย่างลงตัวด้วยการจัดวางไฟหน้า LED ที่โฉบเฉี่ยวและเป็นเอกลักษณ์ ขณะที่ดีไซน์ของที่จับประตูจะเป็นแบบ Hidden Capacitive Sensing Door Handles หรือพูดให้เข้าใจอย่างง่ายคือ จะไม่มีที่จับประตูนูนออกมาแบบรถทั่วไป

Zeekr X ยังมาพร้อมกับการออกแบบโครงสร้างรถแบบ Sustainable Experience Architecture หรือ ‘แพลตฟอร์ม SEA’ ที่ช่วยในเรื่องของการขับขี่ การทรงตัว สมรรถนะ รวมถึงการลดเสียงระบบระหว่างการขับขี่ ตลอดจนมีระบบเซนเซอร์และกล้อง 360 องศาทั่วคัน เพื่อช่วยให้การขับขี่ของคนขับมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ที่น่าสนใจก็คือแม้จะใช้ตัวถังเดียวกับวอลโว อีเอ็กซ์30 แต่มิติภายในห้องโดยสารกว้างขวางกว่ามาก เรียกได้ว่า แม้นั่งเบาะหลังก็ไม่ติดเบาะหน้าแบบวอลโวรุ่นเดียวกัน

ด้านระบบการขับเคลื่อนของ Zeekr X ในรุ่นเรือธงจะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (All-Wheel Drive: AHD) และมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ (Twin Motors) ให้กำลังการขับเคลื่อนสูงสุดที่ 428 แรงม้า สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.8 วินาที เป็นที่น่าสนใจว่า ‘ความแรง’ ของรถ SUV คันนี้ สามารถเทียบเท่าได้กับ BYD Seal Performance หรือ MG4 XPower ได้เลยทีเดียว ซึ่งเป็น 2 ตัวแรงจากแดนมังกรเช่นเดียวกัน

ขณะที่การออกแบบภายใน Zeekr X ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ให้ความรู้สึกกว้างขวางและสะอาดตา ด้วยสีโทนสว่างอย่างขาวครีม ประกอบกับการออกแบบหลังคาให้เป็น Panoramic Glassroof เปิดให้แสงธรรมชาติเข้ามาภายในรถ ทำให้รู้สึกโปร่งมากขึ้น ถึงจะเป็นเช่นนั้นความร้อนจากแสงแดดก็ไม่ได้ทะลุเข้ามามากนัก

นอกจากนั้นภายในยังมีจอแสดงผลขนาด 14.6 นิ้ว ที่ทำหน้าที่สำหรับการควบคุมระบบต่างๆ ภายใน รวมถึงการใช้งานด้านความบันเทิงอื่นๆ ตลอดจนไว้แสดงผลต่อระบบกล้องทั่วรถที่ติดตั้งไว้ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถมองได้สะดวกมากขึ้น

ขณะเดียวกันพื้นที่ช่วงว่างระหว่างคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า จะมีตู้เย็นขนาดเล็กติดตั้งมาด้วย ทำให้ผู้โดยสารสามารถแช่เครื่องดื่มไว้จิบระหว่างการเดินทางได้ โดยตู้เย็นดังกล่าวสามารถควบคุมอุณหภูมิต่ำสุดที่ -6 องศาเซลเซียส

และพิเศษเฉพาะในรุ่นเรือธงของ Zeekr X ที่ภายในจะมีไฟ Ambient ช่วยสร้างบรรยากาศการขับขี่ให้สนุกมากขึ้นตามจังหวะของเสียงเพลงที่เปิด

ด้านระบบเสียงภายใน Zeekr X จะถูกติดตั้งมาพร้อมกับชุดเครื่องเสียงของ ‘ยามาฮ่า’ (Yamaha) ทั้งหมด 13 ตำแหน่งทำให้ได้ระบบเสียงที่ดีและมีคุณภาพ

ส่วนเรื่องสำคัญอย่าง ระบบความปลอดภัย’ ต้องบอกว่า Zeekr X นั้นเต็มไปด้วยระบบที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สัญจรบนท้องถนนได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นระบบ Adaptive Cruise Control (ACC) ที่ช่วยรักษาระยะห่างจากรถยนต์คันข้างหน้า, ระบบ Automatic Emergency Braking (AEB) ที่จะเบรกอัตโนมัติเมื่อมีความเสี่ยงชน, ระบบ Blind Spot Detection (BSD) ที่จะแจ้งเตือนกับผู้ขับขี่เมื่อมีรถยนต์ในจุดอับสายตา ตลอดจนระบบแจ้งเตือนเมื่อผู้ขับขี่สูญเสียสมาธิอย่าง ‘Driver Monitoring System (DMS)’

The Momentum ยังได้ทดลองใช้ระบบจอดรถอัตโนมัติ (Autonomous Parking) จากการทดลองพบว่า ระบบดังกล่าวจะอาศัยกล้องและเซนเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ทั่วคันในการจอด ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดีเยี่ยม อย่างไรก็ตามระบบดังกล่าวใช้จะใช้เวลาในการจอดมากกว่าปกติ จึงอาจทำให้ผู้ขับขี่รถที่มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้วรู้สึกหงุดหงิดใจได้บ้าง

ในส่วนของแบตเตอรี่และระบบการชาร์จไฟ จะติดตั้งอยู่ทางซ้ายของตัวถึง รองรับการชาร์จ AC เฟส 3 เฟส 11 กิโลวัตต์ และรองรับการชาร์จไฟฟ้าแบบด่วนที่ DC CCS 2 ที่ 150 กิโลวัตต์ โดยการชาร์จต่อ 1 ครั้งในรุ่นท็อป Zeekr X Dual Motor Flagship สามารถวิ่งได้ไกล 425 กิโลเมตร ซึ่งอาจถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาสู่ตลาด เช่น BYD Sealion 7 ที่ตัวท็อปวิ่งได้ถึง 502 กิโลเมตร หรือ Tesla Model Y รุ่นใหม่ที่เพิ่งออกมา ซึ่งไปได้ไกลถึง 551 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP

ขณะเดียวกันจุดเด่นของ Zeekr X ยังมีดีที่ช่วงล่างที่เหนียว แน่น หนึบ นิ่ง และควบคุมง่าย แม้วิ่งด้วยความเร็วสูง เพราะหอบแรงม้ามามากกว่า 428 ตัว

หากให้กล่าวโดยสรุป อาจกล่าวได้ว่า Zeekr X นั้นเป็นรถ EV ระดับพรีเมียมลักชูรีตัวหนึ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เหมาะสมกับการใช้งานทั่วไปในเมืองใหญ่ มีระบบด้านความปลอดภัยรองรับจำนวนมาก ตอบสนองกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้อย่างดี 

อย่างไรก็ตามคำถามที่ยังคงอยู่คือ Zeekr X จะสามารถอยู่ในใจของผู้บริโภคชาวไทยได้มากน้อยเพียงใด หรือสามารถยืนระยะจากเกมสงครามราคาได้อยู่หรือไม่ คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องมือช่วยพิสูจน์



Tags: , , , , ,